10 ก.พ. 2021 เวลา 10:14 • ความคิดเห็น
ความสำคัญของ “การศึกษา”
บทความนี้เป็นบทความนอกเรื่องนะครับ ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่ผมก็อยากแชร์มุมมอง ความคิดของตัวเองบ้าง
ผมมานั่งคิดว่าจะเขียนเรื่องอะไรดีที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ อยากเขียนมุมมองต่อเรื่องต่างๆ บ้าง และคิดถึงประเด็นนี้ขึ้นมาได้
เมื่อนานแล้ว เคยมีรุ่นน้องที่รู้จักคนนึง ไม่ได้สนิทกันมากครับ เป็นรุ่นน้องของเพื่อน คิดว่าจะเลิกเรียนมหาวิทยาลัย ลาออก เหตุผลคือ “เบื่อ” และคิดว่าการจะประสบความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเรียนสูง
เพื่อนๆ ผมหลายคนก็พยายามรั้งมันไว้ ผมก็แสดงความเห็นของตัวเองออกไปด้วยในเรื่องนี้ และแสดงความเห็นไว้ยาวเลย
1
ผมแสดงความเห็นกับน้องคนนี้ ผมบอกว่าเปรียบเทียบเป็นการจีบผู้หญิงซักคน ถ้าคุณเรียนไม่จบ คุณคือผู้ชายที่หน้าตาธรรมดา ฐานะธรรมดา พูดง่ายๆ คือไม่หล่อ ไม่รวย ในขณะที่คนที่เรียนจบก็คือผู้ชายที่หล่อ รวย หรืออย่างน้อยก็ต้องหล่อหรือรวยซักอย่าง
คุณคิดว่าระหว่างคุณกับคู่แข่งของคุณ ใครจะมีโอกาสได้ผู้หญิงคนนี้ไปมากกว่ากัน?
ผมไม่ได้พูดว่าผู้ชายไม่หล่อ ไม่รวย จะไม่สามารถจีบผู้หญิงสวยได้สำเร็จนะ คือโอกาสมันก็มี ไม่ใช่ 0% แต่โอกาสมันน้อยมาก และคุณก็ต้องเหนื่อย ต้องพยายามหนักกว่าคนอื่นเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นสนใจคุณ ในขณะที่คนที่หล่อ รวย มันอาจจะไม่ต้องเหนื่อยมาก อาจจะนั่งเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงเป็นฝ่ายเข้าหามันเอง โอกาสเข้ามาเองด้วยซ้ำ คืออย่างน้อยคุณก็ต้องตอบให้ได้ว่าทำไมผู้หญิงเขาต้องเลือกคุณที่หน้าตาธรรมดา ฐานะธรรมดา ทั้งๆ ที่เขาสามารถเลือกคนที่หล่อกว่า รวยกว่าได้
ก็เหมือนกับคนที่เรียนไม่จบ โอกาสจะประสบความสำเร็จมีมั้ย? ตอบเลยว่ามี แต่โอกาสน้อยและต้องเหนื่อยหนักกว่าคนอื่น
หรือถ้าคุณบอกว่าคุณจะทำธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงก็ได้ จะเป็นนายตัวเอง ผมตอบเลยว่าใช่ คุณคิดถูก ถ้าคุณเป็นนายตัวเอง คุณจะจบแค่ป.4 ก็ได้
แต่คำถามคือ “คุณมั่นใจแค่ไหนว่าธุรกิจของคุณจะประสบความสำเร็จ? กล้ารับรองมั้ยว่ามันจะไม่เจ๊งแน่นอน?”
ถ้าผมมีลูก ลูกผมมีแวว มีความสามารถทางธุรกิจ มีหัวคิดแบบคุณตัน ภาสกรนที มีความสามารถเหมือนเจฟฟ์ เบโซส ถ้ามันเก่งขนาดนั้นจริง ผมให้มันจบแค่ม.6 ก็พอ แล้วให้เงินไปก้อนนึง ไปสร้างธุรกิจของตัวเอง เพราะยังไงก็มั่นใจว่ามันประสบความสำเร็จแน่นอน รวยแน่ๆ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนเลย (ถ้ามันเก่งขนาดนั้นจริงๆ นะ)
แต่ถ้าไม่ได้เก่งขนาดนั้น ก็กลับไปเรียนให้มันจบซะ
ต่อมา สมมติว่าคำตอบของคุณคือไม่ คุณไม่กล้ารับรองว่าธุรกิจที่คุณทำมันจะประสบความสำเร็จ มันจะไม่เจ๊ง หรือคุณบอกว่าคุณไม่มีเงินทุน งั้นก็กลับมาในสเตปการหางานทำ ทำงานในองค์กรซักแห่ง
1
แต่ปัญหาคือคุณเรียนไม่จบ ใครเขาจะรับคุณ?
พอผมพูดจบ น้องคนนี้ก็เหมือนจะคิด แต่ก็ยังเถียงผมต่อ บอกว่าประเทศไทยดูแต่ปริญญา ไม่ดูที่ความสามารถจริงๆ ซึ่งผมก็ได้ตอบไปว่าเรื่องนี้ผมเห็นด้วยนะ ผมก็คิดว่าไทยดูแต่วุฒิจริงๆ แต่จริงๆ มันเป็นเรื่องธรรมดา
สมมติผมเป็นผู้บริหารองค์กรแห่งหนึ่ง คุณจบม.6 มาสมัครงานกับผม อยากได้งานในตำแหน่งบริหาร เงินเดือนดีๆ โบนัสดีๆ ที่รับเฉพาะคนจบปริญญา ผมก็มีคำถาม
“ทำไมผมต้องรับคุณ ในเมื่อผมมีตัวเลือกอื่นๆ ที่เขาเรียนสูงกว่าคุณ ตอบได้มั้ยว่าคุณมีอะไรเหนือกว่าคนพวกนั้น?”
1
ต่อให้คุณจบป.4 แต่ถ้าคุณสามารถสร้างยอดขายได้ปีละเป็นพันล้าน ทำให้บริษัทก้าวหน้าไปแบบฉุดไม่อยู่ ผมยินดีจะรับคุณโดยไม่สนวุฒิของคุณเลย เวลาเจอจะยกมือไหว้ นอบน้อมสุดๆ เลย เรียกท่านเลยก็ได้
2
แต่คำถามคือ
“คุณเก่งขนาดนั้นมั้ยล่ะ?” ถ้าไม่ ก็กลับไปเรียนซะ
ผมยังสอนน้องต่อไปอีกว่าบางทีการศึกษามันไม่ใช่แค่เรื่องงานนะ เรื่องชีวิตส่วนตัวก็มีผล
สมัยมหาวิทยาลัย ก่อนเจอแฟนคนปัจจุบัน ผมเคยคบผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งพ่อแม่ พื้นฐานครอบครัว การศึกษา ค่อนข้างด้อยกว่าผมมาก (ไม่ได้ดูถูกนะครับ พูดตามสภาพตอนนั้น)
ผมรู้สึกได้เลยว่าการพูดคุย ทัศนคติ ความเห็นต่างๆ ของเราสองคนนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เวลาที่เธอมองหรือแก้ปัญหาอะไรซักอย่างก็จะเป็นการมองแบบแคบๆ แก้ปัญหาแบบสั้นๆ ไม่ได้คำนึงถึงผลระยะยาว
ผมเคยมีโอกาสเจอพ่อแม่และญาติพี่น้องของแฟนคนนี้ ลักษณะการพูดจา เรื่องที่คุย (ส่วนมากจะเป็นเรื่องแทงหวย ซึ่งผมไม่ได้เล่นหวย ไม่รู้เรื่อง) ทัศนคติ แม้แต่ลักษณะการใช้ภาษาก็แตกต่างจากผมมาก ซึ่งผมก็อึดอัดและเคยคิดเหมือนกันว่าถ้าวันนึงแต่งงานกัน ผมจะปรับตัวเข้ากับพวกเขาได้มั้ย
1
ผมไม่ได้เหยียดหรือดูถูกนะครับ สิ่งที่พวกเขาเป็นนั้นไม่ผิด มันคือสังคมของเขา บางทีเขาเองก็อาจจะอึดอัดกับตัวผมเช่นกัน ถ้าเราได้ลงเอยกัน ทั้งตัวเขาและพ่อแม่เขาอาจจะอึดอัดกับผม กับครอบครัวผมก็เป็นได้
ต่อมา ผมเลิกกับผู้หญิงคนนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัว หลังจากนั้นผมก็ได้ลองคุยกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากแฟนเก่าผมอย่างสิ้นเชิง
เธอคนนี้เป็นลูกรัฐมนตรีคนหนึ่งในยุคนั้น (ขอไม่บอกว่าใครนะครับ) พ่อแม่การศึกษาดีทั้งคู่ สภาพแวดล้อมดีมาก พื้นฐานครอบครัวไม่ได้ต่างจากผมนัก
ผมกับเธอนั้นคุยกันรู้เรื่องและถูกคอมาก เราชอบอะไรคล้ายๆ กัน มีความเห็นในเรื่องต่างๆ ตรงกัน พูดง่ายๆ คือคุยกันรู้เรื่อง
2
ผมเคยได้มีโอกาสเจอแม่ของเธอ ก็ยอมรับว่าอดที่จะเอาไปเทียบกับแม่แฟนเก่าไม่ได้ ทั้งลักษณะการพูดจา เรื่องที่คุย อะไรหลายๆ อย่างนั้นค่อนข้างดี ผมรู้สึกว่าเหมือนกำลังคุยกับพ่อแม่ตัวเอง ไม่ได้ต่างกันเท่าไร
แต่สุดท้ายเราสองคนก็ไม่ได้ไปต่อ ซึ่งเป็นความผิดของผมเอง ไม่เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาหรือครอบครัว
ผมเลยบอกกับน้องไปว่าจะเห็นได้เลยว่าการศึกษามันสำคัญจริงๆ ไม่ต้องเรียนถึงปริญญาเอกหรอก เพราะผมก็ไม่คิดจะเรียนถึงปริญญาเอกเหมือนกัน แต่อย่างน้อยที่สุด ก็เอาให้มันจบปริญญาตรีก็พอ
สุดท้ายน้องคนนั้นยอมเลิกล้มความตั้งใจที่จะเลิกเรียน และทุกวันนี้มันก็จบปริญญาโทแล้ว และที่ผมรู้สึกดีคือ มันเคยบอกกับผมว่า
“ที่ผมเปลี่ยนใจเพราะคำพูดของพี่ พี่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน ไม่เหมือนคนอื่นที่แค่บอกว่าเรียนๆ ไปเถอะ อย่าเลิกเลย”
ผมเองก็รู้สึกดีที่ทำให้น้องคนนี้เปลี่ยนใจได้ และอย่างที่ต้องการสื่อในตอนแรกครับ การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ
โฆษณา