โดยเป็นกองทุนที่จะลงทุนในกองทุนต่างประเทศอย่างกองทุน Baillie Gifford Long Term Global Growth Fund (Class B) กองทุนนี้จะเน้นลงทุนในตราสารทุนที่เติบโตทั่วโลก เช่น หุ้นของบริษัท Amazon.com, Tesla , Illumina, Tencent และ Alibaba เป็นต้น โดยเป็นกองทุนที่ไม่จ่ายเงินปันผล (ส่วนตัวแอดแนะนำว่าถ้าลงทุนระยะยาวแบบ DCA เลือกกองทุนที่ไม่จ่ายเงินปันผลจะดีกว่า เพราะกองทุนที่จ่ายปันผล ปันผลที่เราได้รับก็ต้องเสียภาษี อีกทั้งเมื่อถึงรอบระยะเวลาที่ต้องจ่ายปันผลกองทุนจำเป็นต้องกันเงินสดไว้เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ถือกองทุนส่งผลให้กองทุนจะบริหารพอร์ตการลงทุนได้ไม่ยืดหยุ่นเท่ากองไม่จ่ายเงินปันผล และอาจทำให้การดำเนินงานของกองทุนมีประสิทธิภาพน้อยกว่า)
1
ทางด้านผลการดำเนินงานของกองทุนนี้จะเห็นได้ว่าผลการดำเนินงาน1ปีที่ผ่านมา ทำผลตอบแทนได้สูงถึง 82.83% ซึ่งโดยส่วนตัวแอดคิดว่าเป็นผลมาจากการอัดฉีดสภาพคล่องของ Fed ที่ทำให้หุ้นอเมริกาและอีกหลายๆประเทศขึ้นมาทำ New High ทั้งๆที่สถานการณ์โควิท 19 ก็ยังไม่ได้หายไป แต่ถ้านับผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยในระยะเวลา 3 ปี กองทุนนี้ก็ยังให้ผลตอบแทนสูงถึง 30.12% ต่อปีซึ่งถือว่าสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจากตราสารทุนที่อยู่ประมาณ 8-10%
2.กองทุน TMBCOF
เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นในประเทศจีน โดยเป็นกองทุนแบบ Active ซึ่งทางผู้จัดการกองทุนเลือกหุ้นที่ทำธุรกิจในจีนและมีการเติบโตสูง เช่น Alibaba, Tencent, TAL Education
เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทย โดยมีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active (ไม่ได้เคลื่อนไหวตามดัชนีตลาดเหมือน Passive แต่ขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้จัดการกองทุน) กองทุนนี้จะลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 15 ตัวและจะโยกตัวไปเรื่อยๆตามโอกาสที่ผู้จัดการกองทุนได้เล็งเห็น ซึ่งแอดคิดว่าในตอนนี้เป็นกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยซึ่งมีผลการดำเนินงานดีที่สุด เนื่องจากราคา Nav ในปัจจุบันทำ New High ไปแล้วทั้งๆที่ดัชนี Bench mark อย่าง Set index ยังอยู่ที่แค่ 1,500 จุดน้อยกว่ายอด High เดิมที่ประมาณ 1,800 จุดพอประมาณเลยทีเดียว หมายความว่าผู้จัดการกองทุนดำเนินงานได้ Outperform กว่าตลาด
ทางด้านผลการดำเนินงานของกองทุน TSF-A มีผลการดำเนินงานตั้งแต่เริ่มจัดตั้งกองทุนอยู่ที่ 12.39% ต่อปี ถือว่ามากกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตของดัชนี Set index ที่อยู่ประมาณ 8-10% ต่อปี โดยเฉพาะผลการดำเนินงานใน1ปีล่าสุดทางกองทุนนี้ให้ผลตอบแทนสูงถึง 35.97% ซึ่งมากกว่าดัชนี Set index ที่ให้ผลตอบแทน -4.48% ใน1ปีที่ผ่านมามากเลยทีเดียว