20 ก.พ. 2021 เวลา 07:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Dune : มหากาพย์ไซไฟคลาสสิค

นักอ่านนิยายแนวไซไฟคงไม่มีใครไม่รู้จักเรื่องนี้
Dune
ถ้าThe Lord of The Ringsคือมหากาพย์แฟนตาซีชื่อดังที่คนรู้จักกันทั่ว Duneก็คือมหากาพย์ไซไฟที่ชื่อดังไม่แพ้กัน
เรียกว่าหายใจรดต้นคอกันมาเลยครับ
นิยายเรื่องนี้ประพันธ์โดยFrank Herbert ผู้มีประสบการณ์คร่ำหวอดมาแทบทุกอาชีพ นั่นเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่บ่มเพาะกลั่นออกมาเป็นตัวหนังสือ
cr. google.com Frank Herbert
ชื่อเริ่มแรกคือDune Worldซึ่งมีด้วยกัน3ตอน หลังจากนั้นจึงได้พิมพ์รวมเล่มภายใต้ชื่อDune
หนังสือขายดีมาก ประสบความสำเร็จมากมาย รางวัลเพียบ Frank Herbertจึงเริ่มเขียนเล่มต่อๆมารวมกัน2ไตรภาค ภายหลังที่เสียชีวิต ลูกชายของเขาก็ร่วมมือกับนักเขียนคนอื่นเขียนเรื่องนี้ทั้งในแบบPrequelและSequelหลายตอนจนถึงปัจจุบันนี้
เนื้อหาของDuneจริงๆแล้ว ตามความเข้าใจของผม มันไม่ใช่นิยายไซไฟแท้ๆที่ยึดโยงอยู่กับทฤษฎีหรือการอธิบายความในเรื่องเป็นเชิงวิทยาศาสตร์อย่างเดียว มันคือนิยายการเมืองแบบGame of Thronesมากกว่า เพียงแต่มีฉากหลังเป็นเรื่องราวในอนาคตอันไกลโพ้นที่หลุดกรอบจากโลกทั้งระยะทางและระยะเวลา
cr. google.com ระบบสุริยะจักรวาลของเรื่องDune
เรื่องเริ่มในปี10191ตามปูมบันทึกประวัติศาสตร์ของจักรวาลนี้ ในจักรวาลนี้ระบอบการปกครองจะเป็นแบบกลุ่มขุนนางกับจักรพรรดิ และมีสภาร่วมด้วย กลุ่มตัวละครสำคัญๆจะถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม ที่สำคัญก็จะมีตามนี้ครับ
-ขุนนางตระกูลAtreides กลุ่มนี้นำโดย Duke Leto, Lady Jessica และลูกชายPaulพระเอกของตอนนี้
cr. google.com Dune 1984
-ขุนนางตระกูลHarkonnen กลุ่มนี้นำโดย Baron Vladimir Harkonnen และหลานชายคือGlossu RabbanกับFeyd-Rautha
cr. google.com
-กลุ่มตระกูลCorrino กลุ่มนี้เป็นกลุ่มของจักรพรรดิ Padishah Emperer Shaddam IV กับลูกสาวคือองค์หญิงIrulanผู้เป็นคนบันทึกประวัติศาสตร์ของเรื่อง
cr. google.com
-กลุ่มชนพื้นเมืองFremen กลุ่มนี้มีผู้นำคือStilgar ภายหลังเข้าร่วมกับPaulตามคำทำนายโบราณของกลุ่ม กลุ่มนี้มีลักษณะพิเศษคือดวงตาจะเป็นสีฟ้าทั้งตาดำและตาขาว อันเป็นผลมาจากการได้รับสารเครื่องเทศตลอดเวลา
cr. google.com Stilgar
-กลุ่มสมาคมการค้า/ต้นหนอวกาศ CHOAM/Spacing Guild กลุ่มนี้เป็นพวกกลุ่มการค้าและต้นหนอวกาศที่ได้ผลประโยชน์จากการค้าสารเครื่องเทศMelangeเพราะตัวเองต้องใช้สารเครื่องเทศนี้ในการควบคุมการเดินทางในอวกาศ
cr. google.com
-กลุ่มBene Gesserit กลุ่มนี้มีคุณแม่สาธุคุณ Gaius Helen Mohiam กลุ่มนี้จะเน้นไปที่การพัฒนาค้นหามนุษย์ผู้เป็นเลิศทางพันธุกรรม การฝึกพลังจิต สายลับ กลุ่มนี้มักถูกตราหน้าว่าเป็นพวกแม่มดเสมอ
cr.google.com Dune 1984
และยังมีกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยอีกเยอะประกอบกันไปด้วยครับ
การแย่งชิงสัมปทานสารเครื่องเทศMelangeฟังดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ในเรื่องนี้สารเครื่องเทศMelangeเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในจักรวาล
cr.google.com สารเครื่องเทศ Melange
สารเครื่องเทศนี้มีความพิเศษในการขยายความสามารถด้านพลังจิต เคลื่อนย้ายวัตถุ ยืดอายุของใครก็ตามที่เสพสารนี้เข้าไปในร่างกาย โดยที่กลุ่มCHOAM/Spacing Guildต้องการสารนี้มากที่สุดเพราะทางกลุ่มมีมนุษย์กลายพันธุ์จากการเสพสารนี้เกินขนาดแต่มีพลังจิตมหาศาลที่สามารถเคลื่อนกองยานอวกาศจำนวนมากไปในที่ต่างๆในจักรวาลได้อย่างง่ายดาย
สารเครื่องเทศนี้ได้มาจากการทำเหมืองบนดาวที่แห้งแล้งที่สุดในจักรวาลนี้ ดาวที่มีแต่ทรายและสัตว์ประหลาดยักษ์ในนามของหนอนทราย(Sandworms) มีแค่ดาวดวงนี้เท่านั้นที่มีสารเครื่องเทศ นั่นคือArrakis
cr.google.com หนอนทราย
หรือที่รู้จักกันในนาม Dune นั่นเอง
การทำเหมืองนี้ก็ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆเพราะมีหนอนทรายรบกวนตลอด แถมด้วยชาวพื้นเมืองก็ไม่ค่อยชอบใจเพราะพวกเขาก็ไม่ได้ประโยชน์จากการทำเหมืองนี้สักเท่าไหร่
เรื่องมาเกิดตอนที่มีการเปลี่ยนมือสัมปทานจากกลุ่มHarkonnenมาเป็นกลุ่มAtreides
กลุ่มHarkonnenทำเหมืองแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ออกไปทางโหดร้ายทารุณ ทำให้ชาวพื้นเมืองไม่ชอบหน้า แต่กลุ่มAtreidesนั้นค่อนข้างเห็นใจชาวพื้นเมืองมากกว่าที่จะทำเหมืองอย่างเดียว
คราวนี้ผลประโยชน์ที่เคยได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ไม่ลงตัวสิครับ
องค์จักรพรรดิเองก็มองอย่างไม่ไว้ใจอยู่แล้วและคิดเสมอว่าทางกลุ่มAtreidesคือหอกข้างแคร่ มีสภาขุนางให้การสนับสนุนมากพอและมีแผนที่จะชิงบัลลังค์จากพระองค์
กลุ่มHarkonnenก็มีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อน
กลุ่มCHOAM/Spacing GuildกับBene Gesseritคงไม่ต้องพูดถึง
ทั้งหมดมีมติร่วมกันอย่างลับๆว่าให้กำจัดกลุ่มAtreidesทิ้งทั้งตระกูล อย่าให้เหลือ
กลุ่มตระกูลAtreidesถูกกำจัดทั้งตระกูลจริงๆ
1
แต่...
PaulกับLady Jessicaที่กำลังตั้งครรภ์หนีไปได้อย่างหวุดหวิดเจียนตายและต้องระหกระเหินไปในทะเลทรายโดยไม่รู้ชะตากรรม
เป็นอันจบตอนที่1
ตอนที่2และ3จะเป็นการผจญภัยของPaul Atreides ทายาทที่หนีรอดไปได้ PaulเคยฝึกแบบBene Gesseritจึงมีความสามารถด้านพลังจิตอยู่มาก
ชาวFremenให้ความสนใจแม่ลูกคู่นี้เพราะมันพ้องไปกับคำทำนายสืบต่อกันมาถึงผู้นำที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากและนำความสุขสงบมาให้
และด้วยความที่Lady Jessicaเป็นBene Gesserit ชาวพื้นเมืองจึงให้ความเคารพอย่างสูงและยกย่องให้เป็นคุณแม่สาธุคุณแทนคนเดิมที่ตายไป ลักษณะคล้ายผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวพื้นเมือง
ทั้งคู่อยู่กับชาวพื้นเมืองมาเรื่อยๆ Paulแต่งงานกับชาวพื้นเมืองชื่อChani ค่อยๆพัฒนาความสามารถของตัวเองและชาวพื้นเมือง จนได้รับการยกย่องและเชื่อจริงๆว่าPaulคือผู้ปลดปล่อยตามตำนานของพวกเขา
เมื่อสถานการณ์ใกล้สุกงอม Paulทำพิธีรับน้ำแห่งชีวิต(Water of Life)ที่ผู้หญิงที่ดื่มน้ำนี้มักจะรอด ส่วนผู้ชายที่ดื่มน้ำนี้ส่วนมากจะตายเพราะความเป็นพิษ แต่ถ้ารอดมาได้มันจะทำให้คนคนนั้นมีพลังจิตมหาศาลเข้าขั้นเหนือมนุษย์และควบคุมหนอนทรายได้
Paulรอด
และกลายไปเป็นผู้นำกลุ่มนี้ในฐานะผู้มาปลดปล่อย
เมื่อต้องทำสงครามใหญ่ครั้งสุดท้าย Paulและชาวพื้นเมืองเอาชนะกลุ่มจักรพรรดิและกลุ่มHarkonnenได้สำเร็จ ต่อรองกับทุกกลุ่มและตั้งตัวเป็นจักรพรรดิปกครองจักรวาลและควบคุมการค้าสารเครื่องเทศนี้ด้วย
cr. google.com Dune 1984
เป็นอันจบครบถ้วนในเล่มที่1
ในเรื่องนี้นอกจากเนื้อหาที่ได้พูดไปแล้วนั้น ประเด็นปลีกย่อยก็น่าสนใจไม่น้อย
ประเด็นที่มองเห็นชัดเจนคือเรื่องเทคโนโลยี สมัยนั้นมียานอวกาศที่ใช้ในการเดินทางมากมายแต่ทำไมยังต้องพึ่งพาต้นหนอวกาศที่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือยังมีมนุษย์อีกแบบหนึ่งที่ถูกฝึกมาให้เป็นเครื่องจักรที่มีตรรกะแบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่าMentat อีกอย่าง เรื่องนี้แทบจะไม่มีการใช้AIเลยด้วยซ้ำ
cr. google.com Mentat
มันมีที่มาจากสงครามใหญ่ด้านเทคโนโลยีก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องบนDuneครับ
Frank Herbertเขียนอธิบายไว้เล็กน้อยในหนังสือเล่มแรกว่าเกิดสงครามที่เรียกกันว่า Butlerian Jihad (เป็นชื่อคนนะครับ ไม่ใข่แปลว่าผู้รับใช้) จนมนุษย์เกิดความไม่ไว้วางใจในระบบคอมพิวเตอร์กับAIขึ้นมา (ตามท้องเรื่องน่าจะมาจากการพึ่งพาระบบคอมพิวเตอร์กับAIมากเกินไปถึงขั้นวิกฤตต้องรบกัน แต่ส่วนตัวคือสมัยนั้นเรื่องAIขณะที่เขียนเรื่องนี้ยังไม่แพร่หลายเหมือนอย่างในปัจจุบัน)
cr. google.com
เทคโนโลยีของเรื่องนี้เลยดูอิหลักอิเหลื่อพิกล
ประเด็นต่อมาน่าจะเป็นเรื่องนิเวศน์วิทยาเพราะดาวDuneไม่มีชั้นบรรยากาศที่จะกักเก็บความชื้นได้เลย การกักเก็บน้ำของชาวพื้นเมืองจะต้องเก็บไว้ใต้ดินที่ฉาบผิวหน้าด้วยพลาสติกกันการรั่วซึมและการระเหยของน้ำ แต่มีนักนิเวศน์วิทยาของดาว(พ่อของChani แฟนPaul)พยายามแก้ไขปรับสภาพดาวอยู่ตลอดแต่แกดันโดนฆ่าตายไปก่อน
ประเด็นเรื่องพันธุวิศวกรรม พวกBene Gesserit ต้องการที่จะปรับปรุงพันธุกรรมของมนุษย์เพื่อที่จะสร้างพวกเหนือมนุษย์ตามตำนานขึ้นมา การปรับปรุงทำได้เกือบสำเร็จแต่ไม่ตรงตามความต้องการของBene Gesseritที่อยากได้มนุษย์ผู้หญิงมากกว่า (ตามต้นฉบับมีท่านเคานท์ท่านหนึ่งคือผลผลิตที่ว่านี้ด้วย มีความสามารถสูงมากแต่เป็นชายและเป็นหมัน)
Lady Jessica ก็คือผลผลิตมาจากการปรับปรุงพันธุกรรมเหมือนกัน โดยการนำเอาพันธุกรรมของพวกHarkonnenมารวมด้วย เมื่อLady JessicaมีลูกชายตามใจDuke Leto คือ Paul โครงการนี้จึงยังไม่สมบูรณ์ จนกระทั่งมีลูกสาวคือ Alia โครงการนี้จึงสมบูรณ์แต่สุดท้ายก็ยังมีปัญหาอยู่ดี
cr. google.com Alia Atreides
ศาสนาในเรื่องของชาวพื้นเมือง อันนี้ค่อนข้างชัดว่าอิงศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะใช้ชื่อ คำเรียก หรือพิธีกรรมต่างๆ และยังมีส่วนผสมของศาสนาคริสต์ที่ว่าด้วยเรื่องMessiahอยู่ด้วย
เทคโนโลยีในทะเลทราย คนที่อยู่บนดาวนี้จะสวมชุดที่เรียกว่าStillsuit มันถูกออกแบบมาให้เก็บกักน้ำ ความชื้นหรือของเหลวรูปแบบต่างๆของคนมาเก็บไว้ในตัวชุดแล้วระบบกลั่นของชุดจะทำให้ของเหลวต่างๆมีความสะอาดและสามารถใช้ดื่มได้
cr. google.com Stillsuitเวอร์ชั่นต่างๆ
นี่ว่ากันแค่เรื่องทางเทคนิคครับ ยังไม่นับรวมการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองหรือซับพล็อตอื่นเพราะในเล่มที่1ไม่เน้นการเมืองครับ
รายละเอียดเยอะจริงๆ
ในเล่มต่อๆมาจะเป็นเรื่องของPaulในช่วงวัยกลางคนและลูกฝาแฝดที่จะกลายมาเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ในเวลาต่อมา เนื้อหาส่วนนี้เท่าที่เคยอ่านก็สนุกดี แปลได้ค่อนข้างดี แต่หลังจากอ่านไตรภาคนี้จบแล้วไตรภาคต่อไปเกิดอาการอ่านไม่รู้เรื่องครับ
cr. google.com ฉบับบภาษาอังกฤษ
ไม่รู้ว่าต้นฉบับเขียนแล้วอ่านยากหรือผมเองที่ตื้นเขินจนอ่านไม่เข้าใจ
cr. google.com ฉบับแปลไทย
หลายคนบ่นให้ฟังว่าอ่านเล่มแรกเล่มเดียวก็พอ ที่เหลือไม่ต้อง อ่านแล้วน่าเบื่อมาก ยิ่งเล่มหลังๆยิ่งแย่
ก็ไม่รู้สินะ...
เคยอ่านนิตยสารA dayฉบับไซไฟสัมภาษณ์คุณโจ มณฑาณี ตันติสุข ถึงนิยายเรื่องนี้ คุณโจให้ความเห็นว่านิยายเรื่องนี้ก็คือภาพสะท้อนของพวกชาวตะวันตกหลายชาติที่เข้าไปแย่งกันขุดเจาะบ่อน้ำมันในตะวันออกกลาง แบ่งผลประโยชน์กันในรูปแบบสัมปทาน ส่วนชาวพื้นเมืองทำได้แค่ยืนมองตาปริบๆ
cr. google.com
ฟังแล้วก็ เออ จริงแฮะ
สารเครื่องเทศคือน้ำมันดิบ
สงครามระหว่างกลุ่มขุนนาง จักรพรรดิและกลุ่มอื่นๆคือการแย่งชิงน้ำมันของประเทศต่างๆ
กลุ่มชาวพื้นเมืองกับหนอนทรายคือชาวพื้นเมืองของตะวันออกกลาง
สัมปทานเหมืองเครื่องเทศก็คือข้อตกลงของกลุ่มประเทศที่จ้องจะขุดเจาะน้ำมันขึ้นมา
เห็นภาพชัดเจนมาก
นิยายเรื่องนี้ขยายขอบเขตไปไกลมากกว่าที่เคยจินตนาการไว้เมื่อเริ่มแรก
จากการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรบนดาวนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆมากมายในเรื่อง
สุดยอดจริงๆ
หนังสือเล่มเล็กๆแค่นี้เองนะ
ไม่น่าเชื่อ
ขอคารวะผู้ประพันธ์จริงๆ
.
.
.
ปล. ขอยกคำพูดของPaulตอนถูกทดสอบโดยBene Gesseritสักนิดครับ ชอบเป็นการส่วนตัว
I must not fear, fear is the mind-killer.
1
ข้าต้องไม่กลัว ความกลัวจักพิฆาตจิตใจ*
1
* จากฉบับแปล ดูน ราชันย์พิภพทราย
โฆษณา