ในการศึกษาวิชาความรู้ หากศิษย์คนใดรู้จักรักษาโอกาสใกล้ชิดครูบาอาจารย์ แน่นอนว่าย่อมจะมีโอกาสที่จะได้ไต่ถามให้ได้มาซึ่งวิชาความรู้ นอกเหนือจากที่ได้สดับรับฟังมาตามปกติในห้องเรียนอย่างแน่นอน
ครั้งหนึ่ง ขงจื่อเดินทางไปที่แคว้นเว่ย หยั่นฉิวได้ขออาสาเป็นสารถีให้ขงจื่อ ครั้นขงจื่อเข้าสู่เมืองเว่ยแล้ว ได้อุทานขึ้นด้วยความดีใจว่า “ที่นี่มีประชากรคับคั่งเหลือเกิน”
ครั้นหยั่นฉิวได้ฟังแล้วก็เกิดความสนใจใคร่รู้ จึงถามขึ้นว่า “เมื่อมีประชากรคับคั่งแล้ว พึงทำอย่างไรต่อไป ?”
ขงจื่อตอบหยั่นฉิวว่า “ทำให้พวกเขาสมบูรณ์พูนสุข”
หยั่นฉิวถามต่อไปอีกว่า “ครั้นสมบูรณ์พูนสุขแล้ว พึงทำอย่างไรต่อไป ?”
ขงจื่อกล่าวว่า “จงประสิทธิ์วิชาให้แก่พวกเขา”
ขงจื่อมีอุดมการณ์อันสูงส่งที่ต้องการบันดาลใต้หล้าให้เป็นโลกแห่งสันติภพ และอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของขงจื่อเช่นนี้ ก็หาได้เป็นเพียงอุดมการณ์ที่เอาแต่วาดฝัน โดยมิสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงไม่ เพราะขงจื่อเคยได้ทำให้โลกแห่งสันติภพน้อยๆ เกิดขึ้นได้จริงแล้วที่เมืองจงตู หลังจากที่ท่านใช้เวลาปกครองสั้นๆ เพียงหนึ่งปีเท่านั้น
แต่อุดมการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นจริงได้อย่างไร และท่านมีปรัชญชาในการบริหารบ้านเมืองเช่นไร ก็เป็นสิ่งที่หยั่นฉิวสนใจใคร่รู้เป็นยิ่งนัก ดังนั้นครั้นมีโอกาส หยั่นฉิวจึงรีบถามไถ่ขอความรู้นี้ในทันที
ขงจื่อเห็นว่า ก่อนที่จะเกิดโลกแห่งสันติภพ ประชาชนจะต้องอิ่มท้องเสียก่อน ครั้นประชาชนสามารถอิ่มท้องและมีความอยู่ดีกินดีในระดับหนึ่งแล้ว ตอนนั้นจึงค่อยทำการอบรมสอนสั่งด้วยหลักคุณธรรม ครั้นบรรยากาศแห่งคุณธรรมขจรขจายไปทั่วแล้ว โลกแห่งสันติภพจึงจะเป็นจริงได้
แต่สำหรับบ้านเมืองที่พบเห็นโดยทั่วไป ผู้ปกครองจะสนแต่เพียงทำอย่างไรให้ประชาชนมั่งมีศรีสุข โดยหาได้คิดอ่านที่จะยกระดับจิตใจประชาชนให้สูงส่งยิ่งขึ้นเลยไม่ หากสังคมที่มีแต่การพัฒนาให้ก้าวหน้าทางวัตถุนอกกาย โดยหาได้นำพาในการพัฒนาทางจิตวิญญาณไม่แล้ว ที่สุดก็คงกลายเป็นสังคมที่หัวโตขาลีบจนล้มคะมำหน้าคว่ำ และกลายเป็นสังคมที่ฟอนเฟะในที่สุด