24 มี.ค. 2021 เวลา 11:53 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อบ้านไม่ใช่บ้านอีกต่อไป (Reverse Culture Shock) Episode 1
2
หายไปนานเลยทีเดียว ตอนนี้นีน่ากลับมาอีกแล้วกับอีกหนึ่งบทความที่น่าสนใจมากกกกกในความคิดของนีน่า 😊 นั่นก็คือหัวข้อ Reverse Culture Shock … ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่ามันคืออะไรและแปลว่าอะไร
“Reverse Culture Shock” is the term used to described the feelings (of surprise, disorientation, confusion, etc.) experienced when people return to their home country and find they do not fit in as they used to. ถ้าเอาภาษาไทยตามคำนิยามขอกระทรวงการต่างประเทศ คืออาการที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เราใช้เวลาอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความคุ้นชิน จนกลายเป็นปัญหาเมื่อต้องกลับมาอยู่ในวัฒนธรรมเดิม ซึ่งจะส่งผลต่ออารมณ์และกิจวัตรประจำวันที่เคยเป็น … เอาง่ายๆคือ “อาการช็อก เครียด วิตกกังวลเพราะรู้สึกแปลกแยกหรือไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรม สถานที่ หรือผู้คนในประเทศตัวเองหลังจากไปใช้ชีวิตในต่างแดนมาเป็นระยะเวลานาน”
ตอนไปอเมริกาก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับประเทศเขา ไม่นึกเลยว่าจะมี culture shock หรือต้องทำการปรับตัวอีกครั้งตอนที่กลับประเทศไทยที่เป็นบ้านเกิดของตัวเอง …
ตอนนีน่ากลับมาจากอเมริกาใหม่ๆ ช่วงแรกๆก็รู้สึกถึงความสับสนและขัดแย้งในความคิดและการกระทำอยู่หลายอย่างเหมือนกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านีน่าก็ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยอีกครั้งหลังจากที่เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอื่นมาหลายปี ทั้งๆที่ประเทศไทยเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเรา ทำให้รู้เลยว่ามนุษย์มีศักยภาพสูงในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมอยู่ตลอดเวลาเพื่อความอยู่รอด นั่นทำให้มนุษย์มีการเรียนรู้และวิวัฒนาการ (evolving) อยู่ตลอดเวลา มนุษย์เราเดินทางมาไกลมากเป็นหลายหมื่นหลายพันปี และมนุษย์ก็ยังต้องมีการเรียนรู้และวิวัฒนาการ (evolving) ต่อไปอีกเป็นหมื่นเป็นพันปีในอนาคตข้างหน้า …
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรื่องง่ายๆก่อนเลย คือ ‘การแต่งตัว’ ตอนอยู่ที่อเมริการ การแต่งตัวจะค่อยข้างสบายๆไม่เป็นทางการ (informal) คนส่วนใหญ่จะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบเป็นหลัก ถ้าอยู่ในเมืองหนาวก็จะมีเสื้อ jacket คลุม (อย่าดูแค่ดารา Hollywood ที่เราเห็นแต่ใน TV หรือเฉพาะคนในเมืองใหญ่ๆนะ ประเทศอเมริกากว้างใหญ่นัก คนปกติส่วนใหญ่ในประเทศจะแต่งตัวง่ายๆกัน) แต่ที่ประเทศไทย พวก jacket พวกนี้นี่ลืมไปเลยเพราะอากาศร้อนมาก (เวลาเห็นดาราหรือเด็กวัยรุ่นใส่เสื้อ jacket หนาๆกัน ก็มีงงเหมือนกันว่าเมืองไทยหนาวขนาดนั้นเลยเหรอ … 😉)
คนไทยที่มีอายุมากขึ้นหรือเป็นวัยกลางคนก็ต้องเปลี่ยนการแต่งตัวให้ดูภูมิฐานขึ้น (เด็กๆคงไม่ต้องพูดถึงเพราะแต่งตัวสบายๆอยู่แล้ว) เพราะที่ประเทศไทยการแต่งตัวบอกถึงสถานะทางสังคมด้วย ถ้ามีอายุแบบ 40 หรือ 50 ปีอัพแล้วยังใส่ขาสั้นเสื้อยืด ถุงเท้าหนาๆและรองเท้าผ้าใบไปเดินห้างก็คงดูตลกและดูกระจอก นีน่าก็ค่อยๆเริ่มซื้อเสื้อผ้าใหม่และเปลี่ยนลุคจนตอนนี้ก็ถือได้ว่ากลับมาแต่งตัวเหมือนคนไทยทั่วไปแล้ว
ซึ่งเอาจริงๆคนไทยโดยเฉพาะคนในกรุงเทพโดยภาพรวมแต่งตัวดีกว่าคนอเมริกัน โดยเฉพาะผู้หญิงกลางคนขึ้นไปเพราะมีการไปทำผม แต่งหน้า แต่งตัวใส่ชุดสวยๆได้ตลอดเวลา ที่เป็นอย่างนี้เพราะอากาศที่ร้อนกว่าและค่าครองชีพที่ถูกกว่า คนอเมริกันเขาไม่มีการไปสระเซ็ทผมทุกอาทิตย์เหมือนคนไทยเพราะแพง นีน่าเคยไปตัดผม แพงมากแล้วพอตัดเสร็จเขาก็ปล่อยให้ผมเราเปียกๆออกไปเลยโดยไม่มีการเป่าและเซ็ทให้สวยก่อนออกจากร้าน เพื่อนอเมริกันของนีน่าก็ต้องทำผมแต่งหน้าเองเวลาที่ต้องไปงานที่เป็นทางการต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งาน party ของบริษัท เป็นต้น
เรื่อง ‘ระยะห่างระหว่างบุคคล (personal space or comfort zone)’ ก็ต้องปรับตัวด้วยเหมือนกัน ทุกวัฒนธรรมก็จะมีระยะห่างระหว่างบุคคลที่ไม่เท่ากัน comfort zone คือ พื้นที่หรือระยะห่างที่แต่ละคนจะรู้สึกสบายใจหรือไม่รู้สึกอึดอัด เป็นระยะที่ไม่ต้องการให้คนอื่นเข้ามาในพื้นที่นั้นๆ แต่ละวัฒนธรรมก็จะไม่เท่ากัน
1
My 'personal' space or comfort zone
พอกลับมาที่ประเทศไทยรู้สึกตัวว่าต้องคอยเขยิบตัวออกจากคนอื่นตลอดเวลา คนไทยจะมีความน่ารักและชอบเข้ามาใกล้ชิดคนอื่นมากๆหรือเข้ามาสัมผัสตัว ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนๆกันนี่ก็จะคล้องแขน คล้องไหล่ จับมือเดินกัน เรื่องจับมือนี่ต้องบอกว่าเขินมากและรู้สึกกระอักกระอ่วนพอควรเลยทีเดียว ก็ต้องปรับตัวกันไป แต่จนแล้วจนรอด นีน่ากลับมาหลายปีมากๆแล้ว แต่เรื่อง personal space นี่ก็ยังต้องขอความห่างมากกว่าปกติของคนไทยอยู่
Give me some space please ...
พอกลับมาที่ประเทศไทยรู้สึกตัวว่าต้องคอยเขยิบตัวออกจากคนอื่นตลอดเวลา คนไทยจะมีความน่ารักและชอบเข้ามาใกล้ชิดคนอื่นมากๆหรือเข้ามาสัมผัสตัว ยิ่งถ้าเป็นเพื่อนๆกันนี่ก็จะคล้องแขน คล้องไหล่ จับมือเดินกัน เรื่องจับมือนี่ต้องบอกว่าเขินมากและรู้สึกกระอักกระอ่วนพอควรเลยทีเดียว ก็ต้องปรับตัวกันไป แต่จนแล้วจนรอด นีน่ากลับมาหลายปีมากๆแล้ว แต่เรื่อง personal space นี่ก็ยังต้องขอความห่างมากกว่าปกติของคนไทยอยู่
แหม กำลังเพลินเลย แต่นีน่าขอพักไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า จะได้มี episode ต่อไป ... 😉 จริงๆไม่อยากให้บทความยาวไป อย่าลืมกด Like กด Share และติดตามบทความต่อไปของนีน่าด้วยนะคะ
เข้าใจว่าหลายๆคนก็คงมีประสบการณ์คล้ายๆนีน่า อยากให้ช่วยแชร์นะคะว่าเจออะไรกันมาบ้างและต้องปรับตัวกันอย่างไรเวลากลับมาที่เมืองไทย จะได้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวเหมือนนีน่าเจออยู่คนเดียว หรือเห็นด้วยไม่เห็นด้วยตรงไหน comment มาคุยกันได้เลยคะ
Until next time ... 😉
สนใจอ่านบทความก่อนหน้านี้ กดที่ links ข้างล่างนี้เลยคะ
1. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 1 https://www.blockdit.com/articles/5d7ca38eb352790fa6a95472
2. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 2 https://www.blockdit.com/articles/5d7f3aa9494e230e3f4a669c
3. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 3
4. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 1 https://www.blockdit.com/articles/5d8c419a4b1ade063b4555ed
5. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 2 https://www.blockdit.com/articles/5da5a63df5f84f5ec19f625a
6. คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Ep. 1
7. คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Ep. 2
8. CoVID 19 กับความคิดของคนอเมริกัน
9. การเหยียดสีผิวในอเมริกา (Racism in America)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา