25 ม.ค. 2021 เวลา 05:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
คอมโบ้เซ็ตชุดเปิดใจหนังอินเดีย : จัดเต็ม 30 เรื่องแบบไม่กั๊ก
ตอนที่ 1 : เรื่องที่ 1 - 10
เมื่อพูดถึงหนังอินเดีย หลายคนคงนึกถึงหนังที่มีคู่พระนางออกมาร้องเพลงและวิ่งไล่จับกัน แต่จริงๆแล้วอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของบอลลีวู้ด (Bollywood) ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก มีหนังสนุกมากมายที่จัดเต็มไม่แพ้อเมริกา แถมสไตล์หนังก็โดดเด่นมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
1
วันนี้เราขอแนะนำหนังอินเดียชุดใหญ่ไฟกระพริบ 30 เรื่อง ให้ดูกันแบบจุใจ โดยขอแบ่งเป็น 3 ตอน เพื่อไม่ให้บทความยาวจนเกินไป
1
หมายเหตุ : ตอนที่ 1 จะมีหนังที่ผมเคยแนะนำไปแล้วปนมาบ้าง ขอแนะนำซ้ำอีกรอบนะครับ เพื่อให้ทุกเรื่องมาอยู่ในซีรีส์เดียวกัน
1. PK (2014)
เป็นหนังอินเดียที่จิกกัดและตั้งคำถามต่อความเชื่อ ความศรัทธาของมนุษย์ได้อย่างคมคาย
เรื่องราวของ PK เริ่มต้นจากมนุษย์ต่างดาวคนหนึ่งได้แฝงตัวมาศึกษามนุษย์โลก แต่เขาดันทำรีโมทที่ใช้เรียกยานหายไปเลยต้องติดอยู่บนโลก เขาจึงต้องใช้ชีวิตแบบมนุษย์จริงๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของมนุษย์ ที่ออกจะแปลกไปสักหน่อยในความคิดของเขา
เมื่อเริ่มเข้าใจภาษา เขาได้ถามผู้คนที่พบเจอถึงวิธีในการตามหารีโมท ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่ก็คือ " มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยได้ " ภารกิจตามหาพระเจ้าของมนุษย์ต่างดาวจึงเกิดขึ้น ซึ่งวิธีการตามหาพระเจ้าของเขาได้ทำให้เราได้ตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่เราศรัทธาได้ถูกบิดเบือนจนกลายเป็นความงมงายและเปิดช่องให้มีคนมาหาผลประโยชน์จากความศรัทธาของเราหรือไม่ ?
2
ที่ยก PK มาเป็นเรื่องแรกเพราะเป็นหนังอินเดียที่โด่งดังและมีคนรู้จักมากที่สุด เป็นหนังดูสนุกที่ตั้งคำถามต่อมนุษย์ในรื่องความเชื่อความศรัทธาได้อย่างลึกซึ้ง ใครยังไม่เคยดูขอแนะนำเลยครับแล้วคุณจะเปิดใจกับหนังอินเดีย
คะแนน : 10/10
2. OMG oh my god (2012)
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เล่นกับประเด็นความเชื่อความศรัทธาต่อพระเจ้าคล้ายกับ PK
หนังตีแผ่ให้ผู้ชมได้เห็นทุกแง่มุมของพระเจ้า พร้อมทั้งให้แนวคิดที่ดีต่อความศรัทธา
1
ตัวเอกของเรื่องนายกานจีเป็นชายที่ทำธุรกิจขายรูปปั้นเทพเจ้าทั้งๆที่เขาไม่ได้ศรัทธาเลยสักนิด สักแต่ว่าขายเพื่อทำกำไร
อยู่มาวันหนึ่งร้านของเขาถูกแผ่นดินไหวจนพังไม่เป็นท่า แต่บริษัทประกันปฏิเสธที่จะจ่ายค่าเสียหายเพราะเป็นข้อยกเว้นว่าประกันจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆที่เกิดจากการกระทำของพระเจ้า (ภัยธรรมชาติทั้งหมด)
นายกานจีจึงยื่นฟ้องต่อศาลว่าพระเจ้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ร้านของเขาเสียหายและต้องจ่ายค่าชดเชย โดยระหว่างสู้คดีเขาต้องต่อสู้กับคนส่วนใหญ่ในสังคมที่นับถือพระเจ้าเพราะนายกานจีฟ้องร้องพระเจ้าของทุกศาสนาเลย
จากพล็อตเรื่อง หนังน่าจะถูกแบนจากหลายชาติ แต่ทีมเขียนบทและผู้กำกับก็หาทางออกให้กับปัญหานี้ได้อย่างฉลาดสุดๆ ซึ่งผมไม่สามารถเล่าได้เพราะจะสปอยด์
ด้วยกลวิธีนี้ไม่ว่าคนดูหนังจะมีความเชื่อแบบใดก็ไม่มีทางเกลียดหนังเรื่องนี้แน่นอน
คะแนน : 10/10
1
3. 3 idiots (2009)
หนังที่วิพากษ์ระบบการศึกษาที่สอนให้คนอยู่ในกรอบและยิดติดในตำรา อ่านดูอาจจะคิดว่าหนังเรื่องนี้เครียด แต่ไม่เลย...หนังจิกกัดและใส่ความเป็นคอมมาดี้ลงไปได้อย่างลงตัว
1
3 idiots เป็นเรื่องราวมิตรภาพของเพื่อนรักสามคนคือ แรนโซ่ ,ฟาฮาและ ราจู ที่เมื่อเรียนจบต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน หลังผ่านไปหลายปี แรนโซ่ ได้ขาดการติดต่อกับเพื่อนๆ ทั้งที่เขาโดนท้าทายจาก ชาเตอร์ เพื่อนร่วมชั้นขี้อิจฉาว่าหลังเรียนจบไป 10 ปี ใครจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากัน
เมื่อครบสิบปีแต่ยังหาแรนโซ่ไม่พบ เหล่าเพื่อนๆจึงออกตามหาพร้อมทั้งได้ย้อนเรื่องราวกลับไปในอดีต สมัยที่พวกเขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย
นี่คือหนังอินเดียที่มีครบรส ทั้งมิตรภาพระหว่างเพื่อน ความสนุก เศร้า ตลก
และโรแมนติค การันตีด้วยรางวัลจากการประกวดหนังทั่วโลกมากมาย
คะแนน : 10/10
4. Barfi ! (2012)
"บาร์ฟฟี่ไม่สมบูรณ์ แต่ความรักของเขาสมบูรณ์ " นี่คือหนังรักที่ประหลาดที่สุดในโลก แต่เมื่อดูจบคุณจะหลงรักตัวละครและอาจจะเสียน้ำตาให้กับความรักของบาร์ฟฟี่
บาร์ฟฟี่ ชายหนุ่มผู้มีความบกพร่องด้านการพูดและการได้ยิน เขาเป็นคนอารมณ์ดีและขี้เล่นมาก บาร์ฟฟี่ตกหลุมรักกับสาวสวยคนหนึ่งเธอชื่อ ชรูติ เธอเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมในทุกด้าน
ด้วยความยากจนบวกกับความพิการทำให้ความรักครั้งนี้มีอุปสรรคซึ่งบาร์ฟฟี่จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้ ในระหว่างนั้นเขาก็ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับจิลมิล สาวออทิสติกที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เรื่องยุ่งๆในความสัมพันธ์ของคนทั้งสามนำไปสู่บทสรุปความรักอันยิ่งใหญ่ ที่มีทั้งรอยยิ้มและความอิ่มใจ
1
คะแนน : 9.5/10
5. The lunch box (2013)
" บางทีรถไฟผิดขบวน อาจนำเราไปสู่สถานีที่ถูก " นี่คือประโยคเด็ดจากหนังรักโรแมนติคว่าด้วยความสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากการส่งจดหมายคุยกันผ่านปิ่นโตอาหาร
1
เมื่อ " อิลา " แม่บ้านลูกหนึ่งที่ตั้งใจทำอาหารปิ่นโตส่งไปให้สามีทานในมื้อกลางวันที่ทำงาน แต่เกิดความผิดพลาดในการส่งของดับบาวาลา (คนส่งปิ่นโต) ทำให้อาหารถูกส่งไปให้ " ซาร์จาน เฟอร์นันเดช " พ่อหม้ายผู้อยู่ในช่วงท้ายของชีวิตการทำงาน
ทั้งคู่ส่งจดหมายหากันเพื่อคอยปรึกษาและแก้ปมในใจให้กันจนก่อเป็นความรู้สึกดีๆ
แม้ อิลา จะยังไม่หย่ากับสามีแต่เธอก็รู้มาตลอดว่าสามีหมดรักในตัวเธอแล้ว เธอจะกู้ความรักกลับมาได้หรือไม่ ? หรือจะเริ่มความสัมพันธ์กับชายที่พูดคุยกันผ่านจดหมาย
เชิญติดตามต่อได้ใน The lunch box เมนูต้องมนต์รัก
คะแนน : 9.5/10
6. Sanju (2018)
Sanju เป็นผลงานการกำกับของราจคูมาร์ ฮิรานิ (Rajkumar Hirani) ผู้กำกับ PK และ 3 Idiots หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการทำหนังที่วิพากษ์วิจาร์ความเชื่อและระบบการศึกษาไปแล้ว คราวนี้ฮิรานิมาทำหนังที่จิกกัดการทำงานของสื่อมวลชนบ้าง
1
Sanju สร้างมาจากเค้าโครงเรื่องจริงของซานเจย์ ดัตท์ (Sanjay Dutt)ดาราชายเบอร์ใหญ่ของบอลลีวูดที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนทั้งเสพยา ติดผู้หญิง และครอบครองอาวุธสงคราม จนได้มาเป็นผู้ต้องหาในคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์วางระเบิดที่มุมไบ ในปี 1993 ซึ่งเป็นข้อหาด้านการก่อการร้าย
1
ดัตท์ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุวางระเบิด แต่ครอบครองอาวุธสงครามจริง
ซึ่งอาวุธนั้นก็คือ ปืน AK56 จำนวน 1 กระบอก ทำให้เขามีความผิดฐานครอบครองอาวุธสงครามจนต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำนานถึง 6 ปี
ด้วยความที่เขาเป็นดาราดัง บวกกับเรื่องฉาวโฉ่ในวงการบันเทิง ทำให้ซานเจย์ ดัตท์ ต้องเผชิญกับมรสุมลูกใหญ่ ซึ่งปัญหาสำคัญของเขาคือ " การพาดหัวข่าวที่เกินเลยความจริงของสื่อมวลชน "
เขาไม่ได้มีความผิดฐานก่อการร้าย คดีของเขาเกิดจากการครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์กลับบอกว่า " อาร์ดีเอ็กซ์(สารตั้งต้นระเบิด)อยู่ในรถบรรทุกที่บ้านของดัตท์ " ทำให้เขาและครอบครัวถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
หนังตั้งคำถามต่อการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน แต่หนังก็ถูกตั้งคำถามจากสื่อมวลชนด้วยเช่นกัน พวกเขามองว่า Sanju สร้างมาเพื่อฟอกขาวให้กับซานเจย์ ดัตท์ ซึ่งในฐานะผู้ชมเราคงสรุปเรื่องนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่รู้ก็คือ Sanju เป็นหนังที่ดูสนุกและยังให้ข้อคิดกับเราว่า " ควรมีวิจารณญาณในการรับข่าวและกลั่นกรองให้ครบถ้วน รอบด้าน ก่อนที่จะตัดสินใครคนใดคนหนึ่ง "
คะแนน : 10/10
7. Ittefaq (2017)
เมื่อนักเขียนหนุ่มชาวอังกฤษเชื้อสายอินเดียตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตกรรมภรรยาตนเอง เขาได้หลบไปอาศัยอยู่ในห้องพักของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งระหว่างนั้นได้เกิดเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นทำให้เขาสลบไป
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็พบตำรวจที่เข้ามาจับกุมพร้อมทั้งโดนคดีเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา คือ คดีฆาตกรรมสามีของหญิงสาวที่ให้ที่หลบหนีกับเขา หนุ่มนักเขียนปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตายของภรรยา และไม่รู้ว่าสามีของหญิงสาวคนนั้นตายได้อย่างไร ? นำไปสู่การสอบสวนที่คำให้การของผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีให้การไม่ตรงกันสักคน ตำรวจจึงต้องสืบสวนเพื่อหาความจริงและนำคนผิดมาลงโทษให้ได้
นี่คือหนังสืบสวนที่ดูสนุกและหักมุมพลิกไปมาอยู่ตลอดเวลา ใครเป็นคอหนังแนวนี้ห้ามพลาด
คะแนน : 9.5/10
8. Taare Zameen Par (2007)
เป็นหนังของอาเมียร์ ข่าน (Aamir Khan)ที่เขาทั้งกำกับและแสดงนำด้วยตนเอง Taare Zameen Par เป็นเรื่องของอิซาน เด็กชายอายุแปดขวบที่มีภาวะบกพร่องในการเรียนรู้ (Dyslexia) ทำให้เขาไม่สามารถเข้าใจบทเรียนได้เท่ากับเด็กคนอื่นๆในชั้นเรียน
ปัญหานี้สร้างความหนักใจให้กับครอบครัวของอิซานเป็นอย่างมาก พ่อของอิซานคิดว่าเขาเป็นเด็กหัวทึบที่ขี้เกียจ จึงส่งอิซานไปโรงเรียนประจำเพื่อหวังว่าเขาจะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น
ที่นั่นอิซานได้พบกับ นิคุมป์ ครูสอนศิลปะที่มีประสบการณ์ในการสอนเด็กพิเศษมาก่อน เมื่อเห็นอิซาน นิคุมป์ก็รู้ทันทีว่าเขามีภาวะความบกพร่องในการเรียนรู้ซึ่งสามารถแก้ไขได้
นิคุมป์สอนอิซานโดยปรับวิธีการสอนให้เหมาะกับเขา จนอิซานสามารถผสมคำและอ่านหนังสือได้ ยิ่งไปกว่านั้นนิคุมป์ยังเห็นพรสวรรค์ด้านศิลปะของอิซาน ทำให้เขาเชื่อมั่นในตนเองและกล้าที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะที่โดดเด่นออกมาอย่างภาคภูมิใจ
ผมเสียน้ำตาให้หนังเรื่องนี้เพราะซาบซึ้งต่อเรื่องราวของอิซาน นิคุมป์ได้แสดงให้เห็นว่า เด็กทุกคนล้วนมีความเป็นอัจฉริยะในตนเอง หากผู้ใหญ่และระบบการศึกษา
ไม่จำกัดกรอบของพวกเขาด้วยมาตรวัดแบบเดียวกันเพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน เช่นเดียวกับดวงดาวที่เปล่งแสงทอประกายอยู่บนพื้นโลก และนี่คือชื่อภาษาอังกฤษของหนังเรื่องนี้ " Like Stars on Earth "
คะแนน : 10/10
9. English Vinglish (2012)
หนังโรแมนติคสุดน่ารักที่ว่าด้วยเรื่องของ ชาชิ แม่บ้านสุดสวยที่มีความสามารถในการทำขนม เธอภูมิใจกับความสามารถนี้มากเพราะมันสร้างรายได้ให้กับครอบครัว แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นซาซิก็มีปมด้อยเรื่องภาษาอังกฤษ เธอมักจะถูกสามีกับลูกสาวล้อเลียนเรื่องนี้อยู่เสมอ ทำให้ซาซิอับอายและไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ
1
แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อเธอและครอบครัวได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแต่งของหลานสาวที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งซาซิต้องเดินทางไปคนเดียวเพราะสามีของเธอติดงานจึงขอเดินทางตามไปทีหลังพร้อมกับลูกสาว
การได้มาใช้ชีวิตอยู่ในนิวยอร์คเป็นอุปสรรคกับซาซิมาก เธอไม่สามารถสื่อสารกับใครได้เลยแม้กระทั่งจะซื้อกาแฟสักแก้วยังยาก ซาซิจึงตัดสินใจเข้าเรียนภาษาอังกฤษ(ระยะสั้น)ในโรงเรียนแห่งหนึ่งเพื่อฝึกฝนทักษะการพูดภาษาอังกฤษ แต่ปัญหาที่ตามมาก็คือ โรงเรียนแห่งนี้ดันมีหนุ่มฝรั่งเศสสุดหล่อเรียนอยู่ด้วย ซึ่งเขาก็ดันมาตกหลุมรักเธออีก แล้วซาซิจะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ ?
คะแนน : 10/10
10. Ajji (2017)
เรื่องราวของความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมอินเดีย เมื่อหลานสาวหายตัวไป ทำให้ป้าและย่าของเธอต้องออกตามหา ก่อนที่จะพบร่างของหลานสาวนอนบาดเจ็บอยู่ในพงหญ้าข้างทาง
เธอถูกข่มขืนโดยลูกชายของผู้มีอิทธิพลรายหนึ่ง ครอบครัวของเด็กสาวจึงแจ้งความกับตำรวจแต่คดีไม่คืบหน้าเพราะตำรวจเกรงกลัวบารมีพ่อของคนร้าย ทั้งๆที่เด็กสาวจำหน้าผู่ก่อเหตุได้อย่างแม่นยำ แต่ก็ไม่มีใครสามารถจับคนร้ายมาดำเนินคดีได้ ในเมื่อกฏหมายไม่สามารถคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวได้ ย่าของเด็กสาวจึงวางแผนแก้แค้นคนร้ายอย่างสาสมเพื่อชดเชยความผิดที่มันย่ำยีหลานสาวของเธอ
หนังเสียดสีประชดประชันระบบวรรณะของอินเดียและความไม่เท่าเทียมกันของชายหญิง เป็นหนังดราม่าที่ผูกปมได้น่าสนใจ ด้วยวิธีการเล่าที่ตื่นเต้น ระทึกขวัญ จุดพีคของเรื่องอยู่ที่ตอนจบ คุณย่าเอาคืนคนร้ายได้เจ็บแสบและสะใจอีช้อยเป็นอย่างมาก
คะแนน : 9.5/10
หมายเหตุ : เรื่องย่อบางส่วนผู้เขียนนำงานที่เคยลงใน Trueid มาดัดแปลง สำนวนการเขียนจึงคล้ายคลึงกัน ซึ่งไม่ได้คัดลอกมาแต่อย่างใด (เป็นงานของแอดมินเอง)
.
2
โฆษณา