17 ก.พ. 2021 เวลา 01:00 • ท่องเที่ยว
Abu Dahbi: เยี่ยมชมสถาปัตยกรรมเด่นจากสองโลกที่อาบู ดาบี
สองชั่วโมงจากดูไบถึงอาบู ดาบี หลังเข้าเช็คอินเก็บกระเป๋าแล้ว ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะเข้าชม Sheik Zayed Grand Mosque มัสยิดที่ยิ่งใหญ่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชาวซีเรีย Yusef Abdaelki อนุสรณ์สถานสำคัญเพื่อรำลึกถึง Sheik Zayed bin Sultan Al Nahyan อดีตเจ้าผู้ครองนคร (หรือที่เรียกว่า ‘เชค’) แห่งอาบู ดาบี และประมุขคนแรกของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
1
สถาปัตยกรรมแห่งจิตวิญญาณและศิลปะ การพบกันของสองอารยธรรมจากโลกเก่าและโลกใหม่
มัสยิดแห่งนี้ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่รวมเอาศาสตร์และศิลป์แห่งโลกตะวันออกและตะวันตกเข้ามาไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ทั้งตัวสถาปัตยกรรมเองที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากส่วนผสมของเปอร์เซีย จักรวรรดิโมกุล และมัสยิดแบบอเล็กซานเดรียของอียิปต์, ส่วนประกอบของวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งที่เดินทางมาจากทั่วมุมโลกทั้งจากยุโรป ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออก แอฟริกา และนิวซีแลนด์ รวมไปถึงความตั้งใจที่จะให้เป็นศูนย์กลางของความหลากหลายทางศิลปวัฒนธรรมของโลกมุสลิม และที่สำคัญคือคุณค่าทางจิตใจในด้านที่เป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณ ตามความตั้งใจของเชคซาเยดที่ได้เริ่มโครงการนี้เมื่อปี 1997 แต่พระองค์ได้สิ้นประชนม์ลงในปี 2004 ก่อนที่การก่อสร้างจะแล้วเสร็จ และเมื่อการโครงการเสร็จสมบูรณ์ มัสยิดแห่งนี้ก็กลายเป็นสุสานที่ฝังพระศพของพระองค์มาตั้งแต่ปี 2007 เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วไปและอิสลามิกชนได้เข้ามาชื่นชมและประกอบพิธีกรรมทางศาสนานับแต่นั้นเป็นต้นมา
มัสยิด Sheik Zayed Grand Mosque
ก่อนเข้าไปในพื้นที่ของมัสยิดมีการตรวจตราอย่างเข้มงวดทั้งด้านความปลอดภัยและความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกาย โดยเฉพาะสุภาพสตรีต้องสวมชุดสุภาพเรียบร้อยตามข้อกำหนดเท่านั้น เมื่อผ่านช่องประตูทางเข้าที่แยกเป็นสองฝั่งสำหรับชายและหญิง ทุกคนก็เดินมาพบกันที่ด้านในของรั้วมัสยิด ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือหมู่อาคารหินอ่อนสีขาวสว่างตา ด้านบนประกอบด้วยโดมน้อยใหญ่ มีหอคอยสูงที่เชื่อมด้วยทางเดินรอบลานคอร์ทยาร์ดตรงกลางอยู่สี่มุม หอคอยนี้เรียกว่าหออะซานหรือหอประกาศ ซึ่งเป็นหอคอยสุเหร่าที่มุอัชชิน หรือ ผู้ประกาศเวลาละหมาด ขึ้นไปประกาศเมื่อถึงเวลาละหมาดในแต่ละวัน ตัวมัสยิดล้อมรอบด้วยสระน้ำใสมองลงไปเห็นพื้นสีน้ำเงินที่ก้นสระ เงาของเสารอบอาคารสะท้อนอยู่บนผิวน้ำในมุมที่แสงตกกระทบเวลากลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนแสงไฟที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดีทำหน้าที่ช่วยสะท้อนเงาเหล่านี้ตามทิศทางข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์
ลานพิธีบริเวณคอร์ทยาร์ดกลางหมู่อาคารสามารถจุคนได้ถึง 40,000 คน ส่วนห้องละหมาดด้านในมีความจุขนาด 7,000 คน ภายในตกแต่งด้วยหินอ่อน ทองคำ หินมีค่า กระจกสี เซรามิก และแก้วคริสตัล โดยเฉพาะแชนเดอเลียขนาดยักษ์กลางโถงจากเยอรมนี ประดับประดาด้วยคริสตัลชวารอฟสกี้นับล้านเม็ด พื้นปูพรมทอเต็มพื้นที่ นับว่าเป็นพรมทอผืนใหญ่ที่สุดในโลก
รายละเอียดแสนรุ่มรวยของมหามัสยิดแห่งอาบูดาบี
หลังซึมซับบรรยากาศเข้มขลังภายใน ฉันปลีกตัวออกมาเดินชมความงามของหมู่อาคารรับลมเย็นที่พัดโชยโดยรอบ สัมผัสพลังแห่งความศรัทธาที่แสนสงบ แหงนหน้าขึ้นไปมองดูหออะซานที่ตั้งตระหง่านมีดวงอาทิตย์กลมโตสีส้มเป็นฉากหลัง ว่ากันว่าพื้นที่ในรัศมีเสียงอะซานจากมัสยิดแต่ละแห่ง เป็นเหมือนเครื่องกำหนดขอบเขตพื้นที่ของชุมชน ในอดีตใช้การตีกลองเป็นเครื่องบอกเวลา จนเมื่อเทคโนโลยีทันสมัยขึ้นจึงมีการใช้เครื่องขยายเสียงในมัสยิดหลายแห่งทั่วโลก บทบาทและความสำคัญของ มุอัชชินและหออะซานจึงลดน้อยถอยลงไป แต่ความสูงโดดเด่นของหอคอยยังคงอยู่เป็นภูมิสัญลักษณ์แสดงถึงการดำรงอยู่ของชุมชนมุสลิม
Louvre Abu Dhabi พิพิธภัณฑ์ลอยน้ำ
นอกจากมัสยิดเชคซาเยดที่ถือเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของอาบู ดาบีแล้ว อีกหนึ่งสถานที่ที่นับเป็นหมุดหมายสำคัญล่าสุดของเมือง คือ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ อาบู ดาบี (Louvre Abu Dhabi) บนเกาะ Saadiyat Cultural District เกาะที่กำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางทางศิลปะแห่งใหม่ของโลก ตัวพิพิธภัณฑ์ออกแบบโดย Jean Nouvel สถาปนิกชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมกะโปรเจ็กต์บนเกาะ Saadiyat ที่เริ่มก่อสร้างในปี 2007 ใช้เวลาก่อสร้างและดำเนินการร่วมทศวรรษจึงสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2017
Rain Of Light
หมู่อาคารโลว์ไรซ์ 55 หลัง ที่ประกอบกันเป็นพิพิธภัณฑ์ลูฟร์อาบู ดาบี ตั้งอยู่บนเกาะซึ่งเกิดจากการถมที่ยื่นออกไปในทะเล ใจกลางครอบไว้ด้วยโดมทรงกลมขนาดใหญ่ โครงสร้างของโดมเกิดจากเส้นสายรูปทรงเราขาคณิต สานกันไปมาเป็นชั้นๆ ที่อนุญาตให้แสงแดดส่องผ่านช่องเหล่านี้ลงไปภายในอาคาร เสมือนภาพจำลองของแสงที่ส่องลอดจากใบปาล์มที่ทับซ้อนไปมาในโอเอซิสกลางทะเลทราย สร้างมิติแห่งแสงและเงาเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน ตามทิศทางการโคจรของดวงอาทิตย์ โดมนี้จึงมีชื่อเรียกว่า Rain of Light หรือ สายฝนแห่งแสง ทั้งยังมีพื้นที่เปิดโล่งปล่อยให้ลมทะเลพัดผ่านเข้ามาในตัวอาคาร ได้ยินเสียงคลื่นซัดเป็นแบ็คกราวน์ด ให้สัมผัสทั้งสายตา ผิวสัมผัส และโสตประสาท
เส้นสายโมเดิร์นของพิพิธภัณฑ์ Louvre Abu Dhabi
ภายในตัวอาคารจัดแสดงผลงานศิลปะและโบราณวัตถุจากอดีตถึงปัจจุบัน ในส่วนของแกลเลอรี่ต่างๆ จำนวน 23 แกลเลอรี่ ผลงานที่จัดแสดงอยู่ในสัญญาความร่วมมือ 30 ปี ระหว่างฝรั่งเศสและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งระบุว่า ทางลูฟร์ ปารีส จะต้องให้ยืมชิ้นงานศิลปะมาจัดแสดงที่อาบู ดาบี การจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนในแต่ละปี รวมไปถึงความช่วยเหลือ ฝึกเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ และการยินยอมให้ใช้ชื่อ “ลูฟร์” แลกกับเงินจำนวน 974 ล้านยูโร ที่ทางเอมิเรตส์จ่ายเพื่อใช้เป็นทุนในกิจการของทางปารีส
ประติมากรรมบางส่วนที่จัดแสดงภายในพิพิธภัณฑ์ ที่มีภัณฑารักษ์คอยดูแลและให้ความรู้แก่ผู้มาเยี่ยมชม
เราใช้เวลาในวันสุดท้ายทั้งวันหมดไปกับการเดินชื่นชมผลงานศิลปะและสำรวจทุกซอกมุมของสถาปัตยกรรมชิ้นเอกจนเย็นย่ำ ขากลับระหว่างที่รถแล่นห่างออกจากเกาะไปเรื่อยๆ ฉันเหลียวกลับไปมองโดมยักษ์และหมู่อาคารอีกครั้ง เมืองขนาดย่อมบนเกาะกลางทะเล ที่มีแสงอาทิตย์ยามเย็นกระทบผิวน้ำพราวระยิบอยู่โดยรอบขณะนี้ คือภาพงดงามของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ที่เป็นเสมือนตัวแทนเทคโนโลยีและวิวัฒนาการสมัยใหม่ซึ่งแตกต่างจากภาพของมหามัสยิดที่เป็นตัวแทนของศรัทธาและจิตวิญญาณแห่ง อาบู ดาบี อย่างสิ้นเชิง เหมือนตั้งอยู่บนโลกคู่ขนานที่ซ้อนเหลื่อมบนพื้นที่และห้วงเวลาเดียวกัน
Travel Info
• การเดินทางไปยังดูไบ, อาบู ดาบี และรัฐอื่นๆในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ต้องใช้วีซ่ารับรอง ซึ่งนอกจากวีซ่าราชการและวีซ่าสถานทูตแล้ว สถานทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประจำประเทศไทยไม่มีบริการรับคำร้องขอวีซ่าทั่วไป ต้องขอผ่านสายการบิน โรงแรมที่พัก หรือตัวแทนที่อยู่อาศัยในกลุ่มประเทศ UAE เท่านั้น สามารถดูรายละเอียดจากเว็บไซต์สถานทูตไทย ณ กรุงอาบู ดาบีได้ที่ www.thaiembassy.org/abudhabi/
• ปัจจุบันมีสายการบินหลายสายบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-ดูไบ และ กรุงเทพฯ-อาบู ดาบี ส่วนสายการบินสัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ทั้งหมด จะมีบริการรับยื่นคำร้องขอวีซ่าด้วย และค่าบริการขอวีซ่าผ่านสายการบินเหล่านี้จะถูกกว่าการยื่นขอผ่านตัวแทนอื่น ๆ แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้บริการสายการบินของเขาเท่านั้นจึงจะสามารถใช้บริการนี้ได้ สายการบินเอมิเรตส์คือสายการบินหลัก ถ้าเดินทางโดยสายการบินเอมิเรตส์ทุกอย่างจะสะดวกรวดเร็วมาก สามารถซื้อตั๋วและยื่นขอวีซ่าออนไลน์ได้ที่ www.emirates.com/th/thai/before-you-fly/visa-passport-information/
• เวลาท้องถิ่นของอาบู ดาบี ช้ากว่าเวลาประเทศไทยประมาณ 3 ชั่วโมง
• อุณหภูมิทั้งที่ดูไบและอาบู ดาบี ช่วงกลางวันจะร้อนจัด ควรเตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันแดดติดตัวไปด้วย ส่วนในเวลากลางคืน อุณหภูมิจะเย็นกว่าบ้านเรา บางช่วงและบางพื้นที่สามารถลดต่ำลงจนหนาว อาจจะต้องมีเสื้อกันหนาวติดตัวไปด้วย ทางที่ดีควรเช็คอุณหภูมิทั้งกลางวันและกลางคืนในช่วงเวลาที่จะเดินทาง
• สกุลเงินที่ใช้ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คือ ดีแรห์ม (Dirhams) ตัวย่อสกุลเงินที่ใช้อย่างไม่เป็นทางการคือ DH หรือ Dhs. อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ดีแรห์ม เท่ากับประมาณ 10 บาท
• ถ้าอยู่ในตัวเมืองและไม่ต้องสื่อสารกับคนพื้นเมืองสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้สบายมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเมืองมาจากหลากประเทศหลายเชื้อชาติทั่วโลก
• การเดินทางภายในตัวเมืองสะดวกสบาย เน้นรถไฟเป็นหลัก สามารถซื้อตั๋วรายวันได้ มีรถไฟวิ่งผ่านจุดสำคัญๆรอบเมือง หรือจะใช้บริการรถแท็กซี่ก็ได้ การเดินเท้าไม่เหมาะกับทุกเมืองใน UAE เพราะแต่ละตึกอยู่ไกล และแดดที่ร้อนมากในเวลากลางวัน ทั้งดูไบและอาบู ดาบี ไม่ใช่เมืองที่จะมาเดินชิลล์เล่นจิบกาแฟในคาเฟ่เก๋ๆข้างทาง ส่วนใหญ่ร้านอาหารและคาเฟ่ต่างๆจะอยู่ในตึกใหญ่ๆแทบทั้งหมด ยกเว้นในย่านตลาดและเมืองเก่าที่ยังพอมีตรอกซอกซอยให้เดินลัดเลาะได้
ติดตามเรื่องราวของการเดินทางที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลได้ที่เว็บไซต์ของเรา https://read-alive.co/category/places/
โฆษณา