27 ก.พ. 2021 เวลา 07:00 • บันเทิง
2010 The Year We Make Contact : เกือบคว่ำไม่เป็นท่า
ภาพยนตร์แนวไซไฟมักจะเป็นภาพยนตร์ที่จะวาดฝันจินตนาการออกไปให้กว้างไกล
บางเรื่องก็เป็นอนาคตที่ดูแล้วมีความเป็นไปได้
บางเรื่องก็หลุดโลกไปมาก
ไกลสุดกู่โน่น...
ไร้ซึ่งความเป็นไปได้ทั้งปวง
แต่ในปี1968 มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์แนวนี้กลายเป็นที่กล่าวขานไปทั่วและกลายเป็นภาพยนตร์ไซไฟอมตะคลาสสิคตลอดกาล
2001 : A Space Odyssey
cr. wikipedia.org ใบปิดหนัง
ฝีมือของบรมครู Stanley Kubrick
cr. imdb.com Stanley Kubrick
บรมครูขนาดไหนก็คงเป็นที่รู้ๆกันอยู่ครับ
ที่มาของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากเรื่องสั้นจากงานของArthur C. Clarke เรื่องThe Sentinel และจากเรื่องสั้นก็ถูกนำมาขยายจนเป็นเรื่องยาวในนาม2001 : A Space Odyssey
cr. imbd, google Arthur C. Clarkeกับเรื่องสั้นและนิยายสร้างชื่อ
เดิมทีในเรื่องสั้นจะระบุสถานที่เกิดเหตุเป็นดาวเสาร์ แต่ทีมงานถ่ายทำขอให้เปลี่ยนเป็นดาวพฤหัสแทนเพราะเหตุผลด้านเทคนิคการถ่ายทำในสมัยนั้นที่สร้างดาวเสาร์ขึ้นมาไม่ได้
อ้อ ลืมบอกครับว่าเรื่องนี้เขียนนิยายไปเขียนบทภาพยนตร์ไปด้วย
สปอยล์สั้นๆครับ มีการค้นพบแท่งMonolithบนโลก ดวงจันทร์และที่ดาวพฤหัส David Bowman กับ Frank Poole นักบินอวกาศทั้งสองได้รับคำสั่งให้เดินทางไปตรวจสอบแท่งMonolithกับยานDiscovery มีAIชื่อHAL 9000ควบคุมยานพร้อมกับลูกเรืออีกหลายคน แต่เกิดอะไรไม่ทราบได้HALกำจัดลูกเรือทั้งหมดทิ้ง มีเพียงDavid Bowmanรอดไปได้พร้อมปิดระบบของHALทิ้งแล้วเดินทางต่อ สุดท้ายก็หายสาบสูญไปเมื่อใกล้ถึงดาวพฤหัส
คำพูดสุดท้ายของDavid Bowmanที่โลกรับรู้คือ
My God, It's full of stars...
หลังจากความสำเร็จของทั้งนิยายและภาพยนตร์ ต้องใช้เวลานานกว่าภาคที่2ของนิยายเรื่องจะออกมาได้ และอีกกลายปีกว่าจะมากลายเป็นภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง
ตัวนิยายและภาพยนตร์เริ่มต้นต่อจากภาคแรกทันทีโดยเท้าความแค่นิดหน่อยพอรู้เรื่อง
ในภาค2นี้ตัวนิยายจะกล่าวถึงDr.Heywood Floyd ผู้ที่เป็นคนวางแผนการเดินทางในภาคแรกที่ลาออกหลังจากภารกิจในภาคแรกล้มเหลว ต่อมาได้รับการทาบทามให้ร่วมคณะกับมนุษย์อวกาศชาวรัสเซียเดินทางไปกับยานAlexei Leonovเพื่อสืบหาว่าเกิดอะไรขึ้นที่ดาวพฤหัสกันแน่ รวมทั้งนำยานDiscoveryกับHALกลับมาตรวจสอบด้วย
งานนี้Arthur C. Clarkeเขียนได้ระดับมาตรฐานเดิม เนิบนาบตามสไตล์ อ่านแล้วพานจะหลับมิหลับแหล่เช่นเดิม แต่ก็สนุกดีครับ
cr.amazon.com ปกหนังสือ
ตัวนิยายประสบความสำเร็จไม่น้อยและมีตามต่อมาอีก2เล่มคือ 2061: Odyssey Three และภาคสุดท้ายคือ 3001 : The Final Odyssey เล่มสามพูดถึงดาวหางฮัลเลย์ ส่วนภาคสุดท้ายพูดถึงFrank Pooleที่ได้รับการช่วยเหลือกลับมาจากการลอยเท้งเต้งหลับอยู่ในอวกาศมา1สหัสวรรษ
cr.google.com
ในส่วนของภาพยนตร์นั้นจะปูพื้นอีกหน่อยว่าช่วงเวลานั้นอเมริกาและรัสเซียยังอยู่ในช่วงสงครามเย็นและมีแนวโน้มว่าจะเป็นสงครามใหญ่อีกต่างหาก
cr. wikipedia.org ใบปิดหนัง
ดังนั้นการร่วมมือกันของนักบินอวกาศของทั้ง2ประเทศดูจะเป็นหนทางเขื่อมไมตรีที่ดีที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว
และอีกเหตุผลหนึ่งคือยานDiscoveryก็มีแนวโน้มที่จะชนเข้ากับดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสอีกด้วย การสืบหาความจริงต่างๆก็จะหมดหวังกันไป
การต่อยานลำใหม่เองก็ไม่ใช่ทำได้รวดเร็ว จึงต้องพึ่งพายานAlexei Leonovที่สร้างเสร็จแล้วของทางรัสเซียแทน
การร่วมมือกันไม่ใช่ปัญหา แต่มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังตรวจสอบยานDiscoveryและแท่งMonolithใกล้ดาวพฤหัส
ขณะเดียวกับที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของทั้งสองก็ง่อนแง่นกันใกล้เกิดสงครามจนต้องพักการตรวจสอบและแยกยานกันอยู่
เรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นเป็นสัญญาณเตือนจากDavid Bowmanที่หายสาบสูญไป
David Bowmanเตือนให้ทุกคนรีบหนีก่อนที่ดาวพฤหัสจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่จากแท่งMonolithด้วยการสั่งการของอะไรบางอย่างจากที่อันไกลโพ้น
และนั่นเป็นที่มาของชื่อในภาษาไทยว่า
2010 : อุบัติการณ์อาทิตย์ดวงใหม่ ครับ
งานนี้ได้ผู้กำกับคือPeter Hyamsมากุมบังเหียนใหญ่ ผลงานที่ผ่านมาก็มีเรื่อง Outland, Timecop, The Relics, End of Days...
cr. google.com Peter Hyams
แต่งานนี้ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่
แค่พอได้ทุนคืนบ้าง
เคยดูเรื่องนี้ครับ ในโรงด้วย เพราะความที่เคยอ่านนิยายมาก่อนก็มีอคติมาว่าหนังควรจะอลังการกว่านี้ ฉากดีกว่านี้ เนื้อหาก็ต้องได้
ผิดหวังหน่อยครับแต่พอรับได้ ภาพรวมก็ไม่แย่เท่าไหร่ งานโปรดักชันต่างๆก็โอเค งานด้านภาพก็พอไปได้ ออกแบบก็พอไหว แต่มันไม่อลังการเท่าที่วาดเอาไว้ในหัว
การเล่าเรื่องอยู่ในระดับที่รับได้ อธิบายความได้ไม่ยากหรือซับซ้อนเกินไป ชัดเจนครับ เข้าใจง่ายดี ลดความซับซ้อนของเรื่องลงไปเยอะเหมือนกัน ขัดใจนิดหน่อยครับ
เอาน่ารวมๆแล้วมันก็ยังดูโอเคอยู่ ไม่แย่มาก
แต่พอได้กลับไปดูเรื่อง2001...
ขนาดทำมาก่อนตั้งนาน การเดินเรื่องช่วงแรกดูจะง่วงๆแต่สมจริงมากขนาดว่าฉากในอวกาศก็ไม่มีเสียงยกเว้นเฉพาะในตัวยานเท่านั้น พอเข้าช่วงลงท้ายทั้งงานภาพและการเล่าเรื่องกลับดูแล้วดีมากทั้งที่เป็นงานค่อนข้างเก่าแล้ว
เอาเป็นว่า2010กลับหงายเงิบ กลิ้งตกขอบไปเลย
ขอไว้อาลัยแป๊บครับ
ว่ากันที่เพลงประกอบภาพยนตร์
ภาคแรกใช้เพลงคลาสสิคเป็นส่วนใหญ่ก็จะมีเพลงAlso Sprach Zarsthustraจากฝีมือของ Richard Strauss
และThe Blue DanubeโดยJohann Strauss II ครับ เพราะมาก เป็นเพลงโปรดผมด้วย
ทั้ง2เพลงข้างต้นอาจขึ้นอินโทรช้าและเบาจนนึกว่าไม่มีเสียงครับ เน้นงานด้านภาพที่ผมว่าเนียนตาและดูไฮเทคดี
ภาคสองก็ใช้เพลง Also Sprach Zarathustraครับ แต่ยังมีอีกเพลงครับ ฝีมือของAndy Summers มือกีตาร์วงThe Policeมาทำให้ เป็นเพลงบรรเลงสไตล์Rockครับ ไม่ได้นำมาใช้ในภาพยนตร์แต่มีอยู่ในซาวน์แทรคหนังครับ
เพลงนี้เป็นการนำAlso Sprach Zarathustraมาทำเป็นแนวRockครับ ชอบ สนุกดี
ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าถึงตัวนิยายจะขายดีมีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากแค่ไหน แต่ถ้าเอามาทำเป็นภาพยนตร์แล้วก็ขอให้คิดสักนิดว่า ถ้าสร้างแล้วไม่ค่อยดีถึงจะให้อภัยได้ก็ขอให้ระวังตัวไว้หน่อย
แฟนหนังสือจินตนาการเอาไว้เยอะนะครับ
อีกประการหนึ่งถ้าเป็นภาคสองก็ต้องระวังตัวไว้ให้มากด้วยเพราะถ้าภาคแรกทำได้ดีมากแล้ว ภาคสองถ้าทำดีก็แค่เสมอตัว ถ้าแย่แม้แต่นิดเดียวก็โดนเหยียบจมกันได้ง่ายๆ แถมมีไม่กี่เรื่องที่ภาคสองเอาชนะภาคแรกได้สำเร็จ
แฟนหนังเขาบอกมาครับ
สุดท้ายครับ มีข่าวแว่วมาหลายปีแล้วครับว่าTom Hanksสนใจที่จะทำหนังเรื่อง3001 เห็นว่าจะนำแสดงเองเป็นตัวFrank Pooleด้วย
น่าสนใจครับ
ถ้าเป็นจริงก็รอชมล่ะครับ
ขอให้โชคดี
โฆษณา