8 ก.พ. 2021 เวลา 08:08 • นิยาย เรื่องสั้น
(12) Day 1 : Asakusa
“ผมต้องเก็บเงินแต่งงาน”
หลังจากพูดประโยคนั้นออกมาแล้วดูธันว์จะเงียบไปหน่อย เอพริลนึก
ผู้ชายนี่คิดอะไรซับซ้อน ไม่สบายใจอะไรก็เล่ามาซี เล่ากับคนแปลกหน้าที่บังเอิญเดินร่วมทางกันในช่วงเวลาหนึ่ง
กลับบ้านไปก็ลืมๆกันหมดแล้ว
ทำอย่างที่เธอทำ ง่ายกว่าตั้งเยอะ
1
เอพริลพยายามชวนคุยแต่ยามเผลอเขาก็กลับไปเหม่อลอย จนเอพริลเริ่มเงียบตาม
สั่งอาหารเสร็จ เขาเงียบต่อ
เอพริลได้แต่หันไปมองรอบๆตัว
ร้านราเมงใกล้วัดเซนซูจิแห่งนี้ คนแน่นสมกับเป็นร้านดัง พนักงานหลายคน วุ่นวายทั้งในส่วนที่เป็นครัวและบริเวณที่นั่ง พนักงานแต่งตัวคล้ายกันคือมีผ้าโพกหัวสีเดียวกัน
 
อาการที่เอพริลมองตามหนุ่มพนักงานเหล่านั้น ทำให้ธันว์มองตามก่อนหัวเราะเบาๆ
เอพริลหันมอง ดูธันว์อารมณ์ดีขึ้น แต่อยู่ดีๆก็หัวเราะ ต้องเกี่ยวกับเธอแน่
คิ้วขมวดพร้อมสายตาส่งคำถาม
ธันว์บุ้ยหน้าไปที่หนุ่มๆนั่น
“ผ้าโพกหัวสีส้ม” สีหน้าเขายิ้มๆ เพื่อนร่วมทางของเขาชอบสีส้มจริงจัง
“อ้าว งั้นเหรอคะ” เรื่องตีหน้าแนบเนียน เอพริลพอทำเป็นอยู่บ้าง “สงสัยอยู่พอดี ที่มองหนุ่มๆไม่วางตานี่ เข้าใจว่าตัวเองติดใจหนุ่มญี่ปุ่นเข้าแล้ว”
ธันว์หัวเราะออกมาได้
ราม็ง 2 ชุดพร้อมเกี๊ยวซ่า 3 ชิ้นในจานเล็กๆถูกวางลงพอดี
เอพริลเห็นแล้วบ่นเบาๆ “ทำไมเกี๊ยวซ่าตัวผอมงี้ล่ะคะ ที่บ้านเราออกตัวอ้วนเต็มคำ”
ปากพูดก็จริงแต่มือไม่หยุด รีบแกะตะเกียบออกมาจากซอง
“อะทะดะกิมัส จะทานแล้วนะค้า” ทำเสียงใส
“หิวล่ะซี ” ธันว์ว่าก่อนชิมราเม็งในชามแล้วชม “รสชาติดีนะ”
“ซดน้ำให้ดังหน่อยนะคะ ประมาณว่า โออิชิ อร่อยจัง” ธันว์ซดเสียงดัง ก่อนเหลียวซ้ายแลขวา ไม่กล้าทำเสียงดังไปกว่านั้น
“ไม่เอาดีกว่า รู้สึกตัวเองว่าไม่สุภาพอยู่ดี” เขากินต่อ
“ความสุภาพนี่แปลกนะคะ ขึ้นกับกาลเทศะ”
ธันว์ยกนิ้วให้ “พูดดี ดูมีความรู้”
เอพริลเผลอค้อน
2
ธันว์อดอมยิ้มกับค้อนนั้นไม่ได้ จะเงียบไปก็กลัวทำบรรยากาศไม่ดี เลยชวนคุย
“คนญี่ปุ่นนี่เน้นการแสดงออกเป็นพิเศษนะ มีแบบแผนชัดเจน ก่อนกินต้องพูด กินเสร็จต้องบอก จะไปต้องมีคำกล่าว อะไรแบบนั้น เหมือนมีพิธีกรรมน่ะ ” เขานึกถึงเสียงใสที่ร้องบอก อะทะดะกิมัสเมื่อตะกี้
“ฉันเคยอ่านหนังสือเรื่องเกียวโตของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์” ธันว์พยักหน้าให้รู้ว่ารู้จัก
“อาจารย์ว่าคนญี่ปุ่น่ชอบอ้างเรื่องความคับแคบมาอธิบายวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของตัวเองอยู่เสมอ” คำบอกเล่านั้นทำให้ธันว์เงยมองไปรอบร้านอาหารที่เป็นห้องเล็กๆ มีเฟอร์นิเจอร์ชิ้นไม่ใหญ่ และคนแน่น
“ความคับแคบทำให้ต้องอยู่แบบสุภาพต่อกัน เลยสร้างพิธีกรรมอย่างที่คุณว่า ทั้งเดินเหินนั่งนอนหรือพูดคุยกินข้าวทักทาย ถ้าไม่สุภาพต่อกันจะทำให้เกิดความเครียดในชีวิต ถ้าคบกันบนพื้นฐานของพิธีกรรมมันสบายมากกว่า” ธันว์ทำหน้าออกทึ่ง
1
เอพริลเห็นหน้านั้นเลยว่า “ใช่ น่าทึ่งจริงๆด้วย”
ธันว์แหย่ “คุณต่างหาก คุณมีมาดนักวิชาการแบบนี้ ก็ได้ด้วยนะนี่”
1
เอพริลค้อนอีกที ก่อนถือโอกาสใช้ตะเกียบหยิบเกี๊ยวซ่าชิ้นที่ 2
ถือเสียว่าเป็นค่าปรับ
2
“แล้วที่แต่งคล้ายกัน แต่งตัวเหมือนกันเป็นทีมเดียวกันนั่นละ” ธันว์บุ้ยไปทางหนุ่มๆหัวสีส้มของเอพริล
“เครื่องแบบมีความสำคัญเพราะเป็นตัวบอกสังกัดค่ะ บอกว่าทำงานที่นี่นะ ทำงานที่บริษัทนั้นนะ” เอพริลซดน้ำซุปก่อนพูดต่อ
“ผู้ชายสวมสูทกันแทบทุกคน เพื่อแสดงว่ามีสังกัด มีเงินเดือนที่เขาเรียกด้วยเสียงที่เพี้ยนจากอังกฤษว่า ซาราริมัน” บุ้ยหน้าไปทางคนที่นั่งโต๊ะมุมห้อง
1
“Salaryman อะนะ” ธันว์ว่า เอพริลพยักหน้า ดูเหมือนเกี๊ยวซ่าไปนอนรอการเคี้ยวอยู่ที่แก้มป่องๆนั่น
“อาชีพใฝ่ฝันของเด็กๆที่นี่เลยนะคะ อยากสวมเครื่องแบบเพื่อมีสังกัด ผู้หญิงก็อยากมีสามีที่ทำงานมีสังกัด” เอพริลตอบหลังกลืน ก่อนมองอีกชิ้นที่เหลือ
ธันว์ยกจานนั้นไปวางตรงหน้า “กินเถอะ ผมอิ่มแล้ว”
เอพริลเหลือบมอง แววตายังดูหม่นๆอยู่ งั้นเธอกินเสียเองก็แล้วกัน ให้เวลาเขาทำใจอีกนิด
หยิบอีกชิ้นเข้าปากอย่างไม่รู้สึกผิดแล้ว เอพริลก็กล่าวขอบคุณอย่างเต็มพิธีการ
ก้มศีรษะต่ำแทบติดโต๊ะ ทำเสียงเล็กเสียงน้อย แต่ตามีแววเจ้าเล่ห์บางอย่าง
“ โกะจิโซซามะ เดชิตะ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้ค่ะ” ลากเสียงยาว
ธันยิ้มกว้างก่อนชี้ไปบนโต๊ะ
“ค่าอาหารมื้อนี้จดลงสมุดด้วยนะ”
1
😆😆😆😆
ตอนก่อนหน้านี้ อ่านได้จากตรงนี้ค่ะ
ขอบคุณรูปจาก tourkrub และจากคุณเอพริลนางเอกต้นแบบค่ะ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา