16 มี.ค. 2021 เวลา 07:00 • ประวัติศาสตร์
NBA 104 - ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 13 - Los Angeles Clippers
ประวัติทีม Los Angeles Clippers
ฝั่งที่สังกัด - ฝั่งตะวันตก Pacific Division
ปีที่ก่อตั้ง - 1970
ชื่อเดิม -
Buffalo Braves (1970-1978)
San Diego Clippers (1978-1984)
Los Angeles Clippers (1984-ปัจจุบัน)
สถานที่ตั้ง - เมือง Los Angeles รัฐ California
ชื่อสนามเหย้า - Staples Center
เจ้าของทีม - Steve Ballmer
CEO - Steve Ballmer
GM (General Manager) - Michael Winger
HC (Head Coach) - Tyronn Lue
ทีมสังกัดใน G-League - Agua Caliente Clippers
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก - 0
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป - 0
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division - 2 (2013, 2014)
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired - 0
ประวัติทีมโดยสังเขป
ทีมได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 โดยใช้ชื่อว่า Buffalo Braves โดยอยู่ในสังกัดลีก NBA ตั้งแต่เริ่ม ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นพร้อมกับ Blazers และ Cavaliers และเริ่มลงแข่งในฤดูกาล 1970/71 เป็นฤดูกาลแรกพร้อมกันทั้งสามทีม
Buffalo Braves 1970 Logo
ผลงานในช่วงเปิดตัวนั้นถือว่าค่อนข้างย่ำแย่พอดู จนกระทั่งในปี 1972 ที่ทีมได้สุดยอดผู้เล่นอย่าง Bob McAdoo เข้าสู่ทีม ผลงานของทีมก็เริ่มกระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วงที่เขาได้ลงเล่นให้กับทีม แถมยังคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมได้ในฤดูกาล 1974/75 อีกด้วย
Bob McAdoo
ทีมสามารถทำผลงานเข้ารอบ Playoffs ได้ 3 ปีติดต่อกันตั้งแต่ได้ McAdoo เข้ามาเป็นแกนหลักให้กับทีม เพียงแต่ว่าทีมกลับต้องเจอกับปัญหาสารพัดรุมเร้า โดยเฉพาะปัญหาจากสภาพแวดล้มภายนอกที่คอยขัดแข้งขัดขาไม่ให้ทีมเติบโตไปตามที่ควรจะเป็น
ทำให้สุดท้ายแล้วเจ้าของทีมจึงได้มีการเปลี่ยนมือเป็น John Y.Brown Jr. ในปี 1976 และได้ตัดสินใจลดขนาดทีมลงเพื่อไม่ให้ถูกขัดแข้งขัดขาได้อีก แต่ก็ต้องแลกกับผลงานที่แย่ลงตามไปด้วย ต่อมาเจ้าของทีมจึงได้มีการเจรจากับ Irv Levin ผู้ที่เป็นเจ้าของทีม Celtics ในตอนนั้น และได้มีการเซ็นสัญญาแลกเปลี่ยนสิทธิ์การบริหารทีมกันในปี 1978 ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากในเวลาดังกล่าว
การ Trade สิทธิ์บริหารทีมที่กลายเป็นข่าวใหญ่โต (Cr. New York Times)
จากนั้นเจ้าของใหม่อย่าง Levin จึงได้ทำสิ่งที่ไม่เคยทำกับ Celtics ได้ (เพราะโดนลีกคัดค้าน) นั่นคือการย้ายทีมไปอยู่เมืองใหม่อย่าง San Diego นั่นเอง
San Diego Clippers
หลังจากที่เจ้าของทีมได้ตัดสินใจย้ายเมือง ทีมก็มีการจัดตั้งชื่อใหม่ขึ้น ในตอนแรกจะใช้ชื่อว่า San Diego Rockets แต่ชื่อดันไปซ้ำกับ Houston Rockets อยู่ก่อนแล้ว หลังจากมีการหารือกัน ทีมจึงได้ชื่อใหม่ว่า San Diego Clippers นั่นเอง
San Diego Clippers 1798 Logo
ทีมโฉมใหม่นี้ได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 1978/79 ที่ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 43-39 น่าเสียดายที่ทีมไม่สามารถคว้าตั๋วเพื่อเข้ารอบ Playoffs ไปได้สำเร็จ (ในยุคนั้นทีมที่ผ่านเข้ารอบได้มีแค่ฝั่งละ 6 ทีมเท่านั้น)
อย่างไรก็ดี ผลงานของทีมกลับไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าปีแรกเลย ทีมไม่สามารถเข้ารอบ Playoffs ได้อย่างต่อเนื่องใน 2 ปีถัดมา แถมผลงานก็ยังดูย่ำแย่กว่าพอสมควรอีกด้วย
ซ้ำร้ายเข้าไปอีกเมื่อ Levin ตัดสินใจขายทีมให้กับ Donald Sterling ในทีม 1982 แต่เจ้าของทีมคนใหม่ยังไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของแฟนกีฬาได้อย่างทันท่วงที ทำให้ผลงานได้กราวรูดไปถึง 17-65 ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่าทีมอาจจะมีการย้ายเมืองอีกรอบไปที่ Los Angeles ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเจ้าของทีมนั่นเอง
ซึ่งข่าวดังกล่าวต่อมาก็กลายเป็นความจริง หลังจากที่ Sterling ได้แจ้งความจำนงขอย้ายทีมตลอดเวลา 2 ปี แต่โดนทางลีกปฏิเสธมาตลอด แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ฝ่าฝืนกฎของลีก ทำการย้ายเมืองเองโดยพลการในปี 1984 ทำให้ทางลีกมีการสั่งปรับเงินถึง 25 ล้านเหรียญโทษฐานฝ่าฝืนกฏระเบียบของลีก
ก่อนที่จะมีการต่อสุ้กันทางกฎหมายอย่างยาวนาน และจบลงด้วยการยินยอมให้ย้ายเมืองได้ในปี 1985 และถูกปรับแค่ 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แทน ทีมจึงได้ย้ายไปที่เมือง Los Angeles สมใจเจ้าของทีม และทำการเปลี่ยนชื่อเป็น Los Angeles Clippers ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
Los Angeles Clippers 1985 Logo
การเริ่มต้นที่ไม่สวยงามนัก
ในฤดูกาล 1984/85 ที่ทีมได้ลงแข่งภายใต้ชื่อและสนามเหย้าใหม่ ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 31-51 ซึ่งดูไม่ดีนัก และผลงานของทีมจากนั้นมาก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ แทบจะไม่ต่างจากสมัยอยู่ที่ San Diego สักเท่าไหร่
จนกระทั่งในปี 1989 ที่ทีมใช้สิทธิ์การ Draft ที่มีในปีนั้นไปแลกกับ Cavaliers เพื่อคว้าตัวผู้เล่นมากฝีมืออย่าง Ron Harper เข้าสู่ทีม ทีมจึงเริ่มที่จะกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้งหลังจากที่เงียบมานานหลายฤดูกาล
Ron Harper
ประกอบกับการ Draft ดาวรุ่งอย่าง Loy Vaught มาในปี 1990 มาช่วยผนึกกำลังกับ Harper ทำให้ทีมจบฤดูกาล 1991/92 ด้วยสถิติ 45-37 พร้อมกับการเข้ารอบ Playoffs ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 16 ปี (นับตั้งแต่สมัยยังเป็น Braves) ถือเป็นการกลับมาสู่เส้นทางที่ดีของทีม ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถผ่านรอบแรกไปได้ก็ตาม ซึ่งในปีถัดมาทีมก็สามารถเข้ารอบได้อีกด้วยสถิติ 41-41 แต่ก็ไม่ผ่านรอบแรกเช่นเคย
แต่หลังจากที่ได้มีการเปลี่ยน HC กลายเป็น Bob Weiss หลังจบฤดูกาล ทีมก็กลับไปสู่จุดตกต่ำอีกครั้ง ทีมจบฤดูกาล 1993-94 ด้วยสถิติ 27-55 นับว่าน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก
จากนั้นทีมก็มีผลงานที่ค่อนข้างจะลุ่มๆ ดอนๆ มีการเปลี่ยนผู้เล่นและทีมงานอีกหลายรอบ ที่ดูดีหน่อยก็จะเป็นในยุคที่ Bill Fitch เป็น HC ของทีมในฤดูกาล 1996/97 ทีมกลับมาเข้ารอบ Playoffs ได้อีกครั้งหลังจบฤดูกาลด้วยสถิติ 36-46 พร้อมคว้าอันดับสุดท้ายมาครองได้ แต่ก็ไม่สามารถผ่านรอบแรกไปได้เสียที
แต่หลังจากนั้นทีมก็ไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันนัก โค้ช Fitch ถูกปลดออกหลังจากจบฤดูกาล 1997/98 และทีมก็กลับเข้าสู่ลูปแห่งความสิ้นหวังอีกคำรบ ถึงแม้ทีมจะได้สิทธิ์การ Draft อันดับสูงๆ มาได้หลายปี แต่ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิ์ดังกล่าวในการปั้นแกนหลักระยะยาวให้กับทีมได้เลย
ส่วนทางด้านสภาพแวดล้อมนอกสนาม บรรยากาศในการเข้าชมและรายได้ก็ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะถ้าเทียบกับทีมร่วมเมืองอย่าง Lakers ที่มีราศีและความสำเร็จที่จับต้องได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เรียกได้ว่า Clippers ต้องตกเป็นร่มเงาให้กับ Lakers มาตลอดตั้งแต่ย้ายเข้าสู่เมืองนี้ แต่อย่างน้อยๆ ทีมก็พยายามหาทางออกในระยะยาวเพื่อให้ยังคงสามารถอยู่รอดได้ เริ่มจากการย้ายสนามเหย้าใหม่ไปที่ Staples Center ในปี 1999 นั่นเอง
สู่สนามเหย้าแห่งใหม่
ทีมยังมีผลงานที่ไม่สู้ดีนักเรื่อยมา ถึงแม้ว่าจะทำการย้ายสนามเหย้าแล้วก็ตาม จนกระทั่งในฤดูกาล 2001/02 ที่ทีมสามารถคว้าผู้เล่นมากฝีมืออย่าง Elton Brand มาเข้าทีมได้สำเร็จ ผลงานของทีมจึงดูดีขึ้นมาได้บ้าง
Elton Brand
ทีมจบฤดูกาลดังกล่าวด้วยสถิติ 39-43 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงมากแล้วกับการคว้าเก้าอี้เข้ารอบ Playoffs ทีมจึงพยายามอย่างหนักเพื่อบรรลุเป้าหมายให้จงได้ในปีถัดมา แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง ทีมกลับต้องเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บที่คอยรุมเร้าผู้เล่นอย่างต่อเนื่อง จนผลงานกลับตาลปัตรเหลือแค่ 27-55 เท่านั้นในฤดูกาล 2002/03
จากนั้นทีมก็กลับไปมีผลงานที่ลุ่มๆ ดอนๆ อีกครั้ง จวบจนเวลาล่วงเลยมาถึงฤดูกาล 2005/06 ที่ Brand โชว์ฟอร์มโดดเด่นจนติดทีม All-Star ได้สำเร็จ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 2005/06 พร้อมกับการคว้าตั๋วเข้ารอบ Playoffs ได้ในรอบหลายปีที่ผ่านมา แถมยังสามารถผ่าน Playoffs รอบแรกได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมอีกด้วย ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Suns ไปอย่างสูสีในเกมที่ 7 จบเส้นทางเพียงแค่รอบที่สองไปอย่างน่าเสียดาย
แต่แล้วก็เหมือนกับทุกครั้ง ทีมไม่สามารถรักษาผลงานที่ดีในระยะยาวได้ ทีมกลับไปมีฟอร์มที่ลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน จากอาการบาดเจ็บที่กลับมาหลอกหลอนผู้เล่นในทีมอีกครั้ง จนกระทั่งหลังจบฤดูกาล 2007/08 แกนหลักที่อยู่มาอย่างยาวนานอย่าง Brand ก็ไม่ได้รับการต่อสัญญากับทีม ทั้งที่เจ้าตัวได้แสดงความชัดเจนออกมาว่าอยากจะอยู่ช่วยทีมต่อไป
ทีมก็ยังไม่สามารถกระตุ้นฟอร์มเก่งขึ้นมาได้ ผลงานยังคงเกาะอยู่ในกลุ่มล่างของตารางคะแนนไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าสิทธิ์การ Draft อันดับสูงๆ ที่ควรจะได้นั้น จะทำให้ทีมสามารถสร้างแกนหลักได้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที
การมาของ Blake Griffin
ในที่สุดทีมก็สามารถคว้าผู้เล่นที่พร้อมจะเป็นแกนหลักระยะยาวให้กับทีมได้เสียที ในปี 2009 ทีมได้ตัดสินใจ Draft ดาวรุ่งอย่าง Blake Griffin เข้าสู่ทีม หลังจากที่ประทับใจฟอร์มในตอนเข้าคัดเลือกเป็นอย่างมาก ถึงจะโชคร้ายก็ตรงที่เจ้าตัวกลับได้รับบาดเจ็บหนักก่อนที่ฤดูกาล 2009/2010 จะเริ่มขึ้น ทำให้ไม่สามารถเปิดตัวได้ในฤดูกาลดังกล่าว และทีมจบฤดูกาลด้วยผลงานเพียง 29-53 เท่านั้น
Blake Griffin
ในปีถัดมา Griffin กลับมาฟิตสมบูรณ์ และโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลไปครอง และยังมีชื่อติดทีม All-Stars ตั้งแต่ปีแรกที่ลงเล่นอีกด้วย แต่ผลงานของทีมกลับกระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 32-50 ดูแล้วยังห่างไกลจากการเข้ารอบ Playoffs เสียเหลือเกิน แต่ยังดีที่ตัวเขากับ DeAndre Jordan เริ่มมีฟอร์มที่ดีจนจะกลายเป็นแกนหลักให้กับทีมได้ในอนาคตแล้ว
DeAndre Jordan
หลังจากนั้นในปี 2011 ทีมได้มีการปรับปรุงผู้เล่นอีกครั้ง ด้วยการแลกเปลี่ยนผู้เล่นที่มีอยู่ และในช่วงกลางฤดูกาล ทีมก็ตัดสินใจเดิมพันครั้งใหญ่ ด้วยการส่งผู้เล่นหลายคนรวมไปถึงสิทธิ์การ Draft ในปี 2012 ให้กับ Hornets เพื่อแลกกับผู้เล่นอันดับ 1 ของทีมในตอนนั้นอย่าง Chris Paul เข้ามาสู่ทีม และนั่นก็ทำให้ระดับของทีมก้าวกระโดดขึ้นมาในทันที
Chris Paul
ยุคแห่ง Lob City
ในฤดูกาล 2011/12 ทั้งสามคนได้ลงเล่นอย่างพร้อมหน้ากัน และทำผลงานได้น่าประทับใจเป็นอย่างมาก จนทีมในช่วงนั้นได้ฉายาว่าเป็น "Lob City" ไปพักหนึ่งเลยทีเดียว ในฤดูกาลนี้ทั้ง Griffin และ Paul ต่างก็ได้เป็นตัวจริงใน All-Star ทั้งคู่ และทีมก็กลับมาเข้ารอบ Playoffs ได้อีกครั้งหลังจากที่ห่างหายไปนาน ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Spurs ตกรอบสองไปในที่สุด
ต่อมาในฤดูกาล 2012/13 ทีมได้คว้าแชมป์ Division เป็นสมัยแรก หลังจากที่จบฤดูกาลด้วยสถิติ 56-26 และเข้ารอบได้ในอันดับ 4 ของฝั่งตะวันตก แต่ทีมกลับมีผลงานใน Playoffs ที่น่าผิดหวัง พ่ายแพ้ Grizzlies ตกรอบแรกไปอย่างเจ็บปวด ซึ่งทำให้หลังจบฤดูกาล ทีมได้มีการเปลี่ยน HC เป็น Doc Rivers นั่นเอง
ในฤดูกาล 2013/14 ภายใต้การทำทีมของ Rivers ทีมได้ทำสถิติการเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง Lakers ไปอย่างขาดลอยถึง 142-94 ซึ่งกลายเป็นการชนะที่มีแต้มห่างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมอีกด้วย
แถมทีมยังจบฤดูกาลด้วยสถิติ 57-25 ซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่ของทีมอีกเหมือนกัน แต่ผลงานในรอบ Playoffs กลับสวนทาง ตกรอบเพียงแค่รอบสองไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากนั้นทีมกลับต้องเจอปัญหานอกสนาม เนื่องจากมีสื่อได้เปิดเผยข้อความเสียงที่เจ้าของทีมอย่าง Sterling ได้มีพฤติกรรมที่ส่อไปในทางเหยียดผิวอย่างชัดเจน ทำให้เรื่องลุกลามบานปลายเป็นอย่างมาก
นอกจากทีมจะโดนประณามจากบรรดาคนผิวดำเป็นจำนวนมากแล้ว บรรดาสปอนเซอร์ที่สนับสนุนทีมอยู่ต่างก็พิจารณาที่จะถอนตัวออกกันถ้วนหน้า ซึ่งจะทำให้มูลค่าของทีมและของลีกลดลงอย่างมาก
ทางลัดจึงรีบเข้ามาทำการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนสุดท้ายลีกมีคำสั่งให้แบน Sterling ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวใดๆ กับ NBA อีกต่อไป พร้อมทั้งปรับเงินอีก 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (โทษสูงสุดในขณะนั้น) และจากเหตุการณ์นี้ ทำให้ทางลีกต้องบีบให้ Sterling ขายทีมออกไปในเวลาต่อมา
หลังจากมีการเจรจาและยื้อกันนานหลายวัน ในที่สุดทีมก็ได้เจ้าของใหม่ที่นำโดย Steve Ballmer อดีต CEO ของ Microsoft และเป็นเจ้าของทีมคนปัจจุบันอีกด้วย
ในฤดูกาล 2014/15 หลังวิกฤตเจ้าของทีมผ่านพ้นไปได้ ทีมก็ยังสามารถรักษาฟอร์มในฤดูกาลปกติได้อย่างต่อเนื่อง ทีมจบด้วยสถิติ 56-26 ปละเข้ารอบเป็นอันดับ 3 ฝั่งตะวันตก ก่อนที่จะตกรอบสองใน Playoffs ไปไม่ถึงดวงดาวอีกครั้ง
ปีถัดมา ถึงแม้ว่าทีมจะได้ผู้เล่นมาเสริมทัพอีกหลายคน นำโดย Lance Stephenson และ Paul Pierce แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพฟอร์มที่ดีเหมือนช่วงพีคแล้ว
ประกอบกับการที่ Griffin ได้รับบาดเจ็บและต้องพักราวๆ ครึ่งฤดูกาล ทำให้ฤดูกาล 2015/16 ทีมจอดป้ายแค่รอบแรกใน Playoffs เท่านั้น ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก หากเทียบกับชื่อชั้นของผู้เล่นที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของลีก
ต่อมาในฤดูกาล 2016/17 ทีมจบด้วยสถิติ 51-31 ถือเป็นไม่กี่ทีมที่สามารถรักษาสถิติชนะเกิน 50 ครั้งได้ 5 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่ถึงแม้ว่าผลงานในฤดูกาลปกติจะดีเพียงใด พอเข้า Playoffs ผลงานมักจะสวนทางกันเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทีมต้องตกรอบแรกจากการแพ้ Jazz ไปแบบไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน
เมื่อทีมเริ่มเห็นว่าชุดผู้เล่นที่มีอยู่ไม่น่าจะไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว ทีมจึงเริ่มวางแผนที่จะเข้าสู่โหมดการสร้างทีมใหม่ ซึ่งทีมได้เชิญอดีตผู้บริหารทีมมากฝีมืออย่าง Jerry West มาเป็นที่ปรึกษาด้านนี้โดยเฉพาะ
แกนหลักคนแรกที่ปล่อยออกจากทีม กลายเป็น Paul ที่ถูกส่งไปอยู่กับ Rockets แลกกับผู้เล่นแววดีหลายคน นำโดย Lou Williams, Patrick Beverley และ Montrezl Harrell
และในช่วงกลางฤดูกาล 2017/18 ทีมก็ได้ปล่อยแกนหลักอีกคนอย่าง Griffin ที่มีปัญหาบาดเจ็บบ่อยในระยะหลังไปให้กับ Pistons แลกกับผู้เล่นและสิทธิ์การ Draft ในอนาคต ทีมยังสามารถประคองจนจบฤดูกาลด้วยสถิติ 42-40 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เข้ารอบ Playoffs ได้
ต่อมาในฤดูกาล 2018/19 แกนหลักคนสุกทเายจากยุค Lob City อย่าง Jordan ก็ประกาศใช้ Option Out ไม่ต่อสัญญากับทีมในปีสุดท้ายและออกจากทีมไปในที่สุด แต่ผลงานของทีมกลับมาดีเกินคาด ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 48-34 แลพกลับเข้าสู่ Playoffs ได้อีกครั้ง แต่ก็ยังไปไม่พ้นรอบแรกเช่นเคย
จนกระทั่งในฤดูกาล 2019/20 ทีมเริ่มมีความหวังที่จะคว้าแชมป์ลีก เนื่องจากได้สุดยอดผู้เล่นอย่าง Kawhi Leonard มาจาก Raptors และผู้เล่นมากฝีมืออีกคนอย่าง Paul George มาจาก Thunder เรียกได้ว่าได้แกนหลักชุดใหม่พร้อมแล้ว เมื่อผนึกกำลังกับผู้เล่นที่มีอยู่ ทำให้ทีมกลายเป็นเต็งแชมป์ลำดับต้นๆ ไปในทันที
แต่จากผลงานในช่วง Playoffs ที่น่าผิดหวังอีกครั้ง ทำให้สุดท้ายแล้วก็ถึงคิวของ HC อย่าง Rivers ที่ต้องจากทีมไป ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่า HC คนใหม่อย่าง Tyronn Lue นั้นจะพาทีมไปได้ถึงระดับไหน ในฤดูกาลนี้ที่ยังเป็นหนึ่งในเต็งแชมป์อยู่นั่นเอง
ถ้าชอบก็ฝาก Share และกดติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา