5 ก.พ. 2021 เวลา 14:46 • หนังสือ
The Hate U Give - Angie Thomas
หนึ่งใน YA กระแสมาแรงที่สุดของปี 2017 คงหนีไม่พ้น The Hate U Give ที่ตีแผ่เรื่องราวโคตรจริง เกี่ยวกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางสีผิวที่นับวันยิ่งทวีความตึงเครียดในอเมริกาเหตุการณ์ BLM ทำให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า แท้จริงความเกลียดชังที่ีต่อเรื่องวัฒนธรรมคนดำ (Black Culture) ยังไม่หายไปไหน แถมบางครั้งยังทวีความรุนแรงขึ้นได้อย่างน่าเศร้า
ก่อนอื่นขอบอกเลยว่าชอบหนังสือเล่มนี้มาก เป็นความทรงพลังแบบเล่นเอาจุกจนพูดไม่ออก ทุกคนควรอ่านเพื่อให้เข้าใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้น เป็นนิยายน้ำดีที่มีครบทุกรส ทั้งซึ้ง ทั้งเศร้า ทั้งโมโห ที่สุดแห่งโรลเลอร์โคสเตอร์ทางอารมณ์ที่หนังสือน้อยเล่มจะทำให้เรารู้สึกมากมายได้ขนาดนี้ เราได้เรียนรู้เยอะมากจริงๆ
สตาร์ คาร์เตอร์ เป็นเด็กสาววัยสิบหกที่มีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก โลกในถิ่นสลัมที่เธอเติบโตขึ้นมา และโลกในโรงเรียนเอกชนไฮโซที่นักเรียนส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว ความสมดุลทุกอย่างที่เธอพยายามสั่งสมมากลับพังทลายลง เมื่อ คาลิล เพื่อนสนิทวัยเด็กของเธอถูกตำรวจฆ่าตายกลางถนน คาลิลไม่มีอาวุธ และความผิดเดียวที่เขากระทำคืนนั้นคือการเกิดมาเป็นคนผิวดำ
การตายของคาลิลกลายเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศ บ้างวิจารณ์เข้าข้างตำรวจ บ้างวิจารณ์เข้าข้างคาลิล บ้างวิจารณ์ว่าคาลิลเป็นแค่ไอ้กุ๊ย ไอ้นักเลงขี้ยาที่สักวันมันก็ต้องถูกยิงตายอยู่ดี มีเพียงสตาร์เท่านั้นที่รู้ความจริง และเธอกำลังจะถูกแยกระหว่างสองโลกอีกครั้ง โลกแห่งความเงียบที่ทุกคนรอบตัวเธอปลอดภัย หรือโลกแห่งความจริงที่เธอต้องลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิของคาลิล ที่อาจหมายถึงการทำให้ชีวิตของคนที่เธอรักต้องตกอยู่ในอันตราย
หนังสือยิงประเด็นไปที่ครอบครัว ความกล้าหาญ และอัตลักษณ์ สตาร์เติบโตมาในครอบครัวที่ดีมาก พ่อแม่รักและเอาใจใส่ รายล้อมไปด้วยพี่น้องที่อบอุ่นกลมเกลียว พ่อแม่ของสตาร์เลี้ยงดูลูกด้วยสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตคนดำในอเมริกา นั่นคือความเป็นจริง ครอบครัวคาร์เตอร์ใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความจริงว่าการเกิดเป็นคนผิวดำ แปลว่าต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ได้รับการยอมรับ การวางตัวและการตระหนักรู้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ครอบครัวของสตาร์จะถือเป็นชนชั้นกลาง แต่ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากสลัม และพ่อเคยเป็นพ่อค้ายารายใหญ่และติดคุกมาก่อน ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากหลายๆครอบครัวในละแวกบ้านเดียวกัน พ่อของเธอเล่าถึงชีวิตในสลัมหลายครั้ง ญาติและเพื่อนหลายคนก็อาศัยอยู่ในชุมชนเหล่านั้น สตาร์โตมากับความเข้าใจถึงความเป็นจริงที่ว่าทุกคนต้องกระเสือกกระสนเพื่อเอาชีวิตรอด โดยไม่ได้รับสิทธิและความเป็นธรรมจากสังคมอย่างที่ควรจะเป็น
อัตลักษณ์ของคนดำ และวัฒนธรรม Black Culture ร่วมสมัยถูกส่งผ่านบทสนทนาและเรื่องราวอย่างเข้มข้น อ่านเพลินจนบางตอนถึงขั้นหัวเราะก๊ากออกมาเลยด้วยซ้ำ เราจะได้เห็นชีวิตของคนดำอย่างแท้จริงผ่านทางทั้งวัฒนธรรมการกินอยู่ วิถีชีวิตประจำวัน และคำพูด เช่นการสวดมนต์ขอพรกับ Black Jesus ไปจนถึงการติดรูป Malcolm X (นักสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพผิวดำ)บนผนังบ้าน พ่อของสตาร์เองก็เชื่อมั่นในข้อบัญญัติของกลุ่มขบวนการเสือดำ หรือ Black Panther movement มากๆจนเอารูปมาติดไว้บนฝาบ้าน แถมสอนให้ลูกๆทุกคนท่องจำคำปฏิญาณจนขึ้นใจตั้งแต่เด็กๆ
สิ่งนึงที่แสดงอัตลักษณ์ได้ดีคือวิธีการพูดและการใช้แสลง เล่มนี้ใช้แสลงคนดำเยอะมาก (อ่านฉบับภาษาอังกฤษ) เช่น Timbs คือแสลงของรองเท้าทิมบ้าแลนด์ J's คือรองเท้าไนกี้แอร์จอร์แดน Chucks คือรองเท้าคอนเวอร์ส หรือ pig ในบริบทของคำกริยาแปลว่า แดก เป็นต้น
หลายช่วงตอนที่อ่านก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะแปลเป็นภาษาไทยอย่างไรให้คงความเป็นธรรมชาติและตลกชวนหัวเอาไว้ได้ โดยเฉพาะเวลาพูดประโยคยาวๆแล้วเจอการย่อคำ เช่น A'ight คือ alright ส่วน 'Pac หมายถึง Tupac Shakur ชื่อแรปเปอร์ตำนาน (ซึ่งชื่อหนังสือก็เอามาจากเนื้อเพลงของเขานี่แหละ) แล้วมันจะมีตอนนึงที่ตลกมาก นักข่าวคนขาวไปสัมภาษณ์สมาชิกแก๊ง เนื้อหาประมาณนี้
นักข่าว: คุณชื่ออะไรครับ
ชาวแก๊ง: Nunya ซึ่งนักข่าวก็ตอบว่า
นักข่าว: ขอบคุณครับคุณนันยา ที่อุตส่าห์สละเวลามาคุยกับเรา
คือ Nunya ในบริบทนี้คือมันย่อมาจาก none of your business (ไม่ใช่เรื่องของมึง)แต่ปรากฏว่าย่อคำเยอะมาก จนคนขาวยังไม่เข้าใจ คิดว่าถ้าไม่ค่อยเก่งภาษา การอ่านฉบับอังกฤาเรื่องนี้ น่าจะยากพอสมควร
ประเด็นสุดท้ายที่หนังสือหยิบมาเล่น คือความกล้าหาญ หนังสือพูดถึงความกล้าที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง และการใช้เสียงของตัวเองเป็นอาวุธในการต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง หนังสือตีแผ่ชีวิตจริงของคนที่เลือกจะเงียบเพราะความกลัวจนปล่อยให้ตัวเองถูกกดขี่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กน้อยที่ยอมก้มหน้าค้ายาเพราะไม่มีทางเลือก เมียที่ทนให้ผัวทำร้ายร่างกายทุกวันเพราะไม่มีที่ไป ไปจนถึงตัวสตาร์เองที่ไม่กล้าออกมาพูดความจริงเพราะกลัวมันจะทำลายล้่างชีวิตของคนที่เธอรัก (เช่น คุณลุงของสตาร์เป็นตำรวจ สน. เดียวกับตำรวจที่ยิงคาลิลตาย) สุนทรพจน์สุดท้ายที่สตาร์ก้าวข้ามผ่านความกังวลของตัวเองและเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง เป็นช่วงที่กินใจและคุ้มค่ามากๆ
แต่ถึงแม้ธีมเรื่องและสิ่งที่พยายามจะสื่อมันหนัก โธมัสกลับนำเสนอเรื่องราวทุกบทตอนได้อย่างราบลื่นและเบาสมองมาก จุดที่ตลกคือตลกมาก แถมยังมีจุดน่ารักเล็กๆน้อยในแง่ชีวิตรักของสตาร์ (ที่ดันไปมีแฟนเป็นคนขาว คือนางก็ไม่กล้าบอกพ่อ กลัวพ่อหัวใจวายตาย) เอาเป็นว่ามีครบทุกรสอย่างแท้จริง เลอค่าแก่การอ่านเพื่อให้เข้าใจ privilege ของตัวเอง และความทุกข์ของคนชายขอบผู้ถูกกดขี่เป็นอย่างมาก
สรุปเลยแล้วกัน The Hate U Give เปิดโลกทัศน์ถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นประสบการณ์การอ่านที่คุ้มค่า เพราะเราได้เรียนรู้เยอะมาก เนื้อหาดี ภาษาดี เป็นความ feel good บนความ feel bad ต่อสังคมรอบข้าง อยากให้ทุกคนได้อ่าน
หนังสือมีการทำเป็นหนังแล้วเมื่อปี 2018 นำแสดงโดย Amandla Stenberg Common และ Anthony McGee
ดัดแปลงจากบันทึกเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2017
โฆษณา