5 ก.พ. 2021 เวลา 08:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
[Review] Monster Hunter (2020) – ถึงคราอลิซล่าแย้
ปกติแล้ว นอกเหนือจากการว่าง ๆ หาหนังดูก็จะเป็นการละเลงเวลาไปกับวิดีโอเกมหลายต่อหลายเกม หลายครั้งก็ถึงกับนึกว่า บางเกมถูกสร้างออกมาเป็นหนังจริง ๆ จะถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบไหน บางเกมก็ถูกนำมาสร้างแต่ก็ล้มเหลว บางเกมก็ประสบความสำเร็จจนมีภาคต่อตามออกมามากมาย เฉกเช่น Resident Evil จนกระทั่งผู้สร้างหนังเหล่านั้นหันมาจับแฟรนไชส์ใหม่ ที่ตัวเองยังไม่มีโอกาสเล่นเกมนี้จริง ๆ เสียทีอย่าง Monster Hunter
Monster Hunter เล่าเรื่องของกลุ่มทหารหน่วยนึงนำโดย นาตาลี อาร์ทีมิส ที่ออกตามหาหน่วยบราโว่ที่หายจากกลางทะเลทรายไปอย่างปริศนาจนกระทั่งทั้งหน่วยถูกพายุลึกลับดูดกลืนเข้าไปอีก “โลกนึง” ในดินแดนที่เต็มไปด้วยอสูรกายที่แสนดุร้าย อาร์ทีมิส จึงได้พบกับ “ฮันเตอร์” ที่ออกล่าอสูรกายและต้องร่วมมือกันทำภารกิจเพื่อหาทางกลับไปยังโลกเดิมของเธอ
ไม่ใช่แฟนหนังของผู้กำกับ ฯ รายนี้เสียเท่าไหร่ พอล ดับเบิ้ลยู เอส แอนเดอร์สัน ขึ้นชื่อในฐานะเขียนบททำ-กำกับเอง มาตั้งแต่แฟรนไชส์ผีชีวะที่พักหลังก็เน้นเอามันจนเกือบออกทะเล มาครั้งนี้ก็ได้หยิบเอาแฟรนไชส์วิดีโอเกมยอดฮิตอีกตัวของ Capcom มาทำภายใต้โครงบทหลวม ๆ ที่เล่าผ่านฉากแอ็คชั่นการไล่ล่าจากอสูรกายที่น่าสนุกไม่น้อย รวมถึงเทคนิคการเนรมิตอสูรกายที่ตระการตาไม่เบา
ส่วนที่ดีของเรื่องก็คือ ตัวหนังมีการวางโครงบทตามสูตรที่ค่อนข้างดีและชัดเจน อยู่ในฐานะหนังที่เน้นสร้างความบันเทิงแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ทั้งการผจญภัยที่มีการวางอสูรกายแต่ละตัวได้อย่างเหมาะเจาะ แทรกกลิ่นอายความเป็นสยองขวัญลงไปหน่อย อีกทั้งยังมีการไล่ระดับเกมจนไปถึงบอสไฟต์ได้น่าตื่นเต้นพอใช้ได้ นอกจากนี้การวางคาแรคเตอร์ที่ค่อนข้างแตกต่างกันมาก ๆ ระหว่าง มีล่า โจโววิช และ จา พนม ก็สอดรับเคมีกันได้สนุกทีเดียว แถมงานสร้างและเทคนิคงานภาพก็ไม่ขี้เหร่เลยทีเดียว
กระนั้นเอง หนังเต็มไปด้วยจุดวิจารณ์มากมาย ทั้งการตัดต่อในฉากแอ็คชั่นต่อสู้ประชิดตัวที่เน้นตัดฉับไวแบบเกินความจำเป็น ที่เน้นตัดสลับช็อตมากกว่าการถ่ายทอดการเคลื่อนไหวในการกระบวนท่าต่อสู้หรือถ่ายทอดความโกลาหลในการต่อสู้กับอสูรกาย จนส่งผลให้หลายฉากต่อสู้นั้น รู้สึกดู “ไม่รู้เรื่อง” มากกว่าจะรู้สึกบันเทิงไปกับมัน เราค้นพบว่ามีหนังหลายเรื่องที่ตัดต่อฉากสู้ที่ฉับไวแต่ก็ยังดูรู้เรื่องอยู่เยอะ เฉกเช่น The Bourne Ultimatum แต่รสนิยมการตัดในเรื่องนี้ไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน
นอกจากนี้ตัวบทที่แม้มีโครงบทที่ค่อนข้างดีแต่การเล่าเรื่องและการกำกับก็ค่อนข้างดูถูกคนดูพอสมควร ทั้งการใส่ตัวละครบางตัวออกมาเพื่อนำออกไป แถมยังขาดความเอาใจใส่ในตัวละครนั้น ๆ นอกจากนี้การวางให้ตัวละครมี plot armor ที่เป็นเกราะกำบังให้ตัวละครนั้นดูแข็งแกร่งแบบไร้ที่มาที่ไป ก็ทำให้หนังพร่องความลุ้นระทึกไปเหมือนกัน แถมการกำกับในบางช่วงบางตอนก็ดูขาดความสร้างสรรค์ ทั้งการเน้นย้ำเทคนิคสโลว์โมชั่นจนเฝือหรือแม้แต่การเดินเรื่องผ่านการใช้ดนตรีประกอบนำด้วยบีทเดิมก็ดูซ้ำซากอีกด้วย
สรุปแล้ว Monster Hunter ก็เป็นอีกหนึ่งการดัดแปลงเกมมาเป็นหนังที่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก แม้การวางโครงบทตามสูตร, งานสร้าง, การออกแบบฉากต่อสู้ รวมถึงเทคนิคงานสร้างที่เนรมิตเหล่ามอนสเตอร์ที่ทำได้ค่อนข้างดี แต่ก็ตกม้าตายด้วยการกำกับและเล่าเรื่องที่ดูถูกคนดู ขาดความสร้างสรรค์ อีกทั้งการตัดต่อเน้นฉับไวก็พาลทำลายอรรถรสในการดูฉากแอ็คชั่นไปค่อนข้างมาก
แต่ก็ทำให้อยากซื้อเกมมาเล่นด้วยตัวเองอยู่นะ
2.5 / 5
Monster Hunter (2020)
Written & Directed by Paul W. S. Anderson
Based on Monster Hunter by Capcom

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา