23 ก.พ. 2021 เวลา 07:00 • ประวัติศาสตร์
NBA 104 - ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 12 - Indiana Pacers
ประวัติทีม Indiana Pacers
ฝั่งที่สังกัด - ฝั่งตะวันออก Central Division
ปีที่ก่อตั้ง - 1967
ชื่อเดิม -
Indiana Pacers (1967-ปัจจุบัน)
สถานที่ตั้ง - เมือง Indianapolis รัฐ Indiana
ชื่อสนามเหย้า - Bankers Life Fieldhouse
เจ้าของทีม - Herbert Simon
CEO - Kevin Lee Pritchard
GM (General Manager) - Chad Buchanan
HC (Head Coach) - Nate Bjorkgren
ทีมสังกัดใน G-League - Fort Wayne Mad Ants
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก - 3 (1970, 1972, 1973)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป - 1 (2000)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division - 9 (1969-1971, 1995, 1999, 2000, 2004, 2013, 2014)
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired - 5 (30, 31, 34, 35, 529)
ประวัติทีมโดยสังเขป
ทีมได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1967 โดยอยู่ในสังกัดลีกของ ABA (American Basketball Association) ในช่วงก่อตั้งนั้นได้มีการหารือกันอยู่นานว่าจะใช้ชื่อว่า Indiana หรือ Indianapolis ดี ซึ่งสุดท้ายก็จบลงด้วย Indiana Pacers อย่างที่เห็นกัน
Pacers 1967 Logo
ในช่วงเวลาที่อยู่กับลีก ABA นั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในลีก เข้ารอบชิงแชมป์ลีกไปถึง 5 ครั้ง และคว้าแชมป์ลีกไปได้ทั้งหมด 3 ครั้ง จนกระทั่งลีกได้ทำการควบรวมกับ NBA ในปี 1976
เริ่มเข้าสู่ลีก NBA
Pacers, Nets, Nuggets และ Spurs เป็นสี่ทีมจากลีก ABA ที่ได้ทำการเข้าร่วมลีก NBA หลังจากเกิดการควบรวมระหว่างสองลีกเข้าด้วยกัน
ผลงานในช่วงแรกนั้นเรียกได้ว่าสวนทางกับช่วงเวลาที่อยู่ในลีก ABA พอสมควร เนื่องจากกลายเป็นว่า Pacers กลายเป็นทีมที่มาจาก ABA แล้วทำผลงานได้แย่ที่สุดในบรรดาตัวแทนด้วยกันก็ว่าได้
ปัญหาหลักของทีมในช่วงนั้นมาจากสภวะการเงินของทีมที่มีปัญหาค่อนข้างมาก แัญหานี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนที่จะควบรวมลีกแล้ว ทีมได้พยายามปล่อย Star หลายคนออกจากทีมเพื่อแลกกับการประหยัดค่าเหนื่อย
แต่การที่ทีมต้องจ่ายค่าเข้าลีกสูงถึง 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้การเงินของทีมกลับต้องมามีปัญหาอย่างหนักอีกครั้ง หนักถึงขนาดที่ทีมยอมประกาศว่า ถ้าตั๋วปีประจำฤดูกาล 1977/78 ไม่สามารถขายได้ถึง 8000 ใบ ภายในเดือนกรกฎาคม ทีมก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนเจ้าของ และมีโอกาสที่ทีมจะต้องย้ายไปเมืองอื่นแทน
ซึ่งสุดท้ายทีมก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ ตั๋วปีได้ถูกขายออกไปถึง 8000 ใบในช่วง 10 นาทีสุดท้ายก่อนที่จะถึง Deadline ได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้ทีมยังได้อยู่ในเมืองเดิมต่อไปนั่นเอง
ผลงานในฤดูกาลแรกหลังจากเข้าร่วมลีก NBA นั้น ทีมจบด้วยสถิติ 36-46 ถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก แต่นั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคตกต่ำของทีมอย่างยาวนานในเวลาต่อมา
ช่วงเวลาที่ตกต่ำของทีม
อย่างไรก็ดี ปัญหาการเงินของทีมก็ยังคงอยู่ในสภาวะย่ำแย่ ทำให้ทีมตัดสินใจ Trade ผู้เล่นที่ทำแต้มสูงสุดในทีมอย่าง Billy Knight และ Don Buse ออกจากทีมไปในที่สุด ทำให้ผลงานของทีมแย่ลงไปทันทีหลังจากนั้น
ต่อมาในปี 1980 ทีมได้ทำการตัดสินใจผิดพลาดในการ Trade ครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มจากการส่งตัว Alex English ไปให้กับ Nuggets เพื่อแลกกับอดีตดาวดังของลีก ABA อย่าง George McGinnis ที่ไม่สามารถลงเล่นและโชว์ฟอร์มได้อย่างที่หวัง ในขณะที่ปล่อยให้ English สร้างชื่อเสียงให้กับทีมใหม่ได้อีกมากมายนับจากนั้น
แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่า นั่นคือทีมยอมเสียสิทธิ์การ Draft ในปี 1984 เพื่อแลกกับ Center อย่าง Tom Owens ที่ทีมคาดว่าจะเข้ามาเติมเต็มให้กับทีมได้ แต่ผลก็กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ทีมจบฤดูกาล 1983/84 ด้วยสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดของลีก แต่จากการ Trade สิทธิ์ Draft ทำให้ทีมไม่มีโอกาสในการเลือกดาวรุ่งจากปีนี้ ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในปีที่มีสุดยอดดาวรุ่งของลีกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น Michael Jordan, Charles Barkley, Hakeem Olajuwon หรือ John Stockton ก็ตาม
ในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าเป็นจุดตกต่ำของทีมอย่างแท้จริง กว่าทีมจะเริ่มฟื้นกลับมาอย่างมีทิศทางได้ต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว
ยุคของ Reggie Miller
ในปี 1987 ทีมได้ Draft ดาวรุ่งว่าที่ตำนานอย่าง Reggie Miller เข้าสู่ทีม ท่ามกลางเสียงคัดค้านของบรรดาแฟนกีฬา ว่าเจ้าตัวไม่น่าจะสามารถพัฒนาจนเป็นแกนหลักของทีมได้ ซึ่งช่วงแรกเจ้าตัวก็เริ่มต้นอาชีพภายใต้บทบาทการเป็นตัวสำรองเท่านั้นอีกด้วย
Reggie Miller
ในช่วงแรกที่ Miller ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม กลับไม่สามารถช่วยเหลือทีมได้มากนัก ทีมพลาด Playoffs ไปในฤดูกาล 1987/88 และจบด้วยสถิติ 28-54 ในฤดูกาล 1988/89 จนทำให้ทีมตัดสินใจ Trade ผู้เล่นบางส่วนเพื่อแลกกับผู้เล่นที่จะมาเป็นกำลังสำคัญของทีมอีกคนอย่าง Detlef Schrempf เข้าสู่ทีม
Detlef Schrempf
และนั่นส่งผลให้ฤดูกาล 1989/90 Miller สามารถเร่งฟอร์มขึ้นมาจนติด All-Star ได้เป็นหนแรกของเจ้าตัวด้วยผลงานทำแต้มเฉลี่ย 24.6 แต้มต่อเกม พร้อมกับพาทีม Pacers เข้ารอบ Playoffs ได้เป็นหนที่สามตั้งแต่ย้ายเข้าสู่ลีก NBA เป็นต้นมา ถึงแม้ว่าจะโดนเขี่ยตกรอบแรกด้วยฝีมือของ Pistons แต่ก็ถือว่าทีมเริ่มมีความหวังกลับมาอีกครั้งแล้วเช่นกัน
ต่อจากนั้นในฤดูกาล 1990/91 ทีมจบด้วยสถิติ 41-41 และได้เข้ารอบ Playoffs อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการที่ Schrempf คว้าตำแหน่งผู้เล่นสำรองยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลไปครอง แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับ Celtics ไปในรอบแรกด้วยการต่อสู้ทีถือว่าขับเคี่ยวกันตลอด Series เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าในฤดูกาลถัดมาทั้งสองทีมจะกลับมาโคจรพบกันที่ Playoffs รอบแรกอีกครั้ง แต่ก็เป็นฝ่าย Celtics ที่ย้ำแค้นคว้าชัยชนะไปได้เหมือนเดิม
ในฤดูกาล 1992/93 ทีมได้มีการขยับตำแหน่งให้ Schrempf เริ่มเล่นเป็นตัวจริงแทนการเป็น 6th man อย่างที่เคยเป็นมา และนั่นส่งผลให้เจ้าตัวติด All-Star ได้สำเร็จในฤดูกาลนี้ ในขณะนี้ผลงานใน Playoffs ก็ยังจอดป้ายแค่รอบแรกเช่นเคย
ถัดมาในฤดูกาล 1993/94 ทีมตัดสินใจส่ง Schrempf ไปให้กับ Sonics (Thunder ในปัจจุบัน) เพื่อแลกกับ Derrick McKey และ Gerald Paddio เข้าสู่ทีม ถึงแม้จะดูขัดกับสิ่งที่แฟนๆ ต้องการอยู่บ้าง แต่ทีมก็ตอบแทนด้วยผลงานการจบฤดูกาลด้วยสถิติ 47-35 ดีที่สุดตั้งแต่ย้ายเข้าลีกมา และผลงานในรอบ Playoffs ก็ไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สายเลยทีเดียว
และในรอบชิงแชมป์สายนี่เองที่ทำให้ชื่อของ Miller เริ่มเป็นที่โด่งดัง หลังจากที่ทำผลงานได้อย่างสุดยอดจนคู่แข่งอย่าง Knicks ต่างก็หวาดเสียวไปตามๆ กัน ถึงแม้ว่าทีมจะแพ้ให้กับ Knicks ไปในเกมที่ 7 ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ของ Miller และของทีมที่ทำได้เกินความคาดหมายไปพอสมควร
ในฤดูกาลถัดมา ทีมได้ผู้เล่น Guard ชั้นดีอย่าง Mark Jackson มาเสริมทัพเพื่อแก้ปัญหาแนวหลังที่เรื้อรังมานานได้สำเร็จ ส่งผลให้ทีมคว้าแชมป์ Division ได้เป็นครั้งแรกด้วยสถิติ 52-30 และทำผลงานในรอบ Playoffs ไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สายอีกครั้ง
เหตุการณ์สำคัญในฤดูกาลนี้คงหนีไม่พ้นการเจอกับ Knicks ใน Playoffs รอบที่สองในเกมแรก ในจังหวะที่ Knicks นำอยู่ 6 แต้ม แต่ทีมได้ Miller สร้างปาฏิหาริย์สุดสำคัญ ทำไป 8 แต้มในช่วงเวลาเพียง 8.9 วินาที ทำให้ทีมพลิกกลับมาเอาชนะได้ พร้อมกับเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนเริ่มเรียกกันว่า "Miller Time" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ต่อมาในฤดูกาล 1995/96 ทีมยังรักษาฟอร์มที่ดีไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 52-30 เข้ารอบ Playoffs ไปได้อีกครั้ง แต่การที่ทีมเสีย Miller จากอาการบาดเจ็บในช่วงท้ายฤดูกาลปกติ ถึงเจ้าตัวจะกลับมาช่วยทีมได้ในเกมตัดสินของรอบแรก แต่ก็ไม่สามารถพาทีมเข้ารอบไปได้ ทีมแพ้ให้กับ Hawks ไปอย่างน่าเสียดาย
ซ้ำร้ายในฤดูกาลถัดมา ปัญหาอาการบาดเจ็บก็เริ่มรุมเร้าอีกครั้ง แถมทีมต้องเสีย Jackson จากการที่ Trade ออกไปให้ Nuggets (ก่อนจะได้กลับมาในช่วงก่อนหมด Deadline) ทำให้ทีมจบสถิติเพียง 39-43 ทำให้พลาดการเข้ารอบ Playoffs เป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีในที่สุด
ฤดูกาล 1997/98 ทีมได้เปลี่ยน HC คนใหม่เป็น Larry Bird อดีตผู้เล่นที่เป็นตำนานของ Celtics เข้ามาคุมทีมแทน Larry Brown ที่คุมทีมมาอย่างยาวนาน ทีมได้ Chris Mullin ที่จะกลายเป็นกำลังสำคัญอีกคนเข้าสู่ทีม ทำให้ฟอร์มกลับมาโหดอีกครั้ง
Chris Mullin
ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 58-24 ดีที่สุดตั้งแต่เข้าร่วมลีก และทำผลงานใน Playoffs ไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สายอีกครั้ง น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถผ่าน Bulls ไปได้ พ่ายแพ้ไปในเกมที่ 7 ที่เป็น Series ที่เรียกได้ว่าสูสีและลุ้นระทึกตั้งแต่เกมแรกยันเกมตัดสินเลยทีเดียว
ฤดูกาลถัดมา ทีมยังสามารถรักษาฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องไว้ได้ดี แต่ก็ต้องมาพลาดท่าที่รอบชิงแชมป์สายไปอีกครั้ง หนนี้ได้พ่ายแพ้ให้กับ Knicks ไปในเกมที่ 6 และหลังจากจบฤดูกาลนี้ ทีมก็ตัดสินใจ Trade หนึ่งในผู้เล่นสำคัญอย่าง Antonio Davis ไปให้ Raptors เพื่อแลกกับสิทธิ์การ Draft ดาวรุ่งอย่าง Jonathan Bender ในปีถัดมา
ถึงแม้ว่าจะมีคำถามเกิดขึ้นมากมายกับการ Trade ดังกล่าว แต่ทีมก็สยบคำวิจารณ์ด้วยการทำผลงานในฤดูกาล 1999/00 ด้วยสถิติ 56-26 และสามารถเข้าไปได้ถึงรอบชิงแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ทีม ก่อนที่จะแพ้ให้กับ Lakers ไปอย่างเจ็บปวดในเกมที่ 6 ชวดแชมป์ลีกครั้งแรกไปอย่างน่าเสียดาย
เพียงแต่เมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2000/01 ทีมกลับต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เริ่มจาก HC อย่าง Bird ตัดสินใจเลิกคุมทีม ผู้เล่นอย่าง Mullin ย้ายไปอยู่กับ Warriors, Jackson ที่ไปอยู่กับ Raptors และ Dale Davis ที่ถูก Trade ไป Blazers เพื่อแลกกับ Jermaine O'Neal ที่จะกลายเป็นแกนหลักคนใหม่ของทีมในอนาคตต่อไป
Jermaine O'Neal
ทีมยังคงรักษาผลงานเข้ารอบ Playoffs ได้ แต่กลับต้องพลาดท่าแพ้ Sixers ตกรอบไปตั้งแต่รอบแรกเพียงแค่นั้น
ในฤดูกาล 2001/02 ทีมได้ทำการ Trade ผู้เล่นชุดใหญ่กับทาง Bulls โดยส่งทั้ง Jalen Rose และ Travis Best เพื่อแลกกับผู้เล่นหลายคนที่นำโดย Bard Miller และ Ron Artest ประกอบกับการที่ O'Neal เริ่มพัฒนาฝีมือตัวเองให้กลายเป็นแกนหลักของทีมได้แล้ว ทำให้ผลงานโดยรวมยังถือว่าไม่ย่ำแย่นัก ถึงแม้ว่าจะแพ้ Nets ตกรอบแรก Playoffs ไปเช่นเดิมก็ตามที
แต่น่าเสียดายที่ฤดูกาลถัดมา ถึงแม้ว่าทีมจะทำสถิติได้ดีขึ้น จบฤดูกาลด้วยสถิติ 48-34 แต่ก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบ Playoffs รอบแรกไปได้อีกครั้ง แพ้ให้กับทีมอันดับต่ำกว่าอย่าง Celtics ไปอย่างเจ็บปวด
ต่อมาในฤดูกาล 2003/04 ทีมกลับต้องเสียหนึ่งในแกนหลักอย่าง Brad Miller ไปให้กับ Kings แต่ก็มีข่าวดีอยู่บ้างเมื่อ Bird กลับมาอีกครั้งในบทบาทประธานบริหารทีม หลังจากนั้นจึงทำการเปลี่ยน HC เป็น Rick Carlisle แทน
ทำให้ทีมมีผลงานในฤดูกาลปกติที่ 61-21 ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลของทีม และยังสามารถทะลุไปถึงรอบชิงแชมป์สายใน Playoffs อีกด้วย
ต่อมาในฤดูกาล 2004/05 ทีมกลับต้องเจอกับหนึ่งในเหตุการณ์ที่ถือว่าเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในลีก เมื่อในวันที่ 19 พ.ย. ปีนั้น ทีมได้ก่อปัญหาทะเลาะกับ Pistons หลังจากที่มีการ Foul อย่างรุนแรง จนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน
แต่ที่สำคัญกว่า คือการที่ Artest โดนแฟนกีฬาขว้างของใส่ด้วยความไม่พอใจที่เป็นหนึ่งในต้นเหตุ ทำให้เจ้าตัวโมโหจัด ขึ้นไปเอาเรื่องถึงบริเวณที่นั่งคนดูเลยทีเดียว
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ผู้เล่นหลายคนในทีมถูกแบนไม่ให้ลงเล่น นำโดย Artest ที่ถูกแบนทั้งฤดูกาล (73 นัด) Stephen Jackson โดนไป 30 นัด และ O'Neal อีก 25 นัดด้วยกัน (ก่อนที่จะมีการลดโทษเหลือ 15 นัดในภายหลัง) และโดนข้อหาการใช้ความรุนแรงในที่สาธารณะแถมตามไปอีกกระทง
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทีมจะยังสามารถรักษาผลงานได้ที่ 44-38 และทีมได้เจอกับคู่กรณีอย่าง Pistons อีกครั้งใน Playoffs รอบที่สอง ก่อนที่จะพ่ายแพ้ตกรอบไป และหลังจากฤดูกาลได้จบลง Reggie Miller ก็ได้ประกาศเลิกเล่นอย่างเป็นทางการ ปิดฉากการรับใช้ทีมมาอย่างยาวนานกว่า 18 ปีลงแต่เพียงเท่านี้
หลังการจากไปของตำนาน
ฤดูกาล 2005/06 เริ่มด้วยความวุ่นวาย เนื่องจาก Artest เรียกร้องที่จะขอย้ายทีมถึงขนาดใช้สื่อช่วยในการกดดันอีกทางหนึ่ง ทำให้สุดท้ายแล้วทีมตัดสินใจโยกเจ้าตัวลงใน Inactive List และมองหาทีมที่สนใจจะเอาเขาไปอยู่ด้วยในเวลาต่อมา ก่อนที่จะได้ย้ายสมใจในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2006 นั่นเอง
ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 41-41 และยังสามารถเข้ารอบ Playoffs ได้อยู่ แต่รอบนี้กลับต้องมาจอดป้ายแค่รอบแรกตามฟอร์ม และหลังจากจบฤดูกาล ทีมได้ตัดสินใจเริ่มปล่อยแกนหลักหลายคนออกไปเพื่อเตรียมสร้างทีมใหม่ โดยเหลือเพียง O'Neal เพียงเท่านั้น
ในฤดูกาล 2006/07 ทีมจบด้วยสถิติ 35-47 ถือเป็นฤดูกาลแรกในรอบหลายปีที่ทีมมีสถิติแพ้มากกว่าชนะ แต่ก็ยังหลุดเข้า Playoffs ได้ ก่อนที่จะโดน Nets เขี่ยตกรอบตั้งแต่ไก่โห่
หลังจากนั้นมาทีมก็ได้เข้าสู่การสร้างทีมใหม่อย่างเต็มตัว ทีมได้ทยอยปล่อยผู้เล่นอีกหลายคนหลังจากนั้น รวมไปถึงแกนหลักจากยุครุ่งเรืองคนสุดท้ายอย่าง O'Neal ที่ Trade ไปให้กับ Raptors ในปี 2008 ทำให้ผลงานของทีมกลับมาย่ำแย่อีกครั้งในช่วงเวลานี้
ทีมไม่ได้เข้ารอบ Playoffs อย่างต่อเนื่องหลายปี จนกระทั่งทีมเริ่มจะมีความหวังอีกครั้งในช่วงท้ายของฤดูกาล 2009/10 ที่สามารถเก็บชัยชนะได้หลายนัดในช่วงท้ายฤดูกาล ถึงแม้ว่าจะยังไม่ดีพอที่จะทำอันดับเข้ารอบได้ก็ตาม
ยุคของ Paul George
ในการ Draft ปี 2010 ทีมได้ตัดสินใจเลือก Paul George และ Lance Stephenson เข้าสู่ทีม ซึ่งทั้งสองคนจะกลายมาเป็นแกนหลักชุดใหม่ของทีมในเวลาต่อมา
Paul George
นอกจากนั้นในช่วงกลางฤดูกาล 2010/11 ทีมได้มีการเปลี่ยน HC เป้น Frank Vogel ที่จะกลายเป็นโค้ชคู่บุญคนใหม่ของทีมในอนาคตเช่นเดียวกัน
ทีมจบฤดูกาล 2010/11 ด้วยสถิติ 37-45 แต่ก็สามารถกลับเข้าสู่ Playoffs ได้อีกครั้งตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับจ่าฝูงอย่าง Bulls ในรอบแรกตามระเบียบ
ในฤดูกาลถัดมา ทีมได้เสริมแกร่งด้วยการ Trade ผู้เล่นอย่าง George Hill นอกจากนั้นยังได้อดีตผู้เล่นระดับ All-Star อย่าง David West เข้าสู่ทีม แถมยังได้ Danny Granger ที่ในฤดูกาลนี้ถือว่าเล่นดีมากๆ เป็นผู้นำการทำแต้มของทีม
ทำให้ในฤดูกาล 2011/12 ทีมจบในอันดับ 3 ของฝั่งตะวันออก และสามารถผ่าน Playoffs รอบแรกไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่ก็ไปแพ้ให้กับ Heat ตกรอบไปแค่เพียงรอบสองเท่านั้นเอง
ต่อมาในฤดูกาล 2012/13 ทีมมีผลงานที่ดีขึ้นกว่าเดิมอีก ทีมสามารถกลับมาคว้าแชมป์ Division ได้อีกครั้งในรอบหลายปี แต่ก็ต้องโดน Heat ย้ำแค้นใน Playoffs รอบสองอีกครั้ง โดนเขี่ยตกรอบไปเหมือนเดิม
หลังจากจบฤดูกาล Bird ได้กลับเข้าสู่ทีมอีกครั้งในบทบาทของประธานฝ่ายปฏิบัติการ และดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นใจให้กับทีมอีกครา เมื่อทีมมีผลงานช่วงครึ่งฤดูกาลแรกที่ดูดีมากๆ จากสถิติ 33-7 ถึงแม้ว่าผลงานช่วงหลังจะดรอปลงนิดหน่อย แต่ก็ยังเข้าป้ายในอันดับ 1 ด้วยสถิติ 56-26 นั่นเอง แถมผลงานใน Playoffs รอบนี้ก็ยังทะลุไปถึงรอบชิงแชมป์สาย แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายให้กับ Heat ไปเป้นครั้งที่สามติดต่อกันอย่างเจ็บปวด
โชคร้ายที่ในปีถัดมา George กลับต้องได้รับอาการบาดเจ็บจากการรับใช้ทีมชาติ ทำให้ไม่สามารถลงได้เกือบทั้งฤดูกาล แต่ก็ยังดีที่การรักษาผ่านพ้นไปด้วยดี จนกระทั่งเจ้าตัวสามารถกลับมาลงเล่นได้ในเกมท้ายๆ ถึงแม้ว่าทีมจะไม่ได้เข้ารอบ Playoffs ก็ตาม
และเจ้าตัวก็กลับมาได้ในปีถัดไป แถมมีส่วนร่วมอย่างมากในสองปีถัดมาในการพาทีมเข้าสู่รอบ Playoffs ก่อนที่ทีมจะไปได้ไม่ไกลนัก และตัดสินใจ Trade เขาออกให้กับ Thunder เป็นการปิดฉากยุคของเขาลงในที่สุด
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน
หลังจากที่ George ได้จากไป ทีมได้ผู้เล่นอย่าง Victor Oladipo และ Domantas Sabonis มาแทนที่ ในช่วงแรกการ Trade นี้ทำให้ทีมถูกวิจารณ์ในแง่ลบค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากการแลกผู้เล่นอันดับ 1 ของทีมกับผู้เล่นที่ยังไม่เก๋าประสบการณ์แบบนี้ จะเป็นการแลกตัวที่คุ้มค่าหรือไม่
Victor Oladipo
แต่ทั้งสองคนก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทีมนั้นคิดไม่ผิด โดยเฉพาะ Oladipo ที่พัฒนาฝีมือขึ้นกว่าเดิมมากจนสามารถคว้ารางวัลผู้เล่นพัฒนาฝีมือยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2017/18 มาครองได้สำเร็จ พร้อมติดทีม All-Star ในปีนี้ด้วย
ทั้งสองคนมีส่วนร่วมที่ทำให้ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 48-34 พร้อมกับคว้าอันดับ 5 เข้ารอบ Playoffs ได้สำเร็จ น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถผ่าน Playoffs รอบแรกไปได้ แพ้ให้กับ Cavaliers ไปในเกมตัดสินของรอบแรก
ในฤดูกาลถัดมา Oladipo โชว์ฟอร์มดีจนติดทีม All-Star ได้อีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่ช่วงกลางฤดูกาลเขาได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถกลับมาลงเล่นได้อีกในฤดูกาลนี้ และการที่ทีมเสียเขาไป ทำให้ทีมไม่อาจผ่าน Playoffs รอบแรกไปได้เช่นเคย
เพียงแต่ผลงานที่ทีมไม่สามารถผ่าน Playoffs รอบแรกหลายฤดูกาลติดต่อกัน ทำให้ในฤดูกาลล่าสุด ทีมตัดสินใจเปลี่ยน HC คนใหม่เป็น Nate Bjorkgren ที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยโค้ชของ Raptors มาก่อนหน้านี้นั่นเอง
และจากสถานการณ์ล่าสุด ทำให้ผู้เล่นอันดับ 1 ของทีมอย่าง Oladipo ได้ย้ายไปอยู่กับ Rockets แทนแล้ว เราก็คงได้แต่ลุ้นกันต่อไปว่า Pacers โฉมใหม่นี้จะทำผลงานได้ดีขนาดไหนกันในฤดูกาลนี้
ถ้าชอบก็ฝาก Share และกดติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา