20 ม.ค. 2021 เวลา 11:57 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สุดยอดหนังดี จาก Top 250 บนเวบไซด์ IMDb Part 7 : ลำดับที่ 31-35
1
สรุปอันดับหนัง Top 250 IMDb ที่รีวิวไปแล้วในตอนก่อน
21. Life Is Beautiful (1997)
22. City of God (2002)
23. The Silence of the Lambs (1991)
24. It's a Wonderful Life (1946)
25. Star Wars: Episode IV - A New Hope (1977)
26. Saving Private Ryan (1998)
27. Spirited Away (2001)
28. The Green Mile (1999)
29. Interstellar (2014)
30. Parasite (2019)
ลำดับที่ 31-35 เป็นอีกหนึ่งช่วงที่มีแต่หนังดีระดับ 5 ดาว แต่หนังในลำดับนี้มีแต่เรื่องที่เนื้อหาค่อนข้างหนักแทบทั้งนั้นเลย (ยกเว้น The Lion King เรื่องเดียว)
หมายเหตุ : คะแนนดาวเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน 3 ระดับ คือ
3 ดาว = หนังดี ควรหามาดู
4 ดาว = หนังดีมาก แนะนำให้ดู
5 ดาว = หนังดีมากๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด
31. Léon: The Professional (1994)
Rating 8.5 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,032,424 คน
Léon: The Professional (1994) กำกับและเขียนบทโดยลุค เบซง( Luc Besson)เป็นเรื่องราวสุดพลิกผันของสาวน้อยมาทิลด้าที่ครอบครัวของเธอถูกแกงค์ค้ายาเสพติดฆ่าตายยกครัว ทำให้เธอต้องหนีมาพักอยู่กับลีออง ชายลึกลับที่พักอยู่ห้องข้างๆ
ซึ่งเขาไม่ใช่คนธรรมดาเพราะลีอองเป็นนักฆ่ามืออาชีพ มาทิลด้าจึงขอร้องให้ลีอองช่วยแก้แค้นให้ครอบครัวของเธอ พร้อมทั้งขอให้เขาสอนยิงปืน ลีอองไม่ได้รับปากเรื่องนี้แต่เขาก็รับเธอมาดูแล ทั้งสองจึงได้มาอยู่ด้วยกันจนเกิดเป็นมิตรภาพระหว่างวัย ท่ามกลางภารกิจสังหารและการแก้แค้นของมาทิลด้า
บทวิจารณ์ : ★★★★★
นี่คือหนังนักฆ่าสุดคลาสสิค ที่มีเนื้อเรื่องแตกต่าง น่าสนใจ เป็นการผสมผสานระหว่างหนังแอ็คชั่นกับโรแมนติคที่ลงตัว
แม้ว่าความสัมพันธ์ของลีอองกับมาทิลด้าจะแปลกไปสักหน่อย คือ ผู้ชมจะรู้สึกได้ว่า มาทิลด้านั้นหลงรักชายแก่อย่างลีออง ขณะที่ลีอองก็สงบเสงี่ยม เขาไม่ได้แสดงอาการหลงรักแบบชู้สาว แต่ก็คอยดูแลและปกป้องเธอให้ปลอดภัย จะเรียกว่าเป็นการจิ้นกันของชายแก่กับเด็กสาวก็ว่าได้ นับเป็นหนังที่เอาใจสายโลลิโดยแท้
1
สำหรับฉากแอคชั่นแม้จะมีไม่มากแต่ก็สนุกและลุ้นทุกฉาก ด้านการแสดงก็โดดเด่นทั้งฌ็อง เรโน (ลีออง) และการแสดงครั้งแรกของนาตาลี พอร์ตแมน(มาทิลด้า) ในวัย 13 ปี เธอทำได้ดีมากจนผู้ชมต่างหลงเสน่ห์สาวน้อยมาทิลด้าไปตามๆกัน นับว่า Léon: The Professional เป็นหนังที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก แม้จะผ่านกาลเวลามายาวนานถึง 27 ปี แต่ก็ยังไม่มีหนังแอคชั่นเรื่องไหนเลียนแบบได้
32. Hara-Kiri (1962)
Rating 8.5 คะแนน จำนวนคนโหวต 41,559 คน
 
ย้อนไปยุคเอโดะ ในปี 1630 ซามูไรโรนิน นาม "ฮันจิโร่" ได้เดินทางมายังคฤหาสน์ของตระกูลไอยิ ( Ii)เพื่อขอใช้ลานด้านหน้าของตระกูลทำพิธีฮาราคีรี (ฮาราคีรี หรือ เซปปุคุ เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของซามูไรที่ต้องการปลิดชีพของตนเองด้วยการคว้านท้อง)
ก่อนหน้านี้เคยมีซามูไรหลายคนเดินทางมาขอทำฮาราคีรีที่ตระกูลไอยิ แต่ซามูไรเหล่านั้นหาได้ยึดถือในเกียรติยศของซามูไร พวกเขามาเพื่อหวังให้คนในตระกูลปฏิเสธ
และมอบเงินช่วยเหลือแก่พวกเขา
.
การกระทำอันไร้เกียรตินี้สร้างความเบื่อหน่ายให้กับ ไซโตะ ผู้เป็นพ่อบ้านของตระกูลไอยิอย่างยิ่ง เขาเห็นว่าซามูไรเหล่านี้ยอมทิ้งเกียรติยศของซามูไรเพื่อแลกกับเศษเงินเพียงเล็กน้อย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไซโตะ เห็นว่าฮันจิโร่ คงต้องการเงิน เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสามเดือนก่อนให้ฮันจิโร่ฟัง
ตอนนั้นมีซามูไรหนุ่มนาม " ชิจิอิวะ โมโตเมะ " มาขอทำฮาราคีรีที่ตะกูลไอยิ ซึ่งซามูไรอาวุโสของตระกูลได้ปฏิเสธที่จะให้เงิน แถมบังคับให้โมโตเมะทำฮาราคีรีตนเองด้วยดาบไม่ไผ่ของเขาอีกด้วย
การทำฮาราคีรีด้วยดาบไม่ไผ่นั้นทรมานมากเพราะดาบไม่ไผ่ไม่มีคม แม้โมโตเมะร้องขอให้เลื่อนเวลาออกไปหนึ่งหรือสองวัน เขารับปากว่าจะกลับมาทำฮาราคีรีอย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครเห็นใจ จนท้ายที่สุดโมโตเมะก็จากไปอย่างทรมาน เมื่อฟังเรื่องราวของโมโตเมะจบ ฮันจิโร่ก็ยืนยันว่าเขาจะทำฮาราคีรี เขาได้เล่าเหตุผลของการตัดสินใจครั้งนี้ให้คนของตระกูลไอยิฟัง
ซึ่งเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นการฉีกหน้ากากและประชดประชันต่อวิถีซามูไรจอมปลอมที่ทำออกมาได้อย่างแยบยล คมคาย (เล่ามากกว่านี้ไม่ได้ เดี๋ยวสปอยด์)
บทวิจารณ์ : ★★★★★
Hara-Kiri เป็นหนังที่เล่าเรื่องได้ทรงพลังมากที่สุดเรื่องหนึ่ง แม้หนังจะเดินเรื่องแบบตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน แต่ทุกเหตุการณ์ก็ถูกร้อยเรียงเข้าหากันได้อย่างสมบูรณ์
สำหรับผม Hara-Kiri ได้ก้าวข้ามความเป็นหนังที่จะชมเพื่อความบันเทิงไปแล้ว หนังมีความเป็นงานศิลปะที่เปิดเผยให้เห็นถึงจิตวิญญาณของซามูไรที่ยึดมั่นต่อเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีเหนือสิ่งอื่นใด
การทำฮาราคีรีเป็นสิ่งที่มีเกียรติอย่างมากตามวิถีซามูไร แต่ฉากหน้าอันทรงเกียรตินี้มีเบื้องหลังอันขมขื่น การที่ใครสักคนจะคว้ามีดมาเพื่อทำอัติวินิบาตกรรมได้ เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากในจิตใจแค่ไหน ? หนังตั้งคำถามต่อสิ่งนี้ และมากไปกว่านั้น หนังได้สะท้อนให้เห็นถึงระบบชนชั้นในสังคม เมื่อผู้มีอำนาจมองข้ามความทุกข์ยากของผู้คน และเลือกที่ให้ความสำคัญกับพิธีกรรมจารีตมากเกินไป สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นเพียงเกียรติยศปลอมๆที่ไม่มีคุณค่าแต่อย่างใด
33. The Usual Suspects (1995)
Rating 8.5 คะแนน จำนวนคนโหวต 988,955 คน
เกิดเหตุระเบิดขึ้นบนเรือลำหนึ่งที่ท่าเรือซาน เปโตร จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 27 คน เหตุการณ์ครั้งนี้ มีผู้รอดชีวิต 2 คน แต่หนึ่งในผู้รอดชีวิตถูกไฟครอกทั้งตัวจนไม่สามาถให้ข้อมูลกับตำรวจได้ เขาพูดเพียงแค่ว่า " ไคเซอร์ โซเซ่ "
ทำให้ตำรวจอยากรู้ว่า ไคเซอร์ โซเซ่ เป็นใคร ? จึงได้ทำการสอบสวน เวอร์บัล คินท์ ชายอีกคนที่รอดชีวิตมาได้ ซึ่งเวอร์บัลได้ให้ข้อมูล โดยเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เขาได้วางแผนกับเพื่อนๆเพื่อที่จะขโมยเพชร จนได้มารู้จักกับโซเซ่ แต่ก็เป็นการรู้จักเพียงแค่ชื่อเท่านั้น เพราะโซเซ่ส่งคนมาทาบทามพวกเขา ไม่มีใครเคยพบตัวจริงของโซเซ่ จากคำให้การดูเหมือนว่าโซเซ่คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ใครกันล่ะที่เป็น ไคเซอร์ โซเซ่ ?
บทวิจารณ์ : ★★★★★
The Usual Suspects เป็นหนังหักมุมสุดคลาสสิคที่ผู้ชมจะต้องอ้าปากค้างทันทีที่หนังเฉลยปมตอนท้ายเรื่อง ข้อแนะนำอย่างเดียวของผมเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือ ห้ามอ่านสปอยด์ก่อนดูหนังเด็ดขาด
34. The Lion King (1994)
Rating 8.5 คะแนน จำนวนคนโหวต 939,424 คน
ณ ผืนป่าแห่งผาทรนงที่ มูซาฟา ราชาแห่งสิงโตปกครองอยู่ สัตว์ต่างๆอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จนกระทั่ง สกา น้องชายของมูซาฟาได้หักหลังพี่ชายเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ ทำให้ ซิมบ้า ลูกของมูซาฟาต้องถูกเนรเทศออกไปจากผาทรนง
ซิมบ้าได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าที่ห่างไกล จนได้พบกับมิตรภาพของสองคู่หูอย่าง พุมบ้า (หมูป่าจอมป่วน) และ ทีโมน (เมียร์แคตจอมกวน) แล้ววันหนึ่งซิมบ้าก็ได้พบกับ นาลา ซึ่งเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา
นาลา ได้เล่าถึงความร้ายกาจของ สกา ที่ปกครองจนทำให้ผาทรนงที่เคยอุดมสมบูรณ์กลายเป็นผืนป่าที่แห้งแล้ว จนสัตว์ทุกตัวอดอยาก ทำให้ซิมบ้าตัดสินใจที่จะทวงคืนบัลลังก์ของเขาให้กลับมาอีกครั้ง
บทวิจารณ์ : ★★★★★
สารภาพตามตรงว่าผมไม่ค่อยอินกับการ์ตูนของดิสนีย์สักเท่าไหร่ มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ชอบและหนึ่งในนั้นก็คือ The Lion King ด้วยความสมบูรณ์แบบของการ์ตูนที่ทำออกมาได้ดีมากๆในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพ เพลง หรือเนื้อเรื่อง
ถ้าจะให้ยกงานอนิเมชั่นวาดมือที่ชอบที่สุดของดิสนีย์ (ไม่รวม Pixar)ก็คงเป็น The Lion King นี่ล่ะ สาเหตุหลักๆที่ผมชอบ The Lion King คงเป็นเพราะผมมักจะอินกับการ์ตูนแบบเด็กชาย ซึ่งการผจญภัยของซิมบ้าในเดอะไลอ้อนคิงตอบโจทย์ข้อนี้ได้เป็นอย่างดี
35. The Pianist (2002)
Rating 8.5 คะแนน จำนวนคนโหวต 727,343 คน
The Pianist เป็นผลงานการกำกับของโรมัน โปลันสกี้ ( Roman Polanski)ผู้กำกับชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว หนังถึงเล่าเรื่องราวในปี 1939 ช่วงที่เยอรมันบุกยึดโปแลนด์ได้สำเร็จ ทำให้ "วลาดิสลอว์ สปิลมันน์" นักเปียโนเชื้อสายยิวต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ยากจะลืม
การเข้ามาของกองทัพนาซีทำให้ชีวิตนักดนตรีชองเขาถูกจำกัด ชาวยิวทุกคนจะตัองสวมปลอกแขนเพื่อแสดงสัญลักษณ์ที่แบ่งแยกพวกเขา สิทธิ์และเสรีภาพที่เคยมีก็ถูกริดลอน สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดครอบครัวของสปิลมันน์ก็ถูกย้ายไปยังค่ายกักกัน แต่เขาหลบหนีมาได้
แม้จะรอดจากการส่งตัวไปค่ายกักกันแต่สปิลมันน์ก็ยังต้องเป็นแรงงานรับใช้ทหารนาซี ที่นั่นพวกเขาถูกกระทำอย่างป่าเถื่อน สปิลมันน์จึงตัดสินใจที่จะหนีออกมา เขาได้ซ่อนตัวและใช้ชีวิตอยู่ตามบ้านร้างหรืออาคารที่โดนถล่ม ต้องใช้ชีวิตอย่างอดๆอยากๆ จนวันหนึ่งก็ได้พบกับ ร้อยเอก วิล์ม นายทหารนาซีที่หยิบยื่นความเมตตาให้กับเขา ท่ามกลางสงครามที่ใกล้จะสิ้นสุดลงทุกที
1
บทวิจารณ์ : ★★★★★
1
เป็นปกติของหนังนาซี ที่ต้องรู้สึกหดหู่ทุกครั้งเมื่อได้เห็นความโหดร้ายที่มนุษย์กระทำต่อกัน ยิ่งรู้ว่า The Pianist สร้างมาจากเรื่องจริงก็ยิ่งเพิ่มความหดหู่มากขึ้นไปอีก โปลันสกี้สร้างหนังเรื่องนี้ออกมาได้อย่างสมจริง เราจึงได้เห็นชีวิตอันยากลำบากของสปิลมันน์ที่พยายามต่อสู้เพื่อให้ตนเองได้มีชีวิตรอด
ต้องชื่นชมการแสดงของเอเดรียน โบรดี้ (Adrien brody)ที่พาเราดำดิ่งไปในโลกอันโหดร้ายของสปิลมันน์ได้อย่างเข้าถึงอารมณ์จนเขาสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้สำเร็จ
แม้ว่า The Pianist จะเป็นหนังนาซีที่หดหู่ ผมก็อยากจะแนะนำให้ทุกคนดู เพราะนอกจากความหดหู่ที่จะทำให้เราได้ตระหนักถึงพิษภัยของสงครามแล้ว ในแง่มุมหนึ่ง The Pianist ก็ได้ฉายภาพของการช่วยเหลือโดยที่ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติด้วยเช่นกัน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา