25 ธ.ค. 2020 เวลา 01:00 • ประวัติศาสตร์
สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมของชาติมหาอำนาจ
ในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 เหล่าชาติมหาอำนาจได้ทำการบังคับให้ชาติในเอเชียทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
ในสนธิสัญญาเหล่านั้น เนื้อหามักจะเป็นการเอาเปรียบ ให้ชาติมหาอำนาจได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นการครอบครองดินแดน การให้สิทธิพิเศษแก่คนของชาติตน ซึ่งสนธิสัญญาเหล่านี้เอง ทำให้เกิดกระแสชาตินิยมในญี่ปุ่น จีน และเกาหลี
สนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฉบับแรกเกิดขึ้นภายหลังจากที่จีนแพ้แก่อังกฤษในสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 เมื่อค.ศ.1842 (พ.ศ.2385)
จีนต้องยอมทำสัญญา อนุญาตให้พ่อค้าต่างชาติเข้ามาในสถานีการค้าห้าแห่งของจีน ต้องเปิดรับมิชชันนารีต่างชาติ และชาวอังกฤษในแผ่นดินจีน จะได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ซึ่งก็หมายความว่า หากชาวอังกฤษกระทำความผิดในจีน ก็จะไม่ต้องขึ้นศาลจีน นอกจากนั้น จีนยังต้องยกฮ่องกงให้อยู่ในอำนาจของอังกฤษเป็นเวลาถึง 99 ปี
2
ในปีค.ศ.1854 (พ.ศ.2397) กองทัพเรืออเมริกันก็ได้รุกรานญี่ปุ่น บังคับให้รัฐบาลโทคุงาวะทำสนธิสัญญา โดยญี่ปุ่นยอมเปิดท่าเรือรับเรืออเมริกันเพื่อเติมเสบียง และต้องให้การช่วยเหลือฝ่ายอเมริกัน หากมีเรือที่อับปาง และอนุญาตให้ตั้งกงสุลในชิโมดะ แลกกับการที่สหรัฐอเมริการับรองว่าจะไม่โจมตีเอโดะ
2
ในปีค.ศ.1860 (พ.ศ.2403) จีนได้พ่ายแพ้แก่อังกฤษและฝรั่งเศสในสงครามฝิ่นครั้งที่ 2 และต้องทำ “สนธิสัญญาเทียนจิน (Treaty of Tianjin)”
2
สนธิสัญญานี้ ระบุว่าจีนต้องเปิดท่าเรือหลายแห่งแก่ชาติมหาอำนาจ ต้องอนุญาตให้เรือต่างชาติเข้าออกแม่น้ำแยงซี รวมทั้งดินแดนจีน อนุญาตให้ชาวต่างชาติพักอาศัยและตั้งสถานทูตในปักกิ่ง และต้องให้สิทธิทางการค้าต่างๆ อีกมากมาย
1
ในขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นซึ่งได้ทำการพัฒนาประเทศ ก็เริ่มจะเอาเปรียบเกาหลี มีการทำสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
ในปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นได้ทำสงครามกับจีน และได้รับชัยชนะ และจีนก็ต้องทนทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งตะวันตก หรือญี่ปุ่น ก็มีผลเรื่อยมา จนเมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้มีการปรับแก้
โฆษณา