31 ม.ค. 2021 เวลา 15:12 • สุขภาพ
วิตามินดี นั้นสำคัญไฉน
ปัจจุบันเป็นที่ทราบดีแล้วว่า วิตามินเป็นสารที่จำเป็นต่อการทำงานของร่างกายในทุกระบบ วิตามินหลายชนิดเป็นที่นิยม โดยเฉพาะในรูปแบบอาหารเสริม แต่สำหรับวิตามินดีแล้ว คนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยนึกถึง เพราะคิดว่า เราได้รับจากแสงแดดเพียงพอแล้ว แต่จริงๆแล้วเมื่อเราออกแดดมักใส่เสื้อผ้าปกปิดร่างกายและทาครีมกันแดด โดยเฉพาะผู้หญิง และผู้ที่ทำงานในเมือง ทำให้คนส่วนใหญ่ขาดวิตามินดีโดยไม่รู้ตัว จากการวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน Bangkok Medical Journal ปี 2015 โดยการเก็บข้อมูลพนักงานออฟฟิศ 211 แห่งทั่วกรุงเทพ พบว่า 36.5% หรือทุก 1 ใน 3 คน ของพนักงานออฟฟิศขาดวิตามินดี แล้ววิตามินดีมีความสำคัญอย่างไร ถ้าขาดวิตามินดีแล้วจะมีผลต่อร่างกายอย่างไร และเราจะต้องรับประทานอะไร หรือปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อทำให้ร่างกายมีวิตามินดีอย่างเพียงพอ หรือไม่ขาด คำถามเหล่านี้ท่านผู้อ่านคงอยากทราบคำตอบ
1
เครดิตภาพ: Pixabay
ความสำคัญของวิตามินดี
วิตามินดี มีชื่อทางเคมี 1,25-dihydroxyvitamin D (1,25(OH)2D หรือ calcitriol) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน วิตามินดีที่ค้นพบนั้นมีหลายชนิด แต่ที่กล่าวถึงกันมาก คือ
1. วิตามินดี 2 หรือ ออร์โกแคลซิเฟอรอล (ergocalciferol) หรือ แคลซิฟรอล (calciferor) ที่เปลี่ยนได้มาจากสารเออร์โกสเตอรอล (Ergosterol) ที่สัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต ในช่วงความถี่ 230 นาโนเมตร (nm) ซึ่งส่วนมากพบได้ในพืช และเมล็ดธัญญพืช
2. วิตามินดี 3 หรือ โคเลแคลซิฟีรอล (Cholecalciferol) ในอาหารส่วนมากพบได้ในปลาชนิดต่างๆ และพบในเซลล์ของสัตว์ และมนุษย์ ที่ได้จากการเปลี่ยนของสาร 7 dehydrocholesterol ในผิวหนัง หลังการสัมผัสแสงอัลตราไวโอเลตในช่วงความถี่ 275-300 นาโนเมตร (nm) มีความสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย
สําหรับวิตามินดี 2 ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น
หน้าที่หลักของวิตามินดี คือ
1. วิตามินดีมีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศ จึงมีบทบาทสำคัญในการควบคุม กระบวนการสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ควบคุมการหลั่งฮอร์โมนพาราไทรอยด์ที่ เกี่ยวข้องกับสมดุลแคลเซียมแ ละฟอสฟอรัสในร่างกาย ช่วยให้มีการดูดซึม แคลเซียมและฟอสฟอรัสในลําไส้เข้าสู่กระแสเลือด
2. ช่วยกระตุ้นให้มีการหลั่งแคลเซียมออกจากผิวกระดูกไปยังกระแสเลือด และมีบทบาทสําคัญในการเสริมสร้างกระดูก และสะสมแคลเซียมและฟอสฟอรัสในกระดูก
3. เพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน (Insulin) ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวาน
4. ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์สารที่จําเป็นในการสร้างคอลลาเจน และเกี่ยวข้องกับการใช้คาร์โบไฮเดรต
5. วิตามินดีจําเป็นในการทํางานของระบบประสาท ช่วยส่งเสริมการทํางานของระบบกล้ามเนื้อ การเต้นของหัวใจ และการแข็งตัวของเลือด ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสมดุล และการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัสในร่างกาย
6. วิตามินดีช่วยให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน (Serotonin) มากขึ้น มีผลช่วยลดความเครียด (Stress) และ ภาวะซึมเศร้า (Depression) ได้อีกด้วย
ผลของการขาดวิตามินดี
1. กระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน ทําให้เกิดโรคกระดูกอ่อนในเด็ก เรียกว่า Rickets และในผู้ใหญ่เรียกว่า โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) มีปัญหาเกี่ยวกับการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย การศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุที่เป็นโรคกระดูกพรุนมีระดับวิตามินดี ต่ำกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรคกระดูกพรุน
2. คนที่ขาดวิตามินดีมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าคนทั่วไป และการเสริมวิตามินดีช่วยให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาล (Glucose Metabolism) ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ
3. หญิงตั้งครรภ์เกิดภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์และมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารก เนื่องจากขาดกรดอะมิโนขณะตั้งครรภ์ ทําให้เกิดการแท้งแบบธรรมชาติ และพบว่าการที่วิตามินดีต่ำจะทําให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
4. โรคหัวใจและความดันโลหิต ในกลุ่มผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีระดับวิตามินดีต่ำกว่า15 นาโนกรัม/มิลลิลิตรจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจเป็น 2 เท่า
5. การเจริญเติบโตในเด็ก การขาดวิตามินดีจะส่งให้รูปร่างไม่สมประกอบ น้ำหนักลด ฟันผุเติบโตช้า กระดูกสันหลังโก่ง ข้อมือ เข่า และกระดูกข้อเท้าโต ความต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดน้อยลง
6. โรคมะเร็ง วิตามินดีมีบทบาทในการควบคุมการเจริญของเซลล์ พบว่าระดับวิตามินดีที่สัมพันธ์กับการเป็นมะเร็งลําไส้ใหญ่ (Colorectal carcinoma), มะเร็ง เต้านม (Breast cancer), มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer) และมะเร็งรังไข่ (Ovarian cancer)
7. การขาดวิตามินดีมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรคโควิด-19 รวมถึงการเพิ่มการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และอัตราการเสียชีวิต
เครดิตภาพ: Pixabay
แหล่งที่มาของวิตามินดี
1. เราได้รับวิตามินดีจากอาหาร อาหารที่พบวิตามินดีมาก ได้แก่ ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน ตับ ไข่ และนม รวมถึงอาหารจำพวกซีเรียล และผลิตภัณฑ์จากนม
2. การรับประทานวิตามินดีในรูปของอาหารเสริม (Vitamin D Supplementation)
3. นอกจากอาหารแล้ว เราจะได้รับวิตามินดี จากการรับแสงแดด (Ultraviolet B Ray, UVB) โดยร่างกายจะสังเคราะห์วิตามินดีเองได้ใต้ผิวหนัง ผ่านการกระตุ้นด้วยแสง UVB แต่อยู่ในรูปไม่ออกฤทธิ์ จะต้องไปถูกเปลี่ยนที่ตับและไต ให้เป็นรูปที่ออกฤทธิ์ก่อน ดังนั้นคนที่การทำงานของตับและไตบกพร่อง ก็มีโอกาสที่จะขาดวิตามินดีได้
ปัจจุบัน มีการบริการตรวจหาระดับของวิตามินดีในเลือด โดยค่าปกติของวิตามินดีในเลือดจะต้องสูงกว่า 30 ng/ml ถ้าต่ำกว่า 20 ng/ml ควรรับประทานวิตามินเสริม ซึ่งควรอยู่ในการดูแล และคำแนะนำของแพทย์
จะเห็นได้ว่า วิตามินดีมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อระบบต่างๆของร่างกายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเราควรให้ความเอาใจใส่ และดูแลสุขภาพไม่ให้ขาดวิตามินดี โดยการรับแสงแดดอย่างเหมาะสม จากการที่ประเทศเราอยู่ในเขตร้อน และการรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีอย่างเพียงพอ ก่อนที่จะต้องรับประทานวิตามินเสริม ซี่งจะสามารถลดจำนวนผู้ที่ขาดวิตามินดีลงได้
โฆษณา