17 ก.พ. 2021 เวลา 14:52 • นิยาย เรื่องสั้น
เมื่อครั้งที่ผมยังอยู่ประเทศไทย เมื่อปี2020 มีอยู่คืนหนึ่งผมฝันถึงชายคนหนึ่ง ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขามีตัวตนอยู่จริงไหม แต่จำได้ว่าเขาเป็นตัวละครจาก มหากาพย์เรื่องดังของอินเดีย คือ มหาภารตะ
ใจเย็นๆนะครับ ผมไม่ได้อวดอุตริ แสดงอภินิหาร ที่ผมฝันผมฝันเห็นขาในรูปของนักแสดงที่รับบทเป็นเขาเฉยๆ คงจะดูละครมากจนเก็บไปฝันเท่านั้นเอง
นอกจากนี้อีกมูลเหตุหนึ่งคือ ผมเคยใช้ชื่อโปรไฟล์ ในเฟซบุ๊กว่า ภีษมะ ตอนนั้นหลายคนสงสัยว่าผมเปลี่ยนชื่อมาหรือเปล่า ผมก็ตอบว่าไม่ เขาก็จะถามกันต่อว่า คำนี้หมายความว่าอะไร
ผมก็เลยเล่าให้เขาฟังในสไตล์ของผม ซึ่งมีดังนี้ครับ
ภีษมะเป็นชื่อของตัวละครที่โคตรสำคัญในมหากาพย์ "มหาภารตะ" รจนาโดย ฤๅษีวยาส เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการศึกระหว่างสองตระกูลคือ ฝ่ายเการพ และ ฝ่ายปาณฑพ เนื้อหาสอดแทรกคติธรรมฮินดูไว้มากมาย ที่คนไทยหลายคนรู้จักกันดีในชื่อ
"ภควัตคีตา" ซึ่งวงคาราบาวเคยนำเนื้อหาคร่าวๆของตอนต้นสงครามทุ่งกุรุเกษตร ที่พระกฤษณะแสดงภควัตคีตาแก่อรชุน ไปทำเป็นเพลงมาแล้ว
ผมจะพุ่งไปที่ประวัติของปู่คนนี้เลยละกัน
ภีษมะ แต่เดิมคือ"เทพทยุ"เป็น1ในคณะเทพวสุ8องค์ โดยภรรยาของเขาอยากได้แม่โค"นันทินี" (ไม่แน่ใจว่าคือโคกามเทนุรึเปล่า) ของฤๅษีวสิษฐ์ จึงพากันไปขโมย แต่ถูกจับได้ จึงต้องอาญาสวรรค์ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เนื่องจากเทพทยุเป็นหัวหน้าทีม จึงต้องได้รับความทรมานแสนสาหัส ต่อมา"พระแม่คงคา"ได้รับอาสาเป็นแม่ของพวกเขา โดย พระแม่คงคาได้ขึ้นไปอภิเษกสมรสกับ "ราชาศานตนุ"แห่งกรุง"หัสตินาปุระ"โดยขอให้ท้าวศานตนุสัญญาว่าจะไม่เอ่ยถามยามสงสัยในการกระทำของพระนางมิเช่นนั้นพระนางจะจากไป
1
เมื่อพระนางตั้งครรภ์ ก็เอาโอรสไปทิ้งน้ำเพื่อที่จะให้เหล่าเทพได้พ้นเคราะห์กรรมและกลับไปอยู่บนสวรรค์อีกครั้ง พระนางตั้งครรภ์7หน ก็แอบเอาโอรสไปทิ้งน้ำทุกครั้งและ
 
ทั้งหมดนี่ก็ไม่อาจพ้นสายตาของท้าวศานตนุไปได้ แต่ด้วยกลัวว่าพระนางจะจากไปจึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ จนกระทั่งพระนางตั้งครรภ์โอรสองค์ที่8 แจ็กพอตแตกที่เทพทยุพอดี ท้าวศานตนุดันเอ่ยปากถาม พระนางจึงเปิดเผยว่าตนคือพระแม่คงคา กำลังพยายามช่วยเหลือเหล่าเทพวสุทั้งแปด แต่ท้าวศานตนุผิดคำสาบาน ตนจึงจำเป็นต้องนำบุตรคนที่แปดจากไป และจะพากลับมาส่งเมื่อถึงเวลา ระหว่างนี้ ปู่ภีษมะ ได้เรียนวิชากับ พระพฤหัสบดี(อาจารย์ของเหล่าเทวดา) ฤๅษีวสิษฐ์ และฤๅษีปรศุราม(ซึ่งเป็นพระนารายณ์อวตาร) จนวันหนึ่งพระแม่คงคาก็พาภีษมะมาส่งคืนท้าวศานตนุโดยให้ชื่อแรกว่า "เทวพรต"
เทวพรตอยู่ช่วยท้าวศานตนุมาระยะหนึ่ง ท้าวศานตนุเห็นว่าโอรสของตนนั้นเก่งทุกด้าน จึงหมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งหัสตินาปุระ แต่แหมเหมือนคงจะเป็นเพราะกรรม หรือสวรรค์แกล้ง ตอนนั้น ท้าวศานตนุดันไปรักกับบุตรสาวชาวประมงนามว่า"สัตยวดี"อยู่พอดี แต่บิดาของนางจะไม่ยินยอมให้นางแต่งงานด้วย ถ้าหากว่า บุตรของนางไม่ได้เป็นรัชทายาท ท้าวศานตนุก็มีอาการนกหวีดขึ้นหัว(ปรี๊ดแตก)เพราะใจนึงก็รักลูกอีกใจก็รักนาง เมื่อท้าวศานตนุกลัดกลุ้มจนไม่เป็นอันทำงานทำการ เทวพรตจึงไปไถ่ถาม เมื่อรู้สาเหตุจึงไปพบสัตยวดีที่หมู่บ้านชาวประมง และให้คำสาบานว่า ตนจักไม่มีวันเป็นกษัตริย์แห่งกรุงหัสตินาปุระ แต่นั่นก็ยังไม่พอ บิดาของสัตยวดีถามว่า แล้วหากท่านมีบุตรล่ะ ในอนาคตจะไม่มาระรานบุตรของนางรึ
เทวพรตด้วยความที่รักพ่อมากจึงสาบานอีกคำว่า ตนจักไม่แต่งงาน ไม่มีบุตรและภรรยา เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามของบุตรนางสัตยวดี ท้าวศานตนุพอได้ยินเข้าก็ถึงกับลมจับ แต่ลูกสาบานไปแล้ว ทำไงได้ จึงได้ให้พรว่า "ขอให้ความตายจักมาหาเจ้าได้เมื่อเจ้าปรารถนามันเท่านั้น" นอกจากนี้ ยังได้ให้ ชื่อใหม่กับเทวพรตว่า "ภีษมะ" ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด มันแปลว่า
"ผู้กล่าวคำสาบานอันเลวร้าย"
ผมเชื่อว่าหลายท่านน่าจะอยากรู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนดีๆอย่างภีษมะเนี่ยนะมีคนเกลียด มีครับ หลังจากท้าวศานตนุมีโอรสกับนางสัตยวดี คือ"จิตรางคทะ" และ "วิจิตรวีรยะ" ไม่นานหลังจากนั้นท่านก็สวรรคต จิตรางคทะ ขึ้นครองราชย์แทน แต่ดันไปตายกระทันหันในการศึกกับคนธรรพ์ ทำให้วิจิตรวีรยะ ที่ไม่ค่อยสมบูรณ์เต็มร้อยต้องขึ้นครองราชย์แทน จะเห็นได้ว่า ปู่ภีฯ ไม่ได้มีรีแอ็คชั่นใดๆกับตรงนี้เลยยังคงปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือกษัตริย์อย่างเคร่งครัด เวลาต่อมา แคว้นกาสี จัดพิธีสยุมพร(เลือกคู่)ให้เจ้าหญิงทั้งสามคือ อัมพา อัมพิกา และอัมพาลิกา(ชื่อง่ายดี) โดยที่หัสตินาปุระ ดีลกับ กาสีว่า จะต้องยกพระธิดาให้เจ้าชายหัสตินาปุระ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคราวนี้จัดพิธีสยุมพร แล้วไม่เชิญหัสตินาปุระมาร่วม
ประกอบตอนนั้น เจ้าหญิงอัมพานั้นมีคนรักอยู่แล้วคือ ท้าวศาลวะ ภีษมะจึงตัดสินใจไปชิงตัวเจ้าหญิงสามพระองค์มาให้ วิจิตรวีรยะ แต่เจ้าหญิงอัมพาบอกความจริงภีษมะว่าตนเองรักกับท้าวศาลวะ ภีษมะก็เลยให้พระนางไปหาท้าวศาลวะ แต่ท้าวศาลวะมองว่าเจ้าหญิงอัมพามีมลทินเสียแล้วจึงปฏิเสธไป เจ้าหญิงอัมพาเสียใจมากจึงไปขอให้ภีษมะแต่งงานกับตน
ภีษมะก็หน้าเสียสิครับ สาบานไว้แล้ว จึงปฏิเสธไปอีก
พระนางอับอายมากจึงกล่าวคำอาฆาตต่อภีษมะไว้แล้วไปเชิญปรศุรามมาช่วยปราบภีษมะ
ศิษย์และอาจารย์ต่อสู้กันอย่างรุนแรงมากจนเกือบทำลายโลก พระศิวะ จึงทรงลงมากล่าวห้ามปรามทั้งสองเอง
อัมพาถึงกับสติแตก แต่พระนางก็ไม่หยุดหาหนทางที่จะฆ่าภีษมะจึงได้ขอพรกับเทพบุตรสันมุข และได้พวงมาลัยมาพวงหนึ่ง ใครที่กล้านำมาคล้องคอจะได้เป็นผู้ปลิดชีพภีษมะ พระนางจึงเดินทางไปทั่วเพื่อหาคนคล้องมาลัย
แล้วทีนี้ใครมันจะกล้าล่ะ พระนางซมซานไปถึงแคว้นปัญจาละของ"ท้าวทรุปัท" ซึ่งแน่นอน ท้าวทรุปัทก็ไม่เสี่ยง พระนางจึงแขวนพวงมาลัยไว้ในแคว้นปัญจาละ จนกระทั่งได้รับพรจากพระศิวะว่าตนจะได้เป็นผู้ปลิดชีพภีษมะเองในชาติหน้า พระนางคงขี้เกียจรอชาติหน้าจึงเผาตัวตายทันที(What?!??!)
ต่อมาพระนางก็มาเกิดเป็น เจ้าหญิงศิขัณฑิน บุตรของท้าวทรุปัทเอง วันหนึ่งพระนางไปหยิบพวงมาลัยอันนั้นมาสวมและก็ระลึกชาติได้ว่าตนคือเจ้าหญิงอัมพา จึงตัดสินใจไปบำเพ็ญเพียรในป่ารอวันที่สงครามทุ่งกุรุเกษตรอุบัติขึ้น โดยระหว่างนี้ พระนางได้แลกเพศกับรากษสตนหนึ่งเพื่อให้เข้าร่วมรบได้ และเพศสภาพเดิมจะกลับคืนสู่รากษสตนนั้นเมื่อพระนางสิ้นพระชนม์
แหม หลุดไปไกลเลย กลับเรื่องปู่ภีฯต่อ ผมขอข้ามช่วงที่วิจิตรวีรยะสิ้นพระชนม์แล้วบัลลังก์ว่าง25ปีนะ หลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆมากมาย ภีษมะในวัยชราก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะตายแถมยังแข็งแรง มีฝีมือการรบไม่ต่างจากตอนหนุ่มๆ แกได้รับการเคารพจากทุกๆฝ่าย โดยทุกคนต่าเงรียกแกว่า "ปิตามะฮ์" หรือ ท่านปู่ภีษมะ
เวลาผ่านล่วงเลยจนมาถึง วันที่ยุธิษฐิระพี่คนโตของฝ่ายปาณฑพได้ขึ้นปกครองกรุงอินทรปรัสถ์ ทุรโยธน์พี่ชายคนโตของฝ่ายเการพก็ได้ให้ท้าวธฤตราษฎร์ บิดาของตนเชิญ ฝ่ายปาณฑพมาเล่นสกากับทุรโยธน์ แต่เมื่อมาถึง ก็ได้มีการสับเปลี่ยนให้ ศกุนิ เจ้ากรุงคันธาระ ที่เป็นลุงของทุรโยธน์ มาเล่นแทน
เมื่อลุงศกุนิขาเป๋ มาเล่นแทน ก็ได้มีการวางเดิมพันกัน ใครแพ้ ต้องเสียบ้านเสียเมือง จุดมุ่งหมายคือ จะเล่นสกาพนันเอาบ้านเอาเมืองกัน ยุธิษฐิระเมื่อเห็นว่าท้าวธฤตราษฎร์เป็นผู้กล่าวชักชวน จึงไม่ปฏิเสธ เมื่อมาถึงลุงศกุนิผู้ชำนาญการ(โกง)ในการเล่นสกามาก เป็นผู้เล่นแทนและชนะทุกครั้งทุกตา ทั้งนี้เป็นเพราะลูกเต๋าของลุงแกทำจากกระดูกของท้าวสุพลผู้เป็นบิดาจึงมีอำนาจในการออกแต้มตามที่ต้องการ ยุธิษฐิระตะบี้ตะบันเล่นจนเสียบ้านเสียเมือง จึงได้เอาน้องชายมาพนัน ไล่ไปเรื่อยๆ สหเทพ นกุล อรชุน ภีมะ ตามลำดับอาวุโส แล้วก็เอาตัวเองเป็นพนัน และแน่นอน แพ้ แต่ก็ยังดิ้นรนเล่นต่อไป
สุดท้ายเขาก็ใช้พระนางเทราปตี มเหสีของตนมาพนัน ซึ่งก็แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย ทุรโยธน์สั่งให้ทุหศาสันนำตัวพระนางเทราปตีมายังสภาและย่ำยีเกียรติของนางโดยบอกให้นางมานั่งตัก ภีมะทรู้สึกโกรธแค้นมากจึงลั่นคำสาบานออกมาว่าจะใช้คทาของทุบตักของทุรโยธน์ให้แหลก จากนั้นทุหศาสันดึงผ้าส่าหรีของพระนางเทราปตีออกมา ตอนนั้นเอง "วิกรรณะ"หนึ่งในพี่น้องเการพสุดที่จะทน เขาลุกขึ้นห้ามปรามทุกคน แต่พวกพี่ๆก็ไม่ฟังซ้ำยังบอกอีกว่า วิกรรณะ ไม่เคารพพี่ เขาจึงไม่กล้าขัดอีกต่อไปทุหศาสันจึงกระทำการหยาบช้าเปลื้องผ้าส่าหรีของพระนางเทราปตีออก แต่พระนางได้ขอให้พระกฤษณะช่วยไว้ พระกฤษณะจึงประทานผ้าส่าหรีให้นางไม่มีวันหมดสิ้นเพราะครั้งหนึ่งพระนางเคยช่วยพันแผลที่มือของพระกฤษณะให้ จนในที่สุดทุหศาสันก็ดึงผ้าจนหมดแรง ภีมะลั่นคำสาบานออกมาอีกว่า จะฉีกอกทุหศาสันเพื่อดื่มเลือดให้หายแค้น นอกจากนี้ภีมะยังบอกอีกว่า ตนจะเป็นคนฆ่าทุรโยธน์และพี่น้องเการพทุกคน
สุดท้ายท้าวธฤตราษฎร์ที่นั่งฟังก็ได้ห้ามปราทและก็ขอให้พระนางเทราปตีให้อภัยและแลกกับให้นางขออะไรก็ได้ นางจึงขอให้คืนทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม ท้าวธฤตราษฎร์จึงตกลง
แต่ต่อมาก็ดันมีรอบสอง ทุรโยธน์ยังให้ท้าวธฤตราษฎร์ชักชวนให้พวกปาณฑพมาเล่นสกาอีกครั้งหนึ่ง โดยผู้แพ้ต้องออกป่าเป็นเวลา 13 ปี และในปีที่ 13 ห้ามให้ใครจำได้ ถ้าใครจำได้ต้องเดินป่าอีก 13 ปี ยุธิษฐิระทราบชะตากรรมดี แต่ก็ยอมเล่นสกา ผลคือ ไอ้ลูกเต๋าโปรแกรมโกงของลุงศกุนิ มันก็ชนะอย่างไม่ต้องสงสัย
ปาณฑพจึงต้องเข้าป่าไปตามระเบียบ
แล้วถามว่า มันไปเกี่ยวอะไรกับภีษมะ
เกี่ยวสิครับ เกี่ยวอย่างแรงเลย ในตอนที่ ทุรโยธน์ และ ทุหศาสัน กำลังกระทำการหยาบช้ากับพระนางเทราปตี พวกผู้ใหญ่ในกรุงหัสตินาปุระ ไม่มีผู้ใด กล่าวห้ามปรามหลานของตนที่กำลังทำผิดอยู่เลย ถึงจะรู้ว่าไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร กลับวางเฉยกันเสียอย่างนั้น
เวลาผ่านไปจนฝ่ายปาณฑพที่หลบอยู่ที่กรุงวิราฏ ทนไม่ไหว ประกาศสงครามกับฝ่ายเการพ
ทั้งสองฝ่ายและพันธมิตร ต่างเดินทางมาที่ทุ่งกุรุเกษตร ศึกนี้ถูกเรียกขานกันว่า สงครามทุ่งกุรุเกษตร
ปู่ภีษมะขึ้นเป็นประธานเสนาบดี(แม่ทัพใหญ่)ฝ่ายเการพเพราะด้วยคำสัญญาที่จะปกป้องหัสตินาปุระ แกยึดถือหน้าที่ของตนเป็นหลัก แม้รู้ว่าตนกำลังปกป้องคนเลว
ทั้งๆที่มองเผินๆแล้วฝ่ายเการพมันคือฝ่ายอธรรมทั้งสิ้น หาผู้มีคุณธรรมได้แค่ไม่กี่คน ก่อนเริ่มสงคราม ฝ่ายปาณฑพได้มาขอขมาลาโทษกับภีษมะ โดยรู้ว่าที่ภีษมะทำไปก็ด้วยตามหน้าที่ แต่ฝ่ายของตนก็ต้องทำหน้าที่เช่นกัน ดังนั้นในสนามรบ ไม่มีคำว่าปราณี ทั้งสองฝ่ายจะต้องสู้กันให้เต็มที่ แม้รู้ว่าจะเป็นญาติของตน
ก่อนการศึก ภีษมะ ก็ได้อวยชัยให้ฝ่ายปาณฑพ
แล้วสงครามก็อุบัติขึ้น
ภีษมะ รบอย่างดุเดือดจนทหารฝ่ายปาณฑพล้มตายเป็นจำนวนมาก เดือดจนถึงขั้นที่พระกฤษณะทนไม่ไหวได้คว้าล้อรถศึกหมายจะทุ่มใส่ภีษมะ แต่ภีษมะเลือกที่จะยืดอกรับความตายนั้นอย่างเต็มใจ น่าเสียดายที่อรชุนกล่าวห้ามปรามพระกฤษณะเสียก่อนเพราะภีษมะถือเป็นปู่ของทั้งฝ่ายเการพและปาณฑพ การรบพุ่งดำเนินไปจบถึงวันที่10 ศิขัณฑินประจันหน้ากับภีษมะ พร้อมบอกว่าตนคือเจ้าหญิงอัมพา ภีษมะไม่ทำร้ายสตรี(แม้จะแลกเพศมาแล้ว)จึงเข้าแผนของอรชุนที่ได้ยิงศรจำนวนมากออกไปทั้งน้ำตา ศรเหล่านั้นปักทะลุตัวภีษมะจนลอยตกรถศึกไปปักคาอยู่กับพื้น จนภีษมะต้องนอนบนเตียงธนู กลายเป็นว่าศิขัณฑินหรืออัมพาไม่ใช่ผู้ปลิดชีพภีษมะแต่กลายเป็นอรชุนแทน
หลายๆท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้คงสงสัยว่า ภีษมะก็เป็นปู่อรชุน ทำไมต้องยิงด้วย มันคือการสงครามครับ ถ้าไม่เขี่ยปู่ภีฯออกจากกระดานมีหวังปาณฑพแพ้ยับ เพราะขนาดปรศุรามอวตารพระนารายณ์ ผู้ที่ฆ่าล้างวรรณะกษัตริย์ และเป็นอาจารย์ของภีษมะยังแทบแย่เมื่อสู้กับภีษมะ
หลายๆท่านอาจคิดว่า อืม จบละ เดี๋ยวก่อนยังไม่จบ
เชื่อไหมว่า ปู่ภีฯ ยังไม่ตายนะนั่น แกยังคงนอนอยู่บนเตียงธนูด้วยความเจ็บปวดทรมาน เท่านั้นละเหมือนกดปุ่ม Pause เพราะทั้งสองฝ่ายเข้ามาห้อมล้อมแกด้วยความอาลัยภีษมะกล่าวสอนทั้งฝ่ายก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักรบด้วยความเศร้าโศก แกเฝ้ารอดูสงคราม18วันนี้ว่ามันจะจบยังไง ท้ายที่สุดแล้วธรรมะย่อมชนะอธรรม ภีษมะได้เห็นชัยชนะของปาณฑพก็โล่งใจ จึงเรียก "ยุธิษฐิระ" พี่ชายคนโตของพวกปาณฑพมาฟังถึงธรรมะในการเป็นผู้ปกครอง ซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่าแกบอกว่าอะไรบ้าง
หลังจากพี่ยุธิษฐิระขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน หรือประมาณวันเอาหลังจากปู่แกถูกยิงจนผ่านไป58วัน ปู่ภีฯก็จากไป ตามฤกษ์ยามที่แกได้วางเอาไว้ และได้กลับขึ้นมาเป็นเทพบนสวรรค์ดังเดิม ทิ้งเรื่องราวของ ชายผู้เสียสละแทบทุกอย่างให้คนรุ่นหลังได้เล่าขานสืบไป
สรุป:ภีษมะเป็นผู้ที่เสียสละทุกสิ่งเพื่อส่วนรวม ยอมทุกอย่างแม้กระทั่งสละความสุขของตนทั้งชีวิตเพื่อบิดาคือท้าวศานตนุ ตลอดชีวิตปู่ภีฯต้องเผชิญกับความเครียด ความเศร้าโศกที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองรักค่อยๆล้มหายตายจากไปทีละคนๆ สิ่งเหล่านี้มันสะสมมากมายแต่ก็แปลกที่แกไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย ด้วยความที่แกกล่าวไว้ว่า
"หากหัสตินาปุระมิมีสิ่งใดให้กังวล เมื่อนั้นข้าก็ปรารถนาให้ชีวิตสิ้นสุดลง " แกไม่กล้าทิ้งเมืองให้หลานชายที่ไม่ดีอย่าง"ทุรโยธน์"ได้ แกจึงไม่ยอมตาย และคิดเล่นๆว่าถ้าหากฝ่ายเการพมันเกิดชนะสงครามขึ้นมา แกก็คงยังไม่ยอมตายเพื่อที่จะดูแลหัสตินาปุระต่อไป แต่เพราะฝ่ายปาณฑพชนะแกมั่นใจในตัวพี่ยุธิษฐิระว่าจะเป็น"ธรรมราช"ได้แน่นอนจึงหมดห่วง
แต่คนคนนี้ ก็ใช้ว่าจะดีไปเสียทั้งหมด ยอมแม้กระทั่งไปฉุดลูกสาวเขามาให้น้องตนเองเพื่อสร้างทายาทสืบราชวงศ์(แม้ว่าฝ่ายกาสีจะเบี้ยวดีลก็เถอะ แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นฉุด จนผู้หญิงเขาหมดค่าหมดราคา) จนสร้างศัตรูขึ้นมาให้ตนเอง
หรือ เพิกเฉย ต่อการกระทำอันเลวทรามของหลานๆเการพที่กระทำต่อพระนางเทราปตี
ตลอดจนกระทั่ง เข้าร่วมกับฝ่ายเการพ แม้จะเห็นว่าเป็นฝ่ายอธรรม ก็ด้วยเพียงคำสาบาน ที่ตนสาบานจะปกป้องหัสตินาปุระจนกว่าชีวาจะหาไม่
จนสุดท้ายก็ต้องจบชีวิตลงด้วยหน้าที่ของตน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ความตั้งใจจริงของเขาก็คือ ต้องการให้ยุธิษฐิระ ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ปกครองหัสตินาปุระ เพื่อประโยชน์ของราษฎร เพราะ ยุธิษฐิระนั้นมีความเที่ยงธรรมมาก แม้สุดท้ายกว่าจะไปถึงขั้นนั้นต้องแลกด้วยชีวิตผู้คนมากมายรวมถึงตนเองด้วย แต่เขาก็ยอม
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ปู่ภีษมะได้เสียสละทุกอย่างในชีวิต เพื่อ พ่อ หลาน และราษฎร ออกรบด้วยคำสัตย์สาบาน แม้จะเข้าร่วมฝ่านอธรรมแต่จะยอมตาย ก็ต่อเมื่อฝ่ายธรรมะชนะศึกเท่านั้น
บุคคลผู้นี้จึงเป็นที่เคารพบูชา ของชาวฮินดูหลายคนก็เนื่องจากความเสียสละและยึดมั่นในคำสัตย์
แต่นักประวัติศาสตร์บางท่านก็เชื่อว่าคนดีๆอย่างปู่ภีษมะอาจไม่มีอยู่จริง เพราะใครเลยที่จะกล้าเสียสละได้มากถึงเพียงนี้ ประกอบกับ มนุษย์เรามากมายยังคง มี ความ รัก โลภ โกรธ หลง อยู่
ผมได้แต่หวังว่า ความดีที่ปู่ภีษมะทำมันจะเป็นตัวอย่างให้ใครหลายๆคนกล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น อย่าลืมว่าเราไม่ใช่ภีษมะ เราทำดีขนาดนั้นไม่ได้ จงทำมันไปตามอัตภาพของตัวเอง และจดจำไว้เสมอว่า ถ้าเราตัดสินใจจะช่วยเหลือใครด้วยใจจริงแล้ว เราจะไม่มานั่งเสียใจภายหลัง
การกระทำของภีษมะ สะท้อนให้เราเห็นว่า แม้ตัวเราจะเป็นคนดีวิเศษวิโสเพียงใด แต่จนแล้วจนรอดก็มีคนไม่ชอบเราอยู่ดี และถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนดีเพียงไรแต่เมื่อเรายืนอยู่ข้างฝ่ายอธรรม เราก็ไม่ต่างจากอธรรมคนหนึ่ง
1
เรามองเห็นส่วนไม่ดีของเขาแล้ว เราจงนำมาคิด ว่าเราไม่ควรเพิกเฉยต่อความอยุติธรรม
และส่วนที่ดีของเขานั้นคือความเสียสละมากมายนานับประการให้ทั้ง พ่อ หลานๆ และราษฎร หากเรากระทำในส่วนที่ดีของเขาได้ แม้เพียงเสี้ยวเดียวก็พอแล้ว ขอให้ทุกท่านระลึกไว้เช่นนี้เถิด
1
หากมีข้อมูลผิดพลาดประการใดกระผมขออภัยมา ณ โอกาสนี้ครับ
1)ท้าวภีษมะ ขณะสาบานตนต่อหน้า ท้าวศานตนุ นางสัตยวดีและบิดานาง
2)ท้าวภีษมะขณะรบในศึกกุรุเกษตร วันที่9 ภาพนี้คือตอนที่พระกฤษณะฟิวส์ขาดถอดล้อรถศึกทำเป็นสุทรรศนจักรเตรียมขว้างใส่ภีษมะ แต่อรชุนห้ามไว้ทัน
3)วันที่10 ท้าวภีษมะหลังถูกยิงจนต้องนอนบนเตียงธนู
4)ท้าวภีษมะ รับบทโดย คุณ อราภ เชาว์ธารี(Arav Chowdhary) จากซีรีส์ มหาภารตะ ปี2013 ค่าย Star plus (Mahabharat)
ที่มาและเอกสารอ้างอิง
โฆษณา