NBA The Player Part 7: เกมชีวิตของมือปืนสามแต้ม
โดย วิธพล เจาะจิตต์
เกมที่ 6 นัดชิงชนะเลิศ NBA วันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1997 ท่ามกลางเสียงเชียร์อื้ออึงในสนามยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ ทีมเจ้าบ้านชิคาโก บูลส์กำลังใช้เวลานอกเรียกแผนการเล่นในช่วง 28 วินาทีสุดท้ายของเกมที่สกอร์เสมอกันอยู่ 86-86 เกือบทุกคนในสนามเชื่อว่าโค้ช ฟิล แจ็กสัน จะต้องเรียกแผน “ผ่านบอลให้ไมเคิล (จอร์แดน) แล้วทุกคนก็ออกไปพ้นๆ ทางเสีย” เหมือนกับแผนในช่วงท้ายเกมที่ 1 ที่จอร์แดนยิงลูกพิชิตชัยให้ทีม แม้กระทั่งผู้บรรยายในสนามก็ยังเชื่อเช่นเดียวกัน หากแต่จอร์แดนกลับมีแผนอื่นในใจ เขาหันไปทางสตีฟ เคอร์ พร้อมบอกว่า “พยายามหาที่ว่างไว้นะ ถ้าจอห์น (สต็อกตัน) เข้ามาดับเบิลทีมผม เดี๋ยวจะจ่ายบอลไปให้” เคอร์ตะโกนตอบเพื่อนร่วมทีมไปด้วยความมั่นใจว่า “จ่ายมาเถอะ ผมพร้อมอยู่แล้ว และผมยิงลงแน่นอน”
ราวกับจอร์แดนจะเห็นอนาคต เพราะเมื่อบอลถูกส่งมาอยู่ในมือเขา จอร์แดนหันเข้าหารัสเซลล์ ตัวประกบพร้อมขยับพาบอลมุ่งเข้าหาห่วง สต็อกตันซึ่งทำหน้าที่ประกบเคอร์เห็นเช่นนั้น ก็เข้ามาช่วยซ้อนปิดทางไม่ให้จอร์แดนพุ่งเข้าหาห่วงได้ นั่นก็ทำให้เคอร์ไร้ตัวประกบ และจอร์แดนจ่ายบอลให้เคอร์ เขารับบอลแล้วยิงระยะ 17 ฟุตลงห่วงช่วยให้ทีมขึ้นนำ 88-86 ขณะยังเหลือเวลาอีก 5 วินาที แม้ว่าในเพลย์ถัดไป สก็อตตี พิพเพน จะขโมยบอลได้ และส่งต่อให้ โทนี คูโคช ดั๊งก์ปิดเกมที่ 90-86 พาบูลส์เป็นแชมป์ แต่ทุกคนในสนามรู้ดีว่าผู้ยิงตัดสินเกมนี้คือ สตีฟ เคอร์
เคอร์พูดถึงความทรงจำนี้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเสมอว่า ลูกยิงนั้นถือเป็นจุดสูงสุดของอาชีพในฐานะผู้เล่นของเขา
วันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1984 อธิการบดีชาวอเมริกันของมหาวิทยาลัยเบรุตถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมโดยกลุ่มทหารชีอะห์เลบานอนในสังกัดมุสลิมจิฮัด ในขณะปฏิบัติหน้าที่สร้างสันติภาพในตะวันออกกลาง อธิการบดีท่านนั้นคือ มัลคอล์ม เคอร์ บิดาของ สตีฟ เคอร์ ซึ่งขณะนั้นเพิ่งเข้าเรียนชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยแอริโซนา เขาจำต้องรับฟังข่าวร้ายนี้เพียงคนเดียวเพราะครอบครัวทั้งหมดอยู่ที่เลบานอน เหตุการณ์ครั้งนี้สั่นคลอนความรู้สึกของเคอร์ ผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่าชีวิตของตนเองจะมีภัยอันตราย
เคอร์เกิดในกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน ในครอบครัวนักวิชาการที่ทำงานรณรงค์ส่งเสริมสันติภาพในตะวันออกกลาง และใช้ชีวิตวัยเด็กในหลายๆ ประเทศแถบตะวันออกกลาง ก่อนที่จะมาเข้ามัธยมปลายที่สหรัฐอเมริกา ก่อนหน้าที่พ่อของเขาจะถูกสังหาร ชีวิตของเคอร์พบเห็นแต่ทหารอเมริกันในพื้นที่ ซึ่งหลายคนได้พูดคุยกันอย่างออกรสเมื่อวาน แต่ในวันถัดมาต้องเดินทางกลับมาตุภูมิภายในกล่องที่มีผืนธงชาติห่มคลุม แม้กระนั้นก็ไม่มีวันใดที่เคอร์คิดว่าภัยอันตรายจะมาถึงครอบครัวเขา
เหตุการณ์นั้นยังคงส่งผลกระทบกับเขาไม่เว้นแต่ในสนามบาสเกตบอล โดยเฉพาะเมื่อทีมแอริโซนา ไวลด์แคทส์ของเขาลงแข่งกับทีมคู่ปรับร่วมเมืองคือแอริโซนา สเตท เขามักจะได้ยินเสียงกองเชียร์ถ่อยๆ ตะโกนมาทางเขาว่า “ไอ้ลูกคนปลดแอกปาเลสไตน์” ไม่ก็ “พ่อนายมันกลายเป็นอดีตไปแล้ว” เป็นประจำ แต่เคอร์ก็ก้าวข้ามมาได้ตลอด โดยเฉพาะเกมในปี 1988 ที่พฤติกรรมห่ามของกองเชียร์รุนแรงมาก เคอร์ลงเล่นทั้งน้ำตา ทำไป 20 คะแนนเฉพาะครึ่งแรก ยิงสามคะแนนลงทั้งหมด 6 ลูก และนำทีมสู่ชัยชนะ หลังจบเกมวันนั้นอธิการบดีของแอริโซนา สเตทได้ทำหนังสือขอโทษเคอร์และครอบครัว
ในช่วงที่เคอร์ยังเล่นระดับมหาวิทยาลัย เขาได้รับคัดเลือกติดทีมชาติชุดเหรียญทองบาสเกตบอลชิงแชมป์โลกปี 1986 ซึ่งเป็นทีมที่ได้เหรียญทองโดยใช้ผู้เล่นสมัครเล่นระดับมหาวิทยาลัยทั้งหมดเป็นชุดสุดท้าย ซึ่งในภายหลังทีมชาติสหรัฐอเมริกาจะใช้ผู้เล่นอาชีพจาก NBA แม้ว่าเขาจะได้แชมป์โลก แต่ทัวร์นาเมนต์นี้ก็ทำให้เขาบาดเจ็บหนัก จนอาชีพนักบาสของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เดิมทีก่อนจะบาดเจ็บจากทัวร์นาเมนต์นี้ เคอร์มีรูปแบบการเล่นที่หลากหลาย แต่เมื่อมีอาการบาดเจ็บรุนแรง เขาต้องปรับรูปแบบการเล่นเน้นการยิงไกล เพื่อลดความเสี่ยงการบาดเจ็บเพิ่ม เขาซ้อมหนักเพื่อให้การยิงไกลของเขาไม่เป็นรองใคร ตลอดจนเพื่อถนอมรักษาความฝันที่จะเล่นอาชีพใน NBA ต่อไป
ในที่สุดฝันของเขาก็เป็นจริง เมื่อฟีนิกซ์ ซันส์ คัดเลือกเคอร์สู่ทีมในการดราฟต์ปี 1988 ก่อนที่จะถูกเทรดไปเล่นให้กับคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์สในช่วงปี 1989-1992 ต่อด้วยการพเนจรไปเล่นให้ออร์แลนโด เมจิกในช่วงปี 1992-1993 เพียงฤดูกาลเดียวก่อนที่ชิคาโก บูลส์จะเทรดเอาตัวเขาเข้าสู่ทีมในปี 1994
ด้วยข้อจำกัดด้านร่างกายและรูปแบบการเล่นที่เน้นเป็นมือปืน บทบาทของเคอร์ในทุกๆ ทีมที่เขาเล่นให้คือเป็น “การ์ดยิงบอลตัวสำรอง” แต่เขาไม่เคยมองว่าตัวเองไม่ได้รับโอกาสเพียงพอ เขายืนยันว่า “ผมพร้อมเสมอเมื่อทีมต้องการ และไม่ว่าผมจะมีเวลาในสนามน้อยเพียงใด ผมจะทำแต้มสำคัญให้ทีมได้เสมอ” การให้ความสำคัญกับวินัยการฝึกซ้อม ทัศนคตินี้ทำให้การเป็นตัวสำรองไม่ได้ลดทอนคุณค่าของเขาไปแม้แต่น้อย
สตีฟ เคอร์ เป็นผู้เล่นที่มีสถิติความแม่นยำในการยิง 3 คะแนนสูงสุดตลอดกาลของลีกที่ 45.4% และยังเป็นเจ้าของสถิติความแม่น 3 คะแนนในหนึ่งฤดูกาลสูงสุดในลำดับสองที่ 52.4% เขายังได้แชมป์แข่งยิง 3 คะแนนในงาน NBA All Stars ปี 1997 อีกด้วย
เคอร์มักกล่าวอยู่เนืองๆ ว่าสิ่งหนึ่งที่คนมองข้ามข้อดีของการเป็นตัวสำรองคือ ได้มีโอกาสนั่งมองเกมข้างสนาม ทำให้เข้าใจเกมอย่างถ่องแท้ และเห็นเกมการเล่นในรูปแบบใหม่ เมื่อเขาเลิกเล่นและรับบทบาทเป็นโค้ช เคอร์ผสมผสานแนวทางการเล่นที่ได้เรียนรู้จากโค้ชที่เขาเคยเล่นให้ ไม่ว่าแผนการเล่นแบบสามเหลี่ยมที่ ฟิล แจ็กสัน ใช้ในทีมบูลส์ แผนสร้างพื้นที่ว่างอันชาญฉลาดของ เกร็ก โปโปวิช แห่งซานอันโตนิโอ สเปอร์ส หรือเกมฟาสต์เบรกรวดเร็วที่ฟีนิกซ์ ซันส์มักจะใช้เป็นประจำ แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือ ต้องสร้างระบบการเล่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาให้ได้
เคอร์ได้แชมป์ NBA 5 ครั้งในฐานะผู้เล่นของบูลส์และสเปอร์ส และอีก 3 ครั้งในฐานะโค้ชของวอร์ริเออร์ส เขาเคยเป็นผู้เล่นในชุดที่ทำสถิติชนะมากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยในฤดูกาล 1995-1996 นั้นชิคาโก บูลส์ชนะถึง 72-10 เกม ต่อมาในฐานะโค้ช เคอร์นำทีมโกลเดน สเตท วอร์ริเออร์ส ทำลายสถิติเดิมของบูลส์ ในฤดูกาล 2015-2016 ด้วยชัยชนะ 73-9 เกม ทั้งยังเป็นคนวางระบบการเล่นแบบ Small Ball หรือใช้ผู้เล่นตัวเล็ก เล่นเร็ว และเน้นยิง 3 คะแนน ระบบการเล่นนี้ทำให้คู่หูสแปลชบราเธอร์ สตีเฟน เคอร์รี และ เคลย์ ทอมป์สัน โด่งดัง รวมถึงปฏิวัติรูปแบบการเล่นของทีมใน NBA อีกด้วย
สตีฟ เคอร์ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่มองหาโอกาสในวิกฤติ ล้มแล้วลุกขึ้น เฟ้นหาจุดแข็งและแหล่งสร้างกำลังใจ มุ่งมั่นพัฒนาความเป็นเลิศเฉพาะทางของตนเอง ไม่ยอมให้แนวคิดของคนอื่นรบกวนตัวเอง เพื่อให้เขาสามารถสร้างคุณค่าให้กับทีมตามรูปแบบที่เขาถนัด
นอกจากนี้เขายังเป็นตัวแทนของคนที่ไม่จำเป็นจะต้องโดดเด่นอยู่ตลอดเวลาในฐานะนักกีฬา แต่ก็สามารถสร้างโมเมนต์แห่งความทรงจำได้เช่นกัน หากจะมีการจัดลำดับผู้เล่นสำรองที่ทรงอิทธิพลต่อลีก NBA แน่นอนว่า สตีฟ เคอร์ ต้องอยู่ลำดับต้นๆ อย่างไรก็ดีทุกวันนี้คงไม่มีใครนึกถึงเคอร์ในฐานะตัวสำรอง เพราะเขาคือตัวจริงในเกมชีวิต
#NBA #จอร์แดน #สตีฟเคอร์ #บาส #บาสเกตบอล #เล่นเป็นเรื่อง #PlayNowThailand
อัพเดตใหม่ข่าวสารกีฬาก่อนใคร
พร้อมมีของรางวัลพิเศษให้ร่วมสนุกกันเป็นประจำ
ร่วมไลค์ ร่วมแชร์ Play Now Thailand 🇹🇭
- 2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
