21 ม.ค. 2021 เวลา 11:05 • หนังสือ
สรุป The Power of Output [Final Part]
สวัสดีค่ะนักดองทุกคน กลับมาอยู่กับ สรุปหนังสือOutput 📚 อีกแล้วจ้า ใน Part นี้ก็เป็น Part ที่ 3 แล้ว โพสที่แล้วเราใส่เลขผิด เขิลสุดๆ 😝เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่ได้อ่านก็ติดตามได้ในเพจเลยนะคะ
ส่วนตัวตั้งใจจะให้โพสนี้เป็น สรุปอันสุดท้าย ของเจ้าหนังสือเล่มนี้แล้ว ยอมรับเลยว่าจบยากจริงๆค่ะ เพราะรายละเอียดเยอะและอัดแน่นมาก😱
เอาเป็นว่าจะสรุปเนื้อหาหลักๆที่เราคิดว่าจะมีประโยชน์กับทุกคนให้อ่านกันนะคะ แล้วถ้าใครสนใจก็ไปหามาอ่านกันเลย
ในโพสที่แล้วเราได้เล่าถึง Output ที่เป็นเหมือนเบสิกในชีวิตเรามากๆเลย ก็คือ #การพูด ซึ่งก็มีประโยชน์มากมายก่ายกอง วันนี้เราจะมาพูดถึงอีกสองตัวที่เหลือก็คือ #การเขียน และ การลงมือทำ ค่ะ
มาเริ่มกันที่การเขียนก่อนเลยค่ะ การเขียนเป็นการ กระตุ้นการทำงานของสมอง💡 ได้อย่างดี ทำให้สมองเราตั้งสมาธิและเก็บข้อมูลได้อย่างเต็มที่ แล้วยังส่งผลถึงฮอร์โมนอีกด้วยค่ะ ซึ่งการเขียนที่ผู้เขียนแนะนำที่สุดก็คือ การเขียนด้วยมือ
ใจเย็นก่อนนะคะ เค้าไม่ได้บอกให้เราไปเขียนหนังสือขาย อะไรทำนองนั้น แต่หมายถึงการเขียนสรุป จดบันทึกค่ะ
เราอาจจะใช้วิธี เขียนแทรก ลงไปในหนังสือที่อ่าน ซึ่งเป็นการทำ Input และ Output ในทันทีเลย หรือจะขีดเส้นใต้เฉยๆผู้เขียนก็ถือเป็น Output แล้วค่ะ
👍🏼การเขียนที่ดีที่สุดคือ เขียนหลังจากได้รับ Input ในทันที เพราะถ้าทิ้งนานไปจะลืม การเขียนทันทีจึงเปรียบเสมือน การถ่ายรูป ข้อมูลเก็บไว้ดูในสมอง
บางคนอาจจะคิดว่าฉันเขียนไม่เก่ง เขียนไม่รู้เรื่อง ผู้เขียนย้ำมาเลยนะคะว่า 💡การพัฒนาทักษะการเขียนทางเดียวคือเขียนเยอะๆค่ะ แล้วยิ่งถ้ามี Feedback กลับมายิ่งดีมากๆเลย อย่างเอาไปให้เพื่อนอ่าน หรือ โพสลงในเฟสก็ได้ค่ะ
👍🏼ถ้าไม่รู้จะเริ่มเขียนจากตรงไหนดี #เริ่มจาก การเขียนไอเดียที่อยู่ในหัวเราออกมา หรือทำ To Do List ก็ได้ ซึ่งการเขียนรายการที่เราต้องทำ หรือสิ่งที่เราคิดอยู่ออกมานั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก ทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆเป็นรูปธรรมมากขึ้น แล้วยังเป็นการเคลียพื้นที่สมองของเราอีกด้วยค่ะ
👍🏼ส่วนวิธีการเขียนหรือ การจดโน๊ต นั้น เลือกวิธีที่เหมาะกับเรา หรือถนัดที่สุดเลยค่ะ แล้วผู้เขียนยังบอกอีกนะคะว่าให้เลือกสมุดจด ปากกา ดินสอ แบบที่เราชอบเลย เพื่อให้เรารู้สึกสนุกไปกับการเขียน และก็อยากจะพกไปไหนมาไหนตลอดเวลาค่ะ
มาต่อกันที่ Output ตัวต่อไปกันเลยค่ะ นั่นก็คือ การลงมือทำ การลงมือทำถือเป็น Output ที่ทรงพลังที่สุดแล้ว😱 นอกจากจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ก็ยังเป็นการพัฒนาที่เห็นชัดเจนที่สุดแล้วค่ะ
ถ้าเราลงเรียนการถ่ายภาพในอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าเราจะลงเรียนอีกสักกี่คอส เขียนบล็อกอีกสักกี่หน เราก็คงถ่ายรูปไม่เก่ง ถ้าเราไม่เคยหยิบกล้องออกมาถ่ายจริงๆ
ต้องมีบางคนที่คิดว่าฉันไม่มีเวลาทำหรอก จะทำได้ยังไง ตัวเราเองก็เคยคิดแบบนั้นค่ะ ผู้เขียนได้แนะนำว่าทำไปเถอะ💡 ทำไปก่อน เริ่มวันนี้เลย ทำวันละนิดละหน่อยแต่ทำทุกวันอย่างต่อเนื่อง อาจจะสลับกิจกรรมบ้างจะได้ไม่เบื่อ
👍🏼แล้วเราก็ควรจะตั้งเป้าหมายของการทำ โดยให้ตั้งเป็นเป้าหมายแบบยากเล็กๆ (ในหนังสือเรียกว่างี้อ่า) ประมาณว่าไม่ยากไปแล้วก็ไม่ง่ายไปค่ะ แล้วก็แบ่งเป้าหมายที่ตั้งให้ออกเป็นเป้าหมายเล็กๆ
การตั้งเป้าหมายที่ดีจะทำให้เรารู้สึกท้าทาย และยังเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ด้วยค่ะ
เราจะเล่าเรื่องจริงจากประสบการณ์ของเราให้ฟัง เราน้ำหนักขึ้นจาก enjoy eating ของเราเอง ขึ้นจาก 53 เป็น 68 เราก็เลยตั้งใจว่าฉันจะลดน้ำหนักลงให้ได้ 53 เท่าเดิมภายใน 1 ปี! (ใจเย็น เราไม่ได้จะขายคอสลดน้ำหนัก)
เราเริ่มจากการตั้งใจว่าจะไปออกกำลังกายทุกวัน เริ่มวิ่งจากวันละ 20 นาที แล้วก็เปลี่ยนอาหารที่เคยกิน ไปทีละนิด เพิ่มผักที่มาทีละอย่าง
จนเมื่อกลางปีที่แล้ว เรากลับมาหนัก 51 แล้ว ซึ่งใช้เวลาประมาณปีกว่าๆ เราปลื้มมาก ดีใจสุดๆ เพราะดีกว่าเป้าหมายที่เราอยากได้ซะอีก ถึงความจริงจะใช้เวลามากกว่า 1 ปีก็เถอะ
นี่แหละค่ะผลจากการลงมือทำทุกวัน แล้วก็ตั้งเป้าหมายให้กับตัวเอง เราเลยอยากบอกทุกคนว่าทำได้ค่ะ ลงมือทำเลย แล้วก็ใจเย็นรอดูผลสักนิด รับรองว่าไม่ผิดหวังค่ะ
👍🏼แต่ถ้าหากเราทำแล้ว ล้มเหลว มันไม่ได้หมายถึงว่าเราล้มเหลวนะคะ แต่เราแค่ผิดพลาด มองให้มันเป็น Feedback ซึ่งเราสามารถเรียนรู้ ปรับปรุงแก้ไข แล้วก็ก็ช่วยให้เราพัฒนาต่อไปได้นั่นเอง
👍🏼แล้วที่สำคัญที่สุดก็คือเราจะต้องสนุกไปกับสิ่งที่เราทำค่ะ ความสนุกทำให้เรามีสมาธิและยังสร้างแรงบัลดาลใจได้ด้วย
เนื้อหาเหมือนกำลังจะไลฟ์โค้ชเลยเนอะ นี่หนังสือ Output จ้าอย่าเข้าใจผิด ที่ต้องย้ำให้ทุกคนฟังแบบนี้เพราะอยากจะให้ทุกคนลุกขึ้นมาลงมือทำกันค่ะ
การลงมือทำที่เป็น Output ที่ทรงพลังมากเลย💡 ก็คือ การสอน การสอนทำให้เราพัฒนาตนเองได้มากที่สุด เพราะเป็นทั้ง Input, Output และ Feedback ในคราวเดียว😱 เรียกได้ว่า 3-in-1 กันเลย
ไม่จำเป็นว่าเราต้องเปิดโรงเรียนสอนนะคะ เดี๋ยวรวยกันหมด เราแค่สอนเพื่อนในกลุ่ม หรือคนใกล้ตัวก็ได้แล้วค่ะ
มาถึงเรื่องสุดท้ายที่เราอยากจะเล่าของหนังสือเล่มนี้ แล้วก็เป็นอีกอย่างที่เราชอบเลยก็คือ การแสดงความรู้สึก ใช่ค่ะ เค้านับเป็น Output ด้วย
👍🏼นั่นเป็นเพราะเวลาเราเก็บความรู้สึกไว้จะทำให้เราเครียด หรือเหนื่อยล้าได้ ผู้เขียนจึงแนะนำว่าให้เขียน หรือพูดความรู้สึกนั่นออกไป จะช่วยให้เบาลงได้
#การยิ้ม 😄คือการแสดงความรู้สึก ที่ควรทำมากๆมากที่สุด เพราะนอกจากจะคลายเครียดแล้ว การยิ้มยังเป็นการฝึกสมอง แล้วก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้อีกด้วยค่ะ
เช่นเดียวกันกับ การร้องไห้ 😭ทุกคนน่าจะเคยได้ยินที่เค้าบอกว่า ถ้าเสียใจก็ให้ร้องออกมา น้ำตาจะเยียวยาเรา
นั่นเป็นเพราะการร้องไห้จะทำให้ร่างกายเข้าสู่โหมดรีเล็กซ์ แล้วยังช่วยบรรเทาความรู้สึกในใจ การดูหนังเรียกน้ำตาทั้งหลายก็เช่นกันนะคะ เวลาเราร้องไห้กับหนังจะเหมือนการขับตะกอนในใจเราออกไป ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้ค่ะ
ถ้าใครเคยร้องไห้เวลาดูหนังคอมเม้นบอกกันหน่อยนะคะว่าจริงแค่ไหน เราไม่ค่อยได้ดูหนังเลยค่ะ เพราะชอบฟังเพลงมากกว่า
แต่อารมณ์เดียวที่ผู้เขียนไม่สนับสนุนให้เราปล่อยออกมาก็คือ ความโกรธ 😡ยิ่งโกรธยิ่งส่งผลเสีย ทั้งกับตัวเราและคนรอบข้าง
ผู้เขียนแนะนำวิธีการควบคุมความโกรธ คือการควบคุมลมหายใจของเราค่ะ โดยหายใจเข้าออกช้าๆ เป็นเวลา 30 วินาทีเท่านั้น ก็จะช่วยลงอาการโกรธลงได้ค่ะ
แล้วก็จบไปแล้วนะคะ สำหรับหนังสือ The power of Output หรือศิลปะของการปล่อยของ📚 นับว่าเป็นหนังสือที่คุ้มค่าอีกเล่มที่อยากให้ทุกคนไปซื้อหามาอ่านกันนะคะ ในหนังสือยังมีเทคนิคอีกมากมายที่รอทุกคนอยู่ค่ะ
โอ้ย เราเผลอเขียนยาวอีกแล้ว ตั้งใจว่าจะทำสรุปสั้นๆ เอาเป็นว่าไว้รอบหน้า 5555🤣 ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมาจนถึงบรรทัดนี้นะคะ 🙏🏻
ในคราวหน้าเราจะมารีวิวหนังสือใหม่ (รึเปล่า) อย่าง #Fear of missing out หรือชื่อภาษาไทย ไม่ต้องตามใตร แค่ใช้ชีวิตแบบของคุณ ให้อ่านกันนะคะ ฝากติดตามด้วยน้า 💕
หนังสือ: Power of Output
หมวดหมู่: จิตวิทยาและพัฒนาตนเอง
ผู้เขียน: ชิออน คาบาซาวะ
ผู้แปล: อาคิรา รัตนาภิรัต
สำนักพิมพ์: SandClock Books

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา