16 ก.พ. 2021 เวลา 01:00 • ท่องเที่ยว
From Dubai to Abu Dhabi: เที่ยวชมสถาปัตยกรรมในโลกคู่ขนาน จากดูไบถึงอาบู ดาบี
เช้าหนึ่งที่ลมทะเลพัดเอาไอเย็นเหนือผืนน้ำจากอ่าวเปอร์เซียลัดเลาะมาตามสายน้ำที่กัดกินแผ่นดินเว้าแหว่งเข้ามาโชยผ่านใบหน้าและพาให้ชายเสื้อคลุมที่สวมกันลมปลิวสะบัดเบาๆ ขณะเดินทอดน่องไปตามริมถนนเลียบลำน้ำ ผู้คนบ้างเดิน บ้างวิ่งเหยาะ บ้างจูงสุนัขออกมาเดินเล่นรับลมเย็นและอากาศสดชื่นสวนมาเป็นระยะ แรกทีเดียวนั้น ฉันคาดหวังว่าจะได้เห็นชาวอาหรับในชุดคาฟทานยาวคลุมพื้น หรือไม่ก็หญิงสาวที่ปกปิดใบหน้าด้วยฮิญาบอย่างที่พบเห็นในเมืองอาหรับมุสลิมทั่วไป แต่เปล่าเลย ซ้ายขวาหน้าหลังกลับกลายเป็นชาวตะวันตกผิวขาวผมทองในชุดออกกำลังกายทะมัดทะแมงเสียแทบจะทั้งหมด ไม่เห็นมีวี่แววของชนชาวอาหรับอย่างที่คิดไว้เลยสักคน
“ไม่ค่อยมีคนดูไบแท้ๆออกมาเดินหรอกค่ะ คนส่วนใหญ่จะเป็นต่างชาติที่มาทำงานที่นี่เสียมากกว่า” เพื่อนร่วมทริปชาวไทยที่ทำงานอยู่ในดูไบบอกมาอย่างนั้น ซึ่งน่าจะจริง เพราะตั้งแต่เดินมาก็เห็นมีแต่ชาวต่างชาติทั้งนั้น ยิ่งเราพักอยู่ในย่านท่าเช่าเรือยอร์ช (Yatch Rental Dubai) ซึ่งเป็นย่านของชาวต่างชาติด้วยแล้ว ก็แทบจะไม่เจอคนท้องถิ่นเลย เผลอๆนึกว่ากำลังเดินอยู่ที่พอร์ตแลนด์มากกว่าดูไบเสียด้วยซ้ำ
ฉันเดินคนเดียวเรื่อยเปื่อยไปบนถนนเลียบลำน้ำของ Marina Walk Water Bus Station เพื่อสำรวจบ้านเมืองในเช้าแรกที่ดูไบ ฝั่งขวาเป็นท่าเรือที่มีเรือยอร์ชน้อยใหญ่จอดเทียบท่าเรียงรายทั่วไปตามริมตลิ่ง เหมือนกำลังเข้าแถวอวดโฉมรอให้ผู้คนมาเลือกไปชื่นชม ส่วนฝั่งซ้ายเต็มไปด้วยตึกสูงแทงยอดแข่งกันขึ้นไปบนอากาศ ที่อยู่มานานก็ถูกตึกใหม่ๆหน้าตาสะสวยแซงหน้าขึ้นไป ที่กำลังลงเสาก่อสร้าง เตรียมเร่งสปีดขึ้นมาก็มีอีกไม่น้อย ดูตั้งใจจะแข่งกันทั้งด้านความสูงและหน้าตาที่สถาปนิกผู้ออกแบบแต่ละคน หมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเป็นตึกสูง ทรงสวย แปลกตากว่าใครเพื่อน ดูๆไปก็สมกับที่เป็นหนึ่งใน 7 รัฐของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates หรือ UAE) ประเทศที่มั่งคั่ง และเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
ย่านท่าเช่าเรือยอร์ช (Yatch Rental Dubai)
Dubai Day & Night
วิถีแบบตั้งเดิม ตลาดโบราณ ศูนย์การค้า และชีวิตหรูหราบนตึกสูง
หลังเดินเล่นออกกำลังชมเมืองที่เหมือนพรีวิวเล็กๆ ซื้อของในซูเปอร์มาเก็ตขึ้นมาปรุงเป็นอาหารเช้าเติมพลังเรียบร้อย เราก็พร้อมออกเดินทางไปชมเมืองดูไบกันแบบจริงจัง เรานั่งรถรางไฟฟ้าจากที่พักริมอ่าวเข้าไปในเมืองกัน ระหว่างทางผ่านตึกสูงทรงแปลกตามากมายที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ตึกที่ดูไบดูจะแปลกตากว่าตึกสูงในเมืองใหญ่อื่นๆของโลกที่เคยไปมา ถึงจะมีความทันสมัยเหมือนกัน แต่ลักษณะรูปทรงทางสถาปัตยกรรมของที่นี่ เหมือนกำลังตะโกนบอกผู้คนว่า “ดูฉันสิ นี่ไง ฉันแปลก ฉันไม่เหมือนใคร เคยเห็นอะไรแบบนี้หรือเปล่า” ด้วยลูกเล่นของการออกแบบที่เหมือนจะตั้งใจอวดกันชัดๆ ทั้งตึกที่มีรูปทรงโค้งแบบ ออร์แกนิก บางตึกบิดเป็นเกลียว บางตึกตกแต่งผนังด้านนอกด้วยรายละเอียดและวัสดุแปลกตา เหมือนคนแต่งตัวจัดที่ชอบประโคมเครื่องประดับเต็มที่อย่างที่เขาเรียกว่าพวกเศรษฐีใหม่ ซึ่งตัวเมืองเองก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น เพราะเป็นกลุ่มประเทศเกิดใหม่มีอายุไม่นานที่ร่ำรวยมาจากทรัพยากรทางธรรมชาติอย่างน้ำมัน ตึกกว่าครึ่งเมืองจะว่าสวยก็ไม่เชิง จะว่าประหลาดก็ได้
ย่านเมืองเก่าที่เดินทะลุออกมาถึง Souk
เมื่อลงจากรถไฟแล้ว เราเดินเท้าต่อลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยที่เป็นอาคารตึกแถวสูงไม่กี่ชั้น แหงนมองขึ้นไปเห็นยอดโดมแบบอาหรับดั้งเดิมอย่างที่เคยคุ้นอยู่ไม่ไกล ผิดจากตึกสูงเสียดฟ้าทันสมัยเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ย่านนี้น่าจะเป็นย่านเมืองเก่า Al Fahidi Historical District ซึ่งเป็นย่านชุมชนสำคัญที่มีอายุร่วมร้อยปีนับตั้งแต่การอพยพมาก่อตั้งเมืองดูไบเมื่อศตวรรษที่ 18 เราเดินทะลุผ่านสองข้างทางที่เป็นตึกแถวไม่นาน ก็มาถึงคาเฟ่เก๋ไก๋ Al Bait Al Qadeem แถวนี้น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ย่านในดูไบ ที่มีร้านอาหารและคาเฟ่แบบดั้งเดิมให้ได้เดินเล่นเที่ยวชมและนั่งชิลล์จิบชาอาหรับแกล้มขนมพื้นเมือง เพราะพื้นที่อื่นส่วนใหญ่ในดูไบจะเป็นตึกสูงที่อยู่ห่างกันเสียโดยมาก ทั้งระยะทางและอากาศร้อนจัดในตอนกลางวันทำให้ต้องเดินทางด้วยรถไฟและรถยนต์เท่านั้น ดูไบดูจึงจะไม่ใช่เมืองที่เหมาะกับการท่องเที่ยวแบบ cafe hopping ชิลล์ๆสักเท่าไหร่
ซุ้มประตูที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Souk
ทะลุออกมาอีกด้านของตลาดเครื่องเทศ เป็นคลองดูไบ หรือ Dubai Creek สายน้ำสำคัญที่เลื้อยตัวมาจากปากอ่าวเปอร์เซียไหลผ่านตลอดทั้งเมือง ถึงจะเรียกว่าคลอง แต่ความกว้างก็คือแม่น้ำดีๆนี่เอง เรานั่งเรือข้ามฟากไปขึ้นฝั่งเพื่อที่จะไปชม Old Souk หรือ Textile Souk ที่อยู่ตรงข้าม ซูคต่างๆจะตั้งรายล้อมรอบๆบริเวณริมฝั่งคลองดูไบนี้เอง Textile Souk หรือตลาดผ้า คล้ายๆสำเพ็งพาหุรัดบ้านเราอย่างที่บอก สินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นจำพวกผ้าทั้งเก่าและใหม่ มีพรม มีผ้าพื้นเมืองแท้บ้างไม่แท้บ้าง ซึ่งเกือบจะหลงซื้อผ้าพันคอลายมูจาฮีดีนที่แปะป้ายเมดอินไชน่ามาแล้วเชียว สินค้าอีกอย่างหนึ่งที่น่าจะปลอมแน่ๆ ก็คือพวกเครื่องประดับและกระเป๋าแบรนด์เนมต่างๆ มีพ่อค้ามายืนร้องเร่ขายชาเนล เฟนดิ หลุยส์ วิตตอง ตามทางเดินในตลาด พ่อค้าที่นี่ตื๊อเก่ง ทั้งสะกิดทั้งเดินตาม พอรู้ว่าเราเป็นคนไทยบางคนพูดสวัสดีเป็นภาษาไทยเสียด้วย ก็ต้องเฉยที่สุดเท่าที่จะเฉยได้
เรือข้ามฟากที่คลองดูไบ คล้ายๆกับเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาบ้านเรา
จากวิถีชีวิตตั้งเดิมของชุมชนเก่าที่เป็นเมืองท่าค้าขายและแลกเปลี่ยนสินค้า ผ่านเวลาล่วงเลยมาร่วมร้อยปี ดูไบในปัจจุบันยังคงสถานะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค หากแต่เปลี่ยนสภาพเป็นเมืองแห่งความเจริญของโลกยุคใหม่ ถึงแม้ว่าการคงอยู่ของตลาดแบบดั้งเดิมอย่างซูคยังช่วยดึงรั้งวิถีชีวิตเก่าๆของคนแถบนี้ไว้ได้บ้าง แต่ความเจริญทางเทคโนโลยีที่หลั่งไหลเข้ามายังเมืองท่าแห่งนี้ ก็แสดงตัวตนที่เด่นชัดผ่านตัวอาคารและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เหมือนความพยายามที่จะประกาศศักดาของ UAE ต่อชาวโลก ตึก Burj Khalifa ที่ตั้งตระหง่านแทงยอดแหลมเสียบขึ้นไปบนท้องฟ้าคือตัวอย่างที่ชัดเจน ด้วยความสูงร่วม 830 เมตรที่สร้างสถิติเป็นสถาปัตยกรรมจากน้ำมือมนุษย์ที่สูงที่สุดในโลก ตัวอาคารได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบรูปทรงมาจาก Hymehocallis ดอกไม้ทะเลทรายที่เป็นพืชพื้นเมืองของที่นี่ ฉันนั่งมองดอกไม้ทะเลทรายดอกนี้อวดโฉมตระหง่านกลางแสงจากดวงไฟและเลเซอร์ที่สาดส่องทาบทาไปบนตัวตึกจากอีกฟากหนึ่งของเมืองจนดึกก่อนที่จะอำลากันไปในค่ำคืนนี้
แสงไฟจาก Burj Khalifa ตึกสูงที่สุดในโลกยามค่ำคืน
บรั้นช์เบาๆ สำหรับเริ่มต้นเช้าวันใหม่ของเราวันรุ่งขึ้น คือที่คาเฟ่บนหาดวิทยาศาสตร์ ที่เรียกอย่างนี้ เพราะ Jumeiriah Beach คือหาดประดิษฐ์ที่เกิดจากการถมพื้นที่ออกไปในทะเลจนกลายเป็นหาดทรายขาวสะอาด มีจ๊อกกิ้งแทร็คเลียบตลอดความยาวหาด มองเห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์อยู่ไกลออกไป เบื้องหลังเป็นโรงแรมใต้น้ำ…เขาว่าอย่างนั้น ซึ่งไม่ได้เรียกร้องความสนใจใคร่รู้อะไรจากฉันมากนัก รวมใบถึง Burj Al Arab โรงแรมหรูในตึกรูปเรือใบที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งใครๆก็ฝันอยากจะมาพัก แต่เราเลือกที่จะชื่นชมห่างๆจาก Madinat Jumeirah ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตที่ใหญ่ที่สุดใน UAE และมีซูคแบบติดแอร์ที่จำลองซูคโบราณมาไว้ในตัวอาคาร แต่ข้าวของและร้านรวงภายในเป็นของสมัยใหม่เสียโดยมาก ไม่เหมือนซูคโบราณที่เราเพิ่งเดินมาเมื่อวาน
หาดสังเคราะห์ Jumeiriah Beach
เราเก็บกระเป๋าเช่ารถพร้อมคนขับพุ่งตัวออกจาก ดูไบ ทิ้งหาดวิทยาศาสตร์ไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่อาบู ดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ท่ามกลางแดดจ้าในยามบ่าย พอออกจากเขตเมืองมาได้สักพัก เราจึงจะได้เห็นทิวทัศน์ข้างทางที่เป็นทะเลทราย มีต้นอินทผลัม ไม้พื้นเมืองสำคัญของที่นี่ขึ้นเรียงรายตลอดสองข้างทาง บางช่วงผ่านถนนเลียบหาด Palm Jumeirah หาดวิทยาศาสตร์ (อีกแล้ว) ที่มองจากท้องฟ้าด้วยมุม Bird Eye View จะเห็นเป็นเกาะรูปต้นปาล์มยื่นออกไปในทะเล เรานั่งรถวนรอบเกาะผ่าน Atlantis The Palm Hotel โรงแรมหรูอีกแห่งก่อนที่จะมุ่งตรงเข้าสู่เขตเมืองอาบู ดาบี ให้ทันก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
ตึกรูปเรือใบ Burj Al Arab
Atlantis The Palm Hotel
จากตึกสูงระฟ้าในดูไบ สู่การเดินทางเพื่อสำรวจสถาปัตยกรรมเอกแห่งจิตวิญญาณและเกาะแห่งศิลปะที่อาบู ดาบี อยู่ใน EP ถัดไป ของซีรีส์การเดินทางชุด From Dubai to Abu Dhabi
*กดติดตามเพื่อไม่ให้พลาดเรื่องราวแห่งการเดินทางที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจจากเพจของเรา หรือติดตามอ่านเรื่องเต็มและเรื่องราวอื่นๆได้ที่เว็บไซต์ https://read-alive.co/category/places/
โฆษณา