6 ม.ค. 2021 เวลา 03:32 • หนังสือ
สรุปหนังสือ | หนังสือเสียง 11 | ทิ้ง 1 ให้ได้ 100 ทิ้งน้อยให้ได้มาก
ผู้เขียน โยะชิโอะ ยะซุดะ นักธุรกิจและนักเขียนชื่อดังของญี่ปุ่น
ได้แบ่งปัน 35 แนวคิด ว่า อะไรที่เราควรให้ความสำคัญ อะไรที่เราควรทิ้ง ในเมื่อ ส่ิงที่เรามีอยู่ อาจเป็นตัวขัดขวางให้เราก้าวไปไม่ถึงไหน ทิ้งบางสิ่งเพื่อให้เราเริ่มต้นก้าวใหม่ที่ดีกว่าเดิมกันค่ะ
เช่น อย่าเก็บแบงค์พัน เพราะเมื่อเราก้มลงเก็บ ต้องลดระดับสายตาลงทำให้มองไม่เห็นสิ่งอื่น โลกนี้มีขุมทรัพย์มากมายที่กระจายในชีวิตประจำวัน ที่เราเห็นจนชินตา เพราะฉะนั้น ทิ้งสามัญสำนึกและค่านิยมที่ตัวเองยึดถือเพื่อการเติบโต เป็นการเปลี่ยนแปลง คือทิ้งอะไรบางอย่าง เหมือนแมลงปอที่ทิ้งความสามารถในการว่ายน้ำที่มีตอนเป็นตัวอ่อน แล้วเปลี่ยนตัวเองให้มีความสามารถในการบินแทน
หน้งสือเสียง https://youtu.be/zdqgmQ5Yfzo
เป็นหนังสือที่ชี้มุมมองบางมุมที่เราไม่เคยมองมาก่อน จากประสบการณ์ของคนสำเร็จค่ะ
35แนวคิด ทิ้งเพื่อการเติบโต
1. ขยันไม่ถูกจุด พยายามไม่ถูกทาง ชีวิตก็ย่ำอยู่ที่เดิม
....(คำตรงข้ามกับความขยัน ไม่ใช่ขี้เกียจ แต่คือการไม่เปลี่ยนแปลง)
....การเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง คือการขยันในปัจจุบันและ ประยุกต์วิธีการเพื่อให้ได้ผลงานโดยใช้เวลาน้อย พยายามแบบนี้ถึงได้ผลตอบแทน
2. เลิกทำงานล่วงเวลาแล้วเงินเดือนจะเพิ่มขึ้น
....คือ จะมีเวลาใช้ความคิดเพิ่มขึ้น ฝึกฝน เปลี่ยนแปลงวิธีการ เพิ่มเวลาพักให้มากขึ้น ความเครียดลดลง จดจ่องานได้มากขึ้น การทำกิจกรรมในวันหยุด ได้พัฒนาตนเองมากขึ้น ได้มีเวลาในการคิดมากขึ้นว่ามีวิธีใหม่ๆที่ทำให้ได้ผลงาน ทำงานเสร็จเร็วขึ้น
3. หยุดคิดก่อนจะใช้งานคนเก่ง
....หากคนเก่งทำงานไม่มีหยุด เขาจะไม่สามารถแสดงความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เพราะฉะนั้นต้องมอบเวลาที่เป็นอิสระให้คนเก่ง ต้องให้คนเก่งทำงานที่มีแต่คนเก่งเท่านั้นที่ทำได้ และ ส่งผลต่อกลยุทธ์ระยะยาวของบริษัท
4. พัฒนาตัวเองแบบไอ้มดแดง
....คือเปลี่ยนแปลงตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ ค่าการเปลี่ยนแปลงสูงคือ คนที่สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มาก จะทิ้งวิธีการทำงานและวิธีคิดแบบเดิมๆได้ง่ายกว่าคนอื่น คือคนทำงานเก่งอย่างแท้จริง
....การมองตัวเองต่ำต้อยและยังเติบโตได้อีกมากเป็นการมองบวก เกิดขึ้นจากความไม่พอใจในความสามารถของตัวเองและปราถนาจะพัฒนาขึ้นอีก
....การเติบโต หมายถึงความกล้าหาญในการทิ้งตัวตนเดิมของเรา ไม่ใช่คนที่เลือกปีนบันไดได้ถูก แต่คือคนที่กล้ากระโดดลงจากบันไดที่กำลังปีนอยู่โดยไม่ลังเลเมื่อรู้ว่าเลือกบันไดผิด คนเราจะเริ่มรับตัวตนใหม่ เมื่อเราทิ้งตัวตนในอดีตเสียก่อน
5. อย่าทำสิ่งที่ตัวเองทำได้
....จ่ายงานให้คนนอกทำในสิ่งที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องทำ เช่น จ้างพนักงานทำความสะอาด เพื่อมีเวลาเหลือสำหรับการคิด ทุ่มเทกับงานที่มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ทำได้
6. ลดต้นทุนครึ่งหนึ่ง ขึ้นราคา3เท่า
....การลดต้นทุนลงครึ่งหนึ่ง คือ พยายามแค่ไหนก็ไม่มีกำไร ทางที่แก้ปัญหาคือ เปลี่ยนที่รากฐานของงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น
....การขึ้นราคา3เท่า คือ ต้องเปลี่ยนกระบวนการผลิตและคุณภาพสินค้า
....ในโลกธุรกิจไม่ได้คิดว่าจะลดเวลาลง 0.01 วินาที เหมือนการวิ่ง แต่ต้องเป็นวิธีอื่นอย่างสิ้นเชิง เช่น ใช้รถ/เครื่องบินแทนการวิ่ง
7. ทิ้งลูกค้าให้เป็น แล้วยอดขายจะเพิ่มขึ้น
....ปฎิเสธลูกค้าที่น่าปวดหัว ลูกค้าที่เรื่องมาก เขาพรากผลกำไร เวลา และขวัญกำลังใจในการทำงานของพนักงาน ลูกค้าที่เรื่องมากที่สุด คือลูกค้าที่ให้ผลกำไรน้อยที่สุด
8. มองข้ามลูกค้ารายใหญ่ไปบ้าง
....เพราะขาดลูกค้ารายนี้ บริษัทอาจเข้าตาจน และ ถูกบีบให้ทำตามข้อเรียกร้องที่ไม่สามารถปฎิเสธได้
9. ถ้ามองตรงหน้าอาจขาดทุน แต่หากมองให้ไกลขึ้น3ขั้นจะมีกำไร
เช่น ที่บริษัท สั่งโต๊ะบิลเลียดราคาสูงมาไว้ที่พักของพนักงาน คิดว่าจ่ายไร้สาระ แต่สื่อมวลชนเอาเรื่องราวไปเผยแพร่ พนักงานสนุกสนาน สร้างแบรนด์เป็นภาพลักษณ์ของบริษัท คนเก่งอยากมาทำงานกับเรามากขึ้น แทนที่จะมองแค่ตรงหน้าให้มองไกลขึ้น มีโอกาสชนะสูงและให้ผลตอบแทนงดงาม
10. หลุมพลางของการปิดบัญชีทุก3เดือน
....คือ ให้ความสำคัญสูงสุดกับความรวดเร็ว วางยอดขายและผลกำไรในระยะสั้น จึงผัดผ่อนการคิดวางแผนกลยุทธ์สำหรับระยะยาว
11. มองการบริหารเหมือนเป็นการเล่นหมากรุกญี่ปุ่น
....คิดว่าการทำกำไรงามๆ ต้องควบคุมและลดค่าใช้จ่ายให้เหลือน้อยสุด
....ทรัพยากรบริษัทคือเงินกับบุคลากร ผลประกอบการบริษัทขึ้นกับการบริหารจัดการ2อย่างนี้ เหมือนผู้บริหารเขียนบทละครเพื่อให้คนและเงินเล่นบทตาม ซึ่งเงินกับบุคลากรเหมือนเรือกับบิชอบในหมากรุกญี่ปุ่น เป็นอาวุธที่แข็งแกร่งของบริษัท การไม่ใช้เงินเพราะกลัวสูญเสียเหมือนหมากรุกโดยไม่วางเรือบนกระดานเพราะคิดว่าฝ่ายตรงข้ามยึดเรือจะเสียเปรียบ ทำให้ไม่มีพลังในการต่อสู้ เคล็ดลับอยู่ที่แพ้ชนะ ไม่ใช่เรืออยู่รอดปลอดภัย คือ การใช้เงินเพื่อซื้อยอดขายเข้ามา ทำให้เงินที่จ่ายออกไปมีมูลค่าที่เข้ามามากกว่าเดิม
12. ละทิ้งความคิดที่ว่าอาบเหงื่อต่างน้ำกว่าจะได้เงินมา
....ถ้าไม่ใช้เงินจะไม่มีทักษะด้านการใช้เงิน หากอยู่เฉย ไม่ยอมใช้เงิน กลัวว่าจะไม่ได้กำไร ไม่มีทางรู้วิธีใช้เงินเพื่อให้ได้กำไร หากไม่สั่งสมประสบการณ์ใช้เงิน และ บริหารเงินด้วยตนเอง ผ่านวันดีวันร้าย ไม่มีทางที่จะมีทักษะการใช้เงินที่ยอดเยี่ยม
....เน้นการใช้เงินอย่างคุ้มค่า คือ ใช้เงินโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพสูงสุด ใม่ใช่ให้ความสำคัญกับที่มาของเงินและความรู้สึก ไม่ใช่10ล้านเยนที่เก็บออมมา10ปีได้มาอย่างยากหรือง่าย แต่อยู่ที่ว่าจะใช้เงิน10ล้านอย่างไรให้มีปะรสิทธิภาพสูงสุด หากเก่งในการวางแผนใช้เงิน 500,000เยน แต่ไม่เคยใช้เงิน5ล้านเยน ก็ไม่มีทักษะทางด้านนี้ เพราะฉะนั้น วิธีดีที่สุด คือ ให้บริหารเงินก้อนโตที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โดยตั้งเป้าอย่างชัดเจน หากไม่เป็นไปตามเป้า ทบทวนว่าทำไม และให้เป็นบทเรียนไม่ให้ซ้ำรอย
13. ถ้าไม่ขาดทุน ก็ไม่สามารถพัฒนาทักษะการใช้เงินได้
....เมื่อผิดพลาดหลายครั้ง ก็เข้าใจว่าสิ่งใดทำแล้วส่งผลให้เกิดความผิดพลาดหรือสำเร็จ เช่น นักสะสมของเก่าถูกหลอกหลายครั้งก็จะมีตาที่แยกแยะได้ ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถือเป็นค่าวิชา กว่าชำนาญก็จ่ายค่าเล่าเรียน เพื่อเติบโตและพัฒนาต่อไป ยังไงเงินก็ต้องถูกใช้ แล้วต้องใช้ยังไงให้มีประสิทธิภาพ
14. ยิ่งพนักงานได้รับผิดชอบเงินก้อนโตเท่าไหร่ ผลประกอบการของบริษัทก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
....แรกๆอาจขาดทุน แต่พวกเขาจะเติบโตเมื่อได้เรียนรู้จากความล้มเหลว แม้ประธานจะบริหารเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางปิดการขายทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง ผู้บริหารต้องคำนึงไม่ใช่ทำให้ขาดทุนน้อย แต่ต้องทำอย่างไรถึงจะยกระดับความสามารถของพนักงานให้สูงขึ้น
....เคล็ดลับในการปิดการขายที่ดีขึ้นคือ ให้เขาปิดการขายที่มียอดเงินสูงพอที่จะสร้างความกดดันได้ รู้สึกว่าต้องพยายาม ถึงแม้ล้มเหลวแต่ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ
....ผลประกอบการดีแบบก้าวกระโดด คือ สามารถดึงประสิทธิภาพของทรัพยากรสำคัญที่สุด2อย่าง คือ เงิน และ บุคลากรได้อย่างเต็มที่ บริษัทที่มีประธานบริหารเงินแย่คือ ไม่เคยให้พนักงานปิดการขาย
15. คิดแบบเจ้าของกิจการดี แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
....เจ้าของบริษัทมักคิดว่าเงินบริษัท เป็นเงินของตัวเอง จึงไม่ค่อยลงทุนกับศักยภาพของพนักงาน แต่ไปลงทุนกับสิ่งของ
....การลงทุนซื้อของที่จับต้องได้เป็นการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำสุด เพราะมูลค่าลดลง หรือหากเพิ่มก็ช้า และอาจมีต้นทุนแฝง เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการ ค่าโฆษณา เงินเดือนพนักงาน เพราะฉะนั้น การลงทุนกับบุคลากรก่อให้เกิดคุณค่าเป็นทอดๆ เป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนดีกว่าซื้อสิ่งของ
16. ที่ใดไม่เคยมีความสูญเปล่า ที่นั่นย่อมไม่มีความมั่งคั่ง
....ความฟุ่มเฟือย มี2 ประเภท คือ ความฟุ่มเฟือยที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขสมบูรณ์ กับความฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นอย่างแท้จริง
....เราตัดสินความสำเร็จของการลงทุนจากการเปรียบเทียบอัตราการชนะกับผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน เช่น ชนะ30% แต่ให้ผลตอบแทนสูงหลายเท่า คนส่วนใหญ่มักเพิ่มผลตอบแทนด้วยการลงทุนระยะสั้น แต่ไม่ต่อเนื่อง ทำให้อัตราชนะและผลตอบแทนต่ำ
....ควรทำ2วิธีคือ
ก. อย่าหวังการตอบแทนจากการลงทุนแค่อย่างเดียว อย่าเปรียบเทียบการชนะกับผลตอบแทนแต่ละครั้ง ให้คำนึงสมดุลโดยรวม
ข. คิดถึงการลงทุนระยะยาว โดยมองให้ไกลขึ้น3ขั้น ซึ่งมองระยะสั้นดูเหมือนสูญเปล่า แต่การลงทุนส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนมหาศาลในระยะยาว แต่ไม่สามารถทำ2วิธีนี้ได้ หากมีจุดยืนว่าไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
....ความฟุ่มเฟือยอย่างชาญฉลาด คือกุญแจความมั่งคั่งของบริษัท ต้องฟุ่มเฟือยกับการลงทุน
17. สร้างหนี้บ้างแล้วกำไรจะตามมา
....เงินทุน เปรียบเหมือนลูกสิงโต ถ้าไม่ปล่อยไปล่าเหยื่อ ก็ไม่เกิดประโยชน์
....ยิ่งเมื่อผลประกอบการบริษัทมั่นคง เป็นช่วงเวลาที่ควรกู้ยืม และออกไปทำศึกใหญ่ ปลายทางของการลงทุนคือ คน ข้อมูล แบรนด์ จะสามารถสร้างอัตราผลตอบแทนได้หลายสิบหลายร้อยเท่าจากเงินที่ลงทุนไป
18. เราต้องการร่มในวันที่อากาศแจ่มใสที่สุด
....หนี้สินคือ ส่ิงที่ต้องสร้างตอนมีเงิน เพื่อพัฒนาต่อยอด (หากกู้ตอนไม่มีเงิน จะถูกนำไปใช้อุดช่องโหว่จากการขาดทุน) เมื่อมีเงินจำกัด ย่อมมีกลยุทธ์จำกัด โอกาสในความสำเร็จก็ต่ำ หนี้สินคือทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่ง ถ้าลงแข่งด้วยเงิน500ล้านเยนที่กู้มา จะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าลงแข่งด้วยเงินตัวเอง 100ล้านเยน
19. มีคุณเพียงคนเดียวที่จะตัดสินมาตราฐานด้านความหรูหราของตัวคุณ
....สิ่งไหนที่เรียกว่าน่าเสียดาย สิ่งไหนเรียกว่าสุรุ่ยสุร่าย สิ่งไหนเรียกว่าหรูหรา ทั้งหมดขึ้นกับมาตราฐานของแต่ละคน สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าต้องมีมาตราฐานที่ชัดเจน แต่ต้องมีหลักที่ถูกต้องในการมองโลกตามแบบฉบับของตนเอง อย่าให้สามัญสำนึกหรือมาตราฐานคนอื่น หรือสังคมมาทำให้หลักของตนเองสั่นคลอน
20. เปลี่ยนจากปริมาณสู่คุณภาพ ปลดแอกตัวเองให้ไร้ขีดจำกัด
....วัฒนธรรม คือ มีเรื่องราวซ่อนอยู่ เช่น ประวัติไวน์ ความเป็นมา ซึ่งผู้ลิ้มรสต้องได้รับความรู้ในเรื่องนั้นๆมากพอควร คือ มีความรู้ที่เข้าถึงวัฒนธรรม เพื่อเติบโต และ พัฒนาต่อไป การแสวงหาคุณภาพ สุนทรีย์ ความอร่อย ความประทับใจ คือ วัฒนธรรม ไม่ใช่จำนวนและปริมาณ สร้างสรรค์สิ่งต่างๆที่มีอิทธิพลต่อโลก
21. แม้จะขายบ้านไปซื้อไวน์ ชีวิตก็ไม่พัง
....การซื้อของ สิ่งสำคัญไม่ใช่ราคา คือ คุณค่าของสิ่งที่มองเห็นสำหรับตัวเอง คนที่ดำเนินชีวิตอย่างพรั่งพร้อม รื่นรมย์ ไม่ใช่คนที่มียอดในบญชีสูงๆ แต่คือคนที่มีกระแสเงินหมุนเวียนมาก คือ คนที่ใช้สิทธิ์ที่ตนเองมีอย่างเต็มที่ มีความสามารถในการหาเงินได้เท่าที่ต้องการใช้ คนที่มีประสบการณ์ยอดเยี่ยม มีความสามารถ เอาเงินมาลงทุนกับตัวเอง ไม่มีการลงทุนใดได้ผลแน่นอนเท่ากับการลงทุนในตัวพนักงาน
22. ทรงผมของดาราชายบ่งบอกความสำเร็จ
....พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ผู้หญิงทำงานเก่งล้วนเป็นคนที่รักสวยรักงามรักการแต่งตัว การแต่งตัวอย่างมีสไตล์บอกความเป็นคนช่างสังเกต ที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงด้านทัศนคติและค่านิยมของคนในสังคม และสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่า
....เมื่อเกาะแน่นกับสิ่งใด ไม่ยอมรับคำแนะนำจะเปลี่ยนแปลงยากขึ้น
23. ยิ่งทิ้งได้มากเท่าไหร่ ยิ่งเปลี่ยนแปลงได้มากเท่านั้น
....จำนวนสิ่งของที่สามารถทิ้งได้ คือ ค่าตัดสินความเปลี่ยนแปลง ทิ้งโดยไม่อาลัยเพื่อก้าวไปข้างหน้า เช่น ทิ้งอาชีพ ตำแหน่ง ค่านิยม ความคิดของตัวเอง ยิ่งยึดติดกับสิ่งต่างๆน้อยลงเท่าไหร่ ยิ่งใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
24. สังคมจะดีหรือร้าย ขึ้นกับว่าผู้หญิงปฎิบัตต่อผู้ชายอย่างไร
....ความชอบของผู้หญิง เป็นตัวกำหนดว่าจะให้ผู้ชายเป็นอย่างไร มีอิทธิพลต่อทัศนคติของผู้ชาย เพราะผู้ชายเป็นมนุษย์ที่พยายามทำตัวให้เป้นที่ชื่นชอบของผู้หญิงเพื่อให้ถูกเลือก เช่น ผู้ชายอิตาลีพิถีพิถันในการแต่งตัว ผู้ชายอังกฤษเป็นสุภาพบุรุษ ผู้ชายอเมริกันฟิตหุ่น เพราะความชอบของผู้หญิงประเทศนั้น
25. ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จมีวิธีใช้เงินและใช้เวลาในแบบที่แตกต่าง
....สิ่งที่ผู้หญิงเรียกร้องจากผู้ชาย คือ ความแข็งแกร่ง สมัยโบราณความแข็งแร่งคือ ความสามารถในการล่าสัตว์และพละกำลัง เป็นการดำรงชีพ ปัจจุบันความแข็งแกร่งในการดำรงชีพคือฐานะทางการเงิน
....วิธีมองว่าผู้ชายคนนี้จะสำเร็จหรือไม่ คือ
ก. ดูวิธีใช้เงิน (ไม่ใช่ดูว่ามีเงินมากหรือน้อย) ดูว่าเอาเงินไปเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง เช่น การกิน การเรียนรู้ทักษะ การคบหาเพื่อนฝูง เงินคือเครื่องมือเพื่อเพิ่มรายได้ในภาพรวม
ข. วิธีใช้เวลา ดูว่าคิดว่าเวลาของตัวเองมีค่า และ ใช้เวลาอย่างตระหนักถึงคุณค่าหรือไม่ คนที่คิดว่าเวลามีค่าจะไม่เสียดายการใช้เวลาเพื่อมีเวลาเพิ่มในอนาคต และ เคารพเวลาของคนอื่น
26. เลือกแฟนหนุ่มจากคนที่มีแฟนอยู่แล้ว
....คือ ตลาดไม่มีของดีเยี่ยมเหลืออยู่ แต่ไม่ใช่ไปแย่ง แต่ให้รอเขาเลิกกับคนเก่าก่อน
27. พิจารณาให้ช้าแต่ตัดสินใจให้ฉับไว
....ชีวิตมีทางแยกเสมอ เวลาที่นึกถึงข้อดีข้อเสียแล้วตัวเลือกมีข้อดีมากกว่า คือพิจารณาว่าสิ่งใดดีกว่า แต่ตัวเลือกที่มีข้อดีข้อเสียพอๆกัน ทำให้เกิดการตัดสินใจ
....เมื่อตัดสินใจในเรื่องที่ประเมินไม่ได้เด็ดขาดว่าจะเลือกทางไหน สิ่งสำคัญคือความเร็ว เพราะเลือกทางไหน ผลลัพธ์ก็ 50-50
....ซึ่งการพิจารณาอันดับแรกคือหาข้อดีข้อเสีย มีความเป็นไปได้ไหม ข้อมูลที่มีอยู่เป็นยังไง มีวิธีเพิ่มความเป็นไปได้ให้สูงไหม หากเวลาต้องตัดสินใจว่าทำหรือไม่ทำ จะตัดสินใจว่าทำหากสิ่งนั้นไม่เคยทำมาก่อน กับตัดสินใจไม่ทำ หากสิ่งนั้นทำมาตลอดอยู่แล้ว ยิ่งยุคเปลี่ยนแปลงเร็ว หากทำสิ่งเดิมจะถูกทิ้งให้ตกยุค
28. ยิ่งโตมากเท่าไหร่ ยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น
....องค์ประกอบหลักในการพัฒนาองค์กรให้มีความมั่นคงคือ พลังของแบรนด์ พลังเงินทุน พลังทรัพยากรบุคคล แต่หากไม่มีความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในภาวะฉุกเฉินก็ยิ่งอ่อนด้อย เหมือนได้โนเสาร์ที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป
29. กล้าทิ้งเงิน4พันล้านที่เห็นอยู่ตรงหน้า เพื่อเงินหมื่นล้านใน3ปีให้หลัง
....การไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนำมาสู่ความพ่ยแพ้ การรับสิ่งใหม่ต้องทิ้งสิ่งที่มีอยู่ หากรับเพิ่มโดยไม่ทิ้งของเดิมจะรักษาของใหม่ไว้ไม่ได้ จึงต้องทิ้ง ไม่ใช่แค่สิ่งของแต่รวมถึงความคิด ค่านิยม วิธีทำงาน รู้แบบธุรกิจ
....ตราบใดยังหวังกับสิ่งที่ทำอยู่การทิ้งเป็นสิ่งที่น่ากลัว รู้สึกยังไม่อยากสูญเสีย ก็ไม่สามารถรับสิ่งใหม่ได้
....การเลือกโดยยังไม่มีคำตอบที่ถูกต้องคือการตัดสินใจ
30. แยกแก่นออกจากกระพี้แบบไม่พลาด
....หาแก่นของสิ่งที่ทำให้เจอ
31. อย่าเลือกชุดสูทที่ดูเข้ากับตัวเอง
....สิ่งสำคัญไม่ใช่เลือกเสื้อผ้าที่เข้ากับตัวเอง แต่ต้องเลือกเสื้อผ้าให้ตัวเองดูดี อย่าเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับกิจการ แต่ให้เลือกกลยุทธ์ที่พัฒนาองค์กร แล้วปรับตัวเอง บริษัทให้เข้ากับกลยุทธ์นั้น
32. ยิ่งขุดหลุมลึก ยิ่งปีนขึ้นมายาก
....หากไม่มีความพร้อม และ ตัดสินใจละทิ้ง จะไม่สามารถละทิ้งได้อย่างแท้จริง การสละบางสิ่งเพื่อไม่ให้ขัดขวางการเติบโต การทำอะไรให้ถึงที่สุดก็เหมือนการขุด เหมือนขุดทอง แต่ความเชื่อที่ว่าขุดอีก 1เมตร จะเจอทอง ทำให้ถึงแม้ไม่เจอก็ไม่สามาถทิ้งหลุมเดิม เพราะฉะนั้น ตัดสินใจล่วงหน้าว่าต้องการทำถึงจุดไหน หากทำถึงแล้วไม่สำเร็จให้ปล่อยมือ เพื่อพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่
33. พยายามทำให้เงินเดือนของตัวเองลดลง
....คือการพยายามสร้างตัวแทนหรือระบบขึ้นมา เพื่อให้งานสามารถดำเนินต่อไปได้แม้ไม่มีเรา นอกจากได้ผลงานแล้ว ยังได้ตัวแทนอีกด้วย คนที่ต้องพยายามลดเงินเดือนตัวเองคือประธานบริษัท ควรทำให้บริษัทเดินหน้าต่อโดยไม่ต้องทำอะไรเลย แบบนี้รายได้ถึงเพิ่มขึ้น
34. มองแผนธุรกิจให้เหมือนแผงผังสำหรับประกอบตัวต่อของเล่น
....การวางโครงสร้างการทำงานที่เอื้อต่อการเติบโตแบบไม่หยุดยั้ง คือ แผนธุรกิจ ซึ่งเหมือนแผนผังของการประกอบตัวต่อ
....การประกอบตัวต่อไม่ใช่จดจ่อทำต่อไปเรื่อยๆ แต่ต้องดูแผนผังและประกอบชิ้นส่วนตามลำดับที่แผนผังบอกไว้ การบริหารหากมีแผนยังเหมาะสม และ ปฎิบัติตามนั้น ใครก็สามารถเพิ่มยอดขายได้แค่ลงมือทำ เราจะรู้ด้วยว่าผิดพลาดตรงไหน
35. ความหมายที่แท้จริงของคำว่าเสี่ยง
....ไม่ว่าเราจะทำอะไร มีชีวิตแบบไหน อยู่ในสถานะใด เราก็อยู่ในความเสี่ยง ความเสี่ยงที่ใหญ่สุด คือ ไม่สามารถหาวิธีหลีกเลี่ยงได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ถูกคนรอบข้างชักนำไปทางโน้นทีทางนี้ที ดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ
....วิธีรับมือความเสี่ยงคือ ตัดสินใจหันหน้าเข้าสู้โดยไม่ถอยหนี
เป็นอย่างไรบ้างคะ เต็มอิ่มกับ 35 แนวคิดเลยทีเดียว หากได้อ่านหนังสือเหมือนที่จูลอ่าน จะยิ่งเข้าใจได้มากขึ้นอีกค่ะ
เพิ่มการพัฒนาตัวเองวันละนิด
เหมือนเติมวันละ 1 องศา
1 วัน อาจจะไม่มีอะไร
10 วันไม่มีความต่าง
แต่ 100 วันล่ะ 1000 วันล่ะ
จะเปลี่ยนแปลงไปโดยแทบไม่เห็นร่องรอยเดิม
มาร่วมกันหา1องศา เพื่อเติมเต็มวงล้อชีวิตให้สมบูรณ์ไปกับเพจ #องศาที่หายไป
👍🏻เลื่อนนิ้วโป้งกด Like กด Share ให้จูลสักนิด..เพื่อชีวิตที่มีกำลังใจให้จูลนะคะ..ขอบคุณค่ะ
⭐️ติดตามที่ Blockdit
❤️ติดตามที่ Youtube
💙ติดตามที่ Facebook
#ทิ้ง1ให้ได้100 ทิ้งน้อยให้ได้มาก #ทิ้ง #สรุปหนังสือ #ทิ้งอย่างไรให้เติบโต #โยะชิโอะยะซุดะ #พัฒนาตัวเอง #เติบโต #ก้าวหน้า #สำเร็จ #หนทาง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา