Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
นักลงทุนตัวอ้วน
•
ติดตาม
6 มี.ค. 2021 เวลา 11:16 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ทำไมกราฟเทคนิคถึงใช้ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง❓
ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่ไม่ใช่สายเทคนิค อาจจะมองว่ากราฟเทคนิคเป็นเรื่องที่ดูกราฟแล้วมโนไปเอง เพราะนักวิเคราะห์กราฟเทคนิคบางคนเวลาวิเคราะห์ถูกก็จะออกมาพูดสิ่งที่ตัวเองเคยวิเคราะห์ไป แต่เวลาผิดก็หายเงียบ (ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความผิดของนักวิเคราะห์ เพราะไม่มีใครสามารถรู้อนาคตได้จริงๆ100%)
ก่อนอื่นเราต้องมาเข้าใจก่อนว่าทำไมกราฟเทคนิคถึงใช้ได้ผล❓
1
สัญญาณทางกราฟเทคนิคไม่ว่าจะเป็นจุดซื้อตาม indicator ต่างๆหรือว่า รูปแบบแท่งเทียนนั้นจะใช้ได้ผลเมื่อมีคนใช้มันเยอะๆ เช่นเมื่อหุ้นตัวหนึ่ง macd ตัดขึ้น ก็จะมีสัญญาณให้ซื้อทางกราฟ คนที่ดูกราฟก็จะซื้อตามๆกัน พอมีแรงซื้อที่มาก ก็จึงส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น
2
หรือ การที่หุ้นเบรคแนวต้านพร้อมวอลลุ่ม กราฟเทคนิคก็จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นตัวนั้นได้ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการที่ราคาหุ้นจะขึ้นไปอย่างงั้นได้จนทะลุแนวต้าน แปลว่าต้องมีรายใหญ่ (เจ้ามือ) ที่มีเงินมากๆทำการเคาะขวาซื้อในปริมาณที่มาก ซึ่งจะสะท้อนพฤติกรรมดังกล่าวออกมาใน volumeที่มากของวันนั้น และรูปแบบแท่งเทียน
4
เช่นถ้าเป็นแท่งเขียวเต็มแท่งในวันที่เบรคแนวต้าน ก็หมายความว่าเจ้ามือที่ทำการลากหุ้นยังไม่ได้เทขายหุ้นออก แต่ถ้าเบรคเขียวเต็มแท่งระหว่างวันแล้วปิดวันดันมีแรงขายจนกลายเป็นไส้เทียนก็แปลว่าตอนสุดท้ายมีแรงขายออกมาในวันนั้นในปริมาณที่มาก ซึ่งอาจเป็นเจ้ามือที่ลากขึ้นมา หรือ เป็นเจ้ามือคนอื่นก็ได้ (เพราะหุ้น 1 ตัวก็มีเจ้ามือได้หลายคน)
2
โดยเมื่อราคาเบรคแนวต้านพร้อมวอลลุ่มจากการซื้อของรายใหญ่ ก็จะส่งผลให้สายกราฟเทคนิคซื้อตามๆกันเนื่องจากมีสัญญาณซื้อทางกราฟ ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก
ตัวอย่างกราฟที่เบรคแนวต้านพร้อมวอลลุ่ม
โดย LH ย่อมาจาก Lower High คือยอดของคลื่นแต่ละคลื่นต่ำลงเรื่อยๆ และ LL ย่อมาจาก Lower Low คือจุดต่ำสุดแต่ละคลื่นต่ำลงเรื่อยๆ ส่วน HL ย่อมาจาก Higher Low คือจุดต่ำสุดของคลื่นใหม่ยกสูงขึ้นกว่าคลื่นเดิม และ HH ย่อมาจาก Higher High คือจุดสูงสุดของคลื่นใหม่ยกสูงกว่ายอดคลื่นเดิม โดยเมื่อราคาเบรค LH ได้พร้อมวอลลุ่มมักจะเป็นจุดกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นตามภาพ
1
เช่นเดียวกันกับตอนมีสัญญาณขายทางกราฟเทคนิค ซึ่งการเกิดสัญญาณขายเช่นหุ้นหลุดแนวรับ การที่หุ้นจะหลุดแนวรับได้ก็ต้อวเกิดจากคนที่มีหุ้นมากๆ (รายใหญ่หรือเจ้ามือ) เทขายออกมา (ทำการโยนซ้าย) เมื่อเจ้ามือเทขายในปริมาณที่มากมันก็จะสะท้อนพฤติกรรมดังกล่าวออกมาในกราฟ ทำให้สายกราฟเทคนิคที่เห็นเทขายตามๆกัน ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงต่อ
แล้วทำไมกราฟเทคนิคถึงใช้ไม่ได้ผลในบางครั้ง ❓
1
เพราะอย่าลืมว่าเจ้ามือหลายๆคนก็ดูกราฟเป็นครับ สมมุติถ้าผมเป็นเจ้ามือและผมมีหุ้นในมือปริมาณมากๆ(แค่สมมุติเพื่อให้เห็นภาพนะครับ)ถ้าผมขายทั้งหมด จะส่งผลให้ราคาหุ้นตกหนัก เพราะไม่มีคนรอซื้อที่มากพอกับจำนวนหุ้นที่ผมจะขาย ผมจึงทำการลากหุ้นให้ทะลุแนวต้านก่อนอีกรอบ เพื่อให้มีแรงซื้อจากสายเทคนิคตามมมา แล้วผมจะได้ขายหุ้นโดยที่มีแรงซื้อจากสายกราฟรองรับอยู่ทำให้ผมได้ขายในราคาที่ดีกว่าการโยนขายปกติ ซึ่งพฤติกรรมของเจ้ามือเช่นนี้ส่งผลให้สะท้อนออกมาในรูปแบบ false break (เบรคหลอก)ที่เราคุ้นเคยกัน
1
ตัวอย่างหุ้นที่ False Break
เช่นเดียวกับ ตอนที่หุ้นหลุดแนวรับแล้วเด้งใส่หน้า สมมุติถ้าผมเป็นเจ้ามือและผมมีเงินเยอะๆๆ(แค่สมมุตินะครับเพราะเงินผมตอนนี้เคาะขวาช่องหนึ่งยังเคลียไม่หมดเลย) แล้วผมอยากซื้อหุ้น A แต่ถ้าผมนำเงินทั้งหมดไปซื้อทันที จะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างสูงเนื่องจากไม่มีแรงขายที่จะรองรับแรงซื้อของผมมากพอ ส่งผลให้ต้นทุนเฉลี่ยที่ผมได้มีราคาสูง เพราะฉะนั้นผมจึงทุบหุ้นให้หลุดแนวรับก่อน เพื่อให้สายเทคนิคที่ดูกราฟเห็นสัญญาณขายและทำการขายตามๆกันส่งผลให้มีแรงขายที่มาก ผมจึงสามารถซื้อหุ้นที่มีคนเทขายได้ในราคาไม่สูงเท่าการซื้อปกติ
1
ตัวอย่างหุ้นที่หลุดแนวรับแล้วเด้งใส่หน้า
โดยเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า การลากหุ้นครั้งไหนที่เบรคแนวต้านจะเป็นการลากขึ้นไปจริงๆ หรือลากหลอกเพื่อปล่อยของของเจ้ามือ เราจึงควรตั้งจุด stop loss ทุกครั้ง
แต่ผมเชื่อว่า สุดท้ายเจ้ามือที่แท้จริงคือผลประกอบการของกิจการในระยะยาวเท่านั้น หากกิจการมีกำไรที่ดี เติบโตอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่ารายใหญ่จะทุบลากยังไง ซักวันราคาหุ้นก็ต้องสะท้อนตัวมูลค่าของกิจการจริงๆจากกำไรที่กิจการทำได้ และหุ้นที่มีพื้นฐานไม่ดีแต่มีสัญญาณทรงกราฟให้ซื้อ มันอาจขึ้นไปได้จากการลากหุ้นของรายใหญ่ และการซื้อตามๆกันของสายกราฟเทคนิค แต่หากกิจการยังมีผลประกอบการที่แย่ในระยะยาวหลายปี ซักวันราคาหุ้นก็จะโดนเทลงมาอย่างแน่นอน
1
ให้ผมอธิบายให้เห็นภาพง่ายๆ สมมุติถ้าหุ้นเหมือนกระเป๋าแบรนด์เนม การวิเคราะห์พื้นฐานคือการดูว่ากระเป๋าใบนั้นมีวัสดุดีไหม ราคาจริงๆจากวัสดุที่ทำควรมีมูลค่าเท่าไหร่ และ ถ้าเราประเมินมาแล้วมันมีมูลค่าที่ควรจะเป็นต่ำกว่าที่ซื้อขายในตลาด แปลว่ามัน under value แต่มันก็อาจจะ under ไปตลอดก็ได้เพราะของถูกที่ไม่มีคนสนใจมันก็มีเยอะ แต่ถ้ามันยังใช้งานได้ดีในระยะยาว วัสดุยังดี ราคายังถูกเมื่อเทียบกับวัสดุที่นำมาทำ ซักวันคนก็จะหันมาสนใจและราคามันก็จะปรับตัวขึ้นเอง แค่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนที่จะมีคนมาสนใจ
2
แต่สายกราฟเทคนิคอาจจะไม่ได้สนใจมากนักว่าราคากระเป๋าแบรนด์เนมใบนั้นถูกหรือแพง รู้แค่มีคนสนใจเยอะ กำลังเป็นกระแสนิยม มีโอกาสราคาขึ้นสูงต่อได้ง่ายและรวดเร็ว (คล้ายๆเบรคพร้อมวอลลุ่ม) ก็จึงทำการซื้อเก็งกำไรจากจังหวะและโอกาสที่เห็น
4
โดยสรุปแล้วในมุมมองของผมไม่ว่าจะสายพื้นฐานหรือสายเทคนิคก็มีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง ไม่มีวิธีไหนที่จะสามารถทำกำไรได้ 100% หุ้นพื้นฐานดีราคาตกก็มีให้เห็นอยู่เต็มไปหมด หุ้นกราฟสวยเบรคพร้อมวอลลุ่มแต่สุดท้ายโดนเทปล่อยเป็นซากอารยะที่ยอดภูเขาสูงก็มีให้เห็นถมไป
2
เพราะฉะนั้นเพื่อนๆจึงควรเลือกวิธีที่ตัวเองใช้แล้วสบายใจ รู้ข้อดี ข้อเสีย ของวิธีที่ตัวเองใช้ เพื่อที่จะวางแผนแก้ไขได้ถูกจุดหากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นไม่เป็นอย่างที่เราคิดในตอนแรก
1
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่เข้ามาอ่าน ฝากกดติดตามและแชร์บทความเพื่อเป็นกำลังใจให้ทางเพจด้วยนะครับ
เขียนบทความโดย นักลงทุนตัวอ้วน
23 บันทึก
32
7
17
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
คำแนะนำการลงทุนโดยนักลงทุนตัวอ้วน
23
32
7
17
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย