8 ก.พ. 2021 เวลา 13:00 • ประวัติศาสตร์
“การพักรบคริสต์มาส (Christmas truce)” เมื่อทหารสองฝั่งหยุดรบชั่วคราวเพื่อฉลองคริสมาสต์
2
เหตุการณ์ “การพักรบคริสต์มาส (Christmas truce)” เป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจเหตุการณ์หนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ไปทีหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังอยากจะเขียนเพิ่มเติม ขยาย เล่าถึงเหตุการณ์นี้อีกครั้ง
ในค่ำคืนวันคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) บริเวณแนวหน้าด้านตะวันตก ได้เกิดเหตุการณ์ที่น่ามหัศจรรย์และตราตรึงในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 1
5
เวลาประมาณ 22.00 น. ทหารอังกฤษที่อยู่ในสนามเพลาะ ฝั่งตรงข้ามกับสนามเพลาะฝั่งเยอรมนี ได้ยินเสียงทหารเยอรมันส่งเสียง หัวเราะอย่างสนุกสนาน
ทหารเยอรมันกำลังร้องเพลงคริสต์มาสอย่างสนุกสนาน และในความมืดของค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ทหารอังกฤษหลายนายก็ได้ร้องเพลงคริสต์มาสคลอไปกับฝั่งเยอรมนี
ไม่นานนัก ก็มีเสียงตะโกนมาจากฝั่งเยอรมนี เป็นประโยคภาษาอังกฤษสำเนียงเยอรมัน
“มาทางฝั่งนี้สิ”
หนึ่งในทหารอังกฤษได้ตะโกนตอบไป
1
“นายมาครึ่งทาง ฉันไปครึ่งทาง”
ทหารทั้งสองฝั่งค่อยๆ ออกมาจากที่กำบัง เดินมาพบกันบริเวณกึ่งกลางสนามรบ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ทั้งสองฝั่งได้สื่อสารด้วยการสาดกระสุนปืนใส่กัน จะหยุดก็เฉพาะเวลาที่ให้เก็บศพทหารฝั่งตน แต่ในตอนนี้ ทหารทั้งสองฝั่งได้จับมือ พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน สนามรบอบอวลไปด้วยมิตรภาพ
1
ทหารทั้งสองฝั่งได้กอดคอร้องเพลงร่วมกัน ต่างสูบบุหรี่และดื่มเหล้า ฉลองกันอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจว่าใครเป็นฝ่ายไหน
ทหารอังกฤษนายหนึ่งได้กล่าวในภายหลังว่า
“พวกที่อยู่ตรงหน้าคือทหารเยอรมัน แต่บรรยากาศในเวลานี้ไม่มีมวลแห่งความเกลียดชังเลยแม้แต่นิดเดียว”
1
และไม่เพียงแค่แนวหน้าด้านตะวันตกเท่านั้น แต่ในวันคริสต์มาสอีฟนี้ ก็มีรายงานว่าแนวหน้าด้านตะวันออก ทหารก็หยุดรบเพื่อฉลองคริสต์มาสเช่นกัน และการสงบศึกนี้ก็ดำเนินไปเป็นเวลาหลายวันเลยทีเดียว
เหตุการณ์นี้ปรากฎในบันทึกหลายที่ รวมทั้งจดหมายที่ทหารเขียนส่งมาให้ครอบครัวหลายฉบับก็กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ โดยหนึ่งในพลแม่นปืนฝั่งอังกฤษนายหนึ่ง ได้เขียนเล่าถึงเหตุการณ์นี้ในจดหมายที่ส่งมาถึงภรรยา ความว่า
“หน่วยของฉันบังเอิญอยู่ในแนวยิงของวันคริสต์มาสอีฟ และก็ถึงเวรของฉันที่ต้องไปประจำในบ้านโทรมๆ หลังหนึ่ง รอเวลา 6.30 น. ของเช้าวันคริสต์มาส”
“ในช่วงเช้าตรู่วันคริสต์มาส พวกเยอรมันก็ร้องเพลงและพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษ และพวกนั้นก็ตะโกนมาหาฉัน”
“นายคือพลแม่นปืนใช่มั้ย? มีเหล้าเหลือซักขวดมั้ย ถ้ามี เราจะไปหานายครึ่งทาง นายก็ออกมาครึ่งทาง”
“ทหารฝั่งเราเดินออกไปหาพวกนั้น ฉันได้จับมือกับทหารเยอรมัน และพวกเยอรมันก็มอบบุหรี่ให้เรา ในวันนั้นไม่มีการยิง และทุกอย่างก็เงียบสงบราวกับความฝัน”
ทหารอังกฤษอีกนายก็ได้กล่าวในภายหลังว่า
“เรากำลังหัวเราะและพูดคุยกับคนที่ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว เรายังพยายามจะฆ่าให้ตายอยู่เลย”
1
บันทึกอื่นๆ ของทหารก็ได้บรรยายถึงการที่ทหารเยอรมันได้จุดเทียนบนต้นคริสต์มาสรอบๆ สนามเพลาะ ทางด้านทหารอังกฤษก็ตั้งซุ้มตัดผม ตัดผมให้ทหารเยอรมันโดยเรียกค่าตัดเป็นบุหรี่
จากนั้น อยู่ๆ ก็มีลูกบอลกลิ้งมาจากไหนไม่มีใครทราบ แต่ทหารอังกฤษและทหารเยอรมันก็นึกสนุก ต่างพุ่งมาเตะบอลกันอย่างสนุกสนาน ไม่มีใครสนใจเลยว่าทหารที่ตนกำลังเตะฟุตบอลอยู่ด้วยคือศัตรูที่พวกเขามีหน้าที่ฆ่า
เรื่องราวของเหตุการณ์นี้ได้ออกไปสู่สื่อมวลชน และก็มีการบอกเล่า สร้างความประทับใจให้ผู้คนทั่วโลก
ไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามีทหารเข้าร่วมในเหตุการณ์นี้จำนวนเท่าไร แต่บางแห่งก็บอกว่ามีทหารรวมกันกว่า 100,000 นายเข้าร่วมในเหตุการณ์นี้
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะซาบซึ้งยินดีกับเหตุการณ์นี้
ในวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) “สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 (Pope Benedict XV)” ทรงมีรับสั่งขอต่อผู้นำกองทัพต่างๆ ขอให้ทหารสงบศึกในวันคริสต์มาส โดยพระองค์ได้ทรงมีรับสั่งว่า
“ขอให้เสียงปืนเงียบสงบ อย่างน้อยก็ในคืนที่เทวดาร้องเพลง”
แน่นอนว่าผู้นำแต่ละทัพไม่ยอม
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 (Pope Benedict XV)
เมื่อเกิดเหตุการณ์สงบศึกนี้ ผู้บัญชาการหลายรายสั่งลงโทษทหาร และยิ่งโมโหมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเมื่อถึงคราวต้องกลับมารบ ทหารทั้งสองฝั่งก็รบไม่เต็มที่ บางรายถึงขั้นแกล้งปล่อยทหารฝ่ายตรงข้ามให้รอดตาย เนื่องจากต่างฝ่ายก็ผูกพันกันไปแล้ว
5
นอกจากนั้น ยังมีทหารฝ่ายเยอรมันอีกนายหนึ่ง ซึ่งเป็นทหารธรรมดา ยังไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมาย
ทหารนายนั้นได้ต่อว่าเพื่อนร่วมกองทัพ
“เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในยามสงคราม พวกนายไม่มีเกียรติยศความเป็นเยอรมันหลงเหลืออยู่เลยหรือ?”
ทหารนายนั้นชื่อ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)”
3
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
ภายหลังจากเหตุการณ์นี้ หลังสงครามจบลง ทหารทั้งสองฝ่ายหลายนายได้ให้สัมภาษณ์ว่าตนนั้นผูกพันกับทหารฝ่ายตรงข้ามไปแล้วและไม่ต้องการรบ
ทหารอังกฤษรายหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ ฝั่งที่ตนประจำนั้นอยู่ตรงกับพลปืนของฝั่งเยอรมันพอดี ซึ่งตนกับทหารเยอรมันตรงข้ามก็กลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ฝั่งตนจึงยิงปืนใส่ฝ่ายเยอรมัน หากแต่จงใจยิงให้เบี้ยว ไม่ให้กระสุนโดนฝ่ายตรงข้าม และดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามก็คิดเหมือนกัน เนื่องจากกระสุนที่ฝ่ายตรงข้ามยิงมา ก็ไม่โดนฝั่งตนเลย กลับไปโดนด้านข้างซึ่งอยู่ห่างออกไป ยิงพลาดอย่างดูออกว่าจงใจให้พลาด
เหตุการณ์ที่น่าประทับใจนี้ตราตรึงอยู่ในใจของทหารทุกคนในเหตุการณ์นั้น และในปีค.ศ.2014 (พ.ศ.2557) 100 ปีหลังเหตุการณ์นี้ ทีมฟุตบอลอังกฤษและเยอรมันก็ได้จัดการแข่งขันฟุตบอลในอังกฤษเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้ โดยผลการแข่งขัน อังกฤษชนะ 1-0
2
เหตุการณ์นี้สร้างความประทับใจให้คนที่ได้รับรู้ ทหารชั้นผู้น้อยที่ไม่ได้ต้องการจะฆ่าอีกฝ่าย หากแต่ถูกบังคับให้มาทำเพื่อสิ่งที่เรียกว่า “ชาติ” ดังคำของทหารเยอรมันรายหนึ่งกล่าวแก่ทหารอังกฤษ ก่อนกลับเข้าประจำที่ของตน
“วันนี้เรามีสันติภาพ พรุ่งนี้นายสู้เพื่อชาติของนาย ฉันก็สู้เพื่อชาติของฉัน โชคดีล่ะ”
4
ก่อนจบบทความนี้ ผมขอนำคลิปโฆษณาที่สร้างจากเหตุการณ์นี้มาให้ได้ชมนะครับ
1
ขอให้โลกมีสันติภาพ
โฆษณา