4 เม.ย. 2021 เวลา 10:05 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อบ้านไม่ใช่บ้านอีกต่อไป (Reverse Culture Shock) Ep. 2
มาต่อจากบทความที่แล้วกันเถอะ ใครยังไม่ได้อ่าน Ep. 1 อย่าลืมไปอ่านก่อนนะ จะได้ต่อติด 😊
‘การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (Interpersonal Skills)’ ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา นีน่าต้องปรับตัวเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหลายอย่างเลย อย่างแรกเลยคือรู้สึกไม่ค่อยกลัวคน ก่อนไปอเมริกานีน่าก็อายุประมาณ 20 ต้นๆ จำได้ว่ายังมีความกลัวคนอยู่ ประมาณขี้อาย ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยบอกว่าตัวเองต้องการอะไร โดยเฉพาะเวลาต้องคุยกับผู้ใหญ่ที่มีความเห็นไม่เหมือนกันหรือต้องเถียงหน่อย นีน่าก็จะเลือกที่จะเป็นฝ่ายเงียบไปมากกว่า หรือการปฏิสัมพันธ์ทั่วๆไปก็จะไม่ค่อยก้าวร้าว ไม่ชอบการเผชิญหน้าหรือการทะเลาะเบาะแว้ง นี่คือลักษณะนิสัยคนไทยส่วนใหญ่เลย แต่พอไปอเมริการนีน่าต้องต่อสู้กับการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น อยากได้อะไรต้องต่อสู้ ต้องพูด จะมัวมานั่งเก็บคำ คิดอยู่ในใจก็ไม่มีใครใส่พานมาให้เรา คนไทยใจดี แต่ที่อเมริกาเขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ คนอเมริกันจะมองว่าการเถียงกันเป็นเรื่องธรรมดาในการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร ทุกคนมีอิสระที่จะพูดหรือแชร์ความคิดอ่านและมุมมองของตัวเอง ในขณะที่ประเทศไทยจะพยายามหลีกเลี่ยงถ้าทำได้ และจะมีเรื่องของความอาวุโส (seniority) เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กลับมาแล้วนีน่าอาจจะดูเป็นคนก้าวร้าวในบางขณะ ก็ต้องค่อยๆลดดีกรีความก้าวร้าวตรงนี้ลงบ้าง
การที่เราก้าวร้าวหรือมีความกล้าแสดงออกมากไป แน่นอนว่าเรามีโอกาสที่จะได้สิ่งที่เราต้องการ แต่เราอาจจะเสียความสัมพันธ์กับผู้อื่นไป …
อย่างที่เอ่ยไปข้างต้น ความคิดเปลี่ยน ทำให้ ‘วิธีการทำงาน’ ของเราก็เปลี่ยนไปด้วย นีน่าเคยทำงานช่วงสั้นๆก่อนไปเรียนต่อที่อเมริกา ในการทำงานจะมีเรื่อง seniority ค่อนข้างสูง จะพูดกับผู้ใหญ่ที ก็ต้องให้ความเคารพอย่างมาก ไม่ควรเถียงผู้ใหญ่หรือยืนกรานในความคิดของตัวเองเกินไปจนดูเป็นคนก้าวร้าวไม่ให้ความเคารพ หรือในบางครั้งแค่การแชร์ความคิดของตัวเองในที่ประชุมในเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ยังถูกจำกัดด้วย แต่พอกลับมาจากอเมริกา งานแรกที่นีน่าได้ทำคือการเป็นผู้จัดการที่ต้องดูแลลูกน้องประมาณ 50-60 คน ก็จะมีคนที่อาวุโสและอ่อนกว่านีน่า นีน่าเห็นแล้วก็ shock เวลาลูกน้องที่มีอายุมากกว่านีน่ามากเดินผ่านนีน่าตรงโถงทางเดิน ก็จะก้มหัวตัวลีบเดินติดกำแพงไป หรือการที่ลูกน้องไม่ยอมไปกินข้าวกลางวันกับผู้จัดการ (ลูกน้องบอกเพราะตอนกินข้าวก็ mouth ผู้จัดการไง) หรือการไม่ออกไอเดียเวลาถูกถาม และอื่นๆ นี่คือสิ่งที่นีน่าเคยเจอมาทั้งนั้นก่อนไปอเมริกา และเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี ทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง นีน่าก็ต้องใช้เวลา การพูดคุย coaching และการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง กว่าที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน อย่างน้อยก็ในแผนกของนีน่าให้เป็นการทำงานที่เปิดกว้าง ให้โอกาสและทุกคนมีความสำคัญและสามารถแสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้งกันได้ด้วยเหตุผล โดยที่ไม่ต้องมีเรื่อง seniority มากจนเกินไป
‘การมองตาเวลาพูด หรือ eye contact’ ก็ต้องปรับตัวนะ เวลาคุยกับคนอเมริกันเขาจะชอบคนมองตาตรงๆ ไม่หลบตาหรือทำตาลอกแลกหลุกหลิกไปมา เพราะจะถือว่าเป็นคนไม่น่าไว้ใจ นีน่าทำงานเป็น Sales ต้องเจอลูกค้าเยอะ เรื่องนี้เขาสอนเลยว่าเวลาจับมือต้องจับให้ firm พอประมาณ ไม่แน่นหรือหลวมไป และสบตาตรงๆ เวลา present งานเพื่อขายของก็ต้องมองหรือสบตาตรงๆ ห้ามหลบตาโดยเด็ดขาด แต่พอกลับมาที่ประเทศไทยนี่ พอมองตาตรงๆนานๆ ถือว่าไม่ให้ความเคารพ โดยเฉพาะถ้ากำลังเถียงกันอยู่ก็อาจจะดูว่ากำลังท้าทาย หรือต้องการหาเรื่องอยู่หรือเปล่า หรือผู้หญิงก็ไม่ควรมองตาผู้ชายตรงๆนานๆเกินไปก็จะดูไม่เหมาะสม (พูดถึงตรงนี้แล้วรู้สึกตัวเองแก่ขึ้นมาเลย … แหะแหะ)
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือความเป็นสุภาพบุรุษของคนอเมริกันกับคนไทยจะไม่เหมือนกัน ในการเข้าสังคมทั่วๆไป ผู้ชายอเมริกันจะเปิดประตูให้ผู้หญิงเข้าก่อน นีน่าเจอแบบนี้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเวลาทำงานหรือนอกเวลาทำงาน เช่น ไปซื้อของที่ supermarket ถึงแม้จะเป็นเจ้านายหรือมีอาวุโสกว่า ถ้าเป็นผู้ชายเขาจะเปิดประตูให้เราที่เป็นผู้หญิงเสมอ จำได้ว่าตอนกลับมาที่ประเทศไทยแล้ว มีลูกค้าผู้ชายที่เป็นคนอเมริกันมาที่ทำงาน ลูกน้องของนีน่าที่เป็นผู้หญิงจะรีบเดินไปเปิดประตูให้ตลอด เขาก็ทำหน้างงๆและพยายามจะรีบเดินไปเปิดประตูให้เหมือนกัน ซึ่งลูกน้องนีน่าก็จะอายและจะกล่าวขอบคุณหลายครั้งมากจนดูเยอะเกินไป ผู้ชายไทยจะช่วยถือของมากกว่า แต่คนอเมริกันผู้หญิงจะค่อนข้าง independent สามารถถือของและช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง โดยจะไม่คิดหรือรอให้ผู้ชายมาช่วยถือให้ โดยเฉพาะเรื่องการถือกระเป๋าให้ผู้หญิง ผู้ชายไทยจะมีบางคนที่จะถือกระเป๋าสะพายของผู้หญิงให้ ซึ่งในอเมริกาเขาจะไม่ทำเพราะจะถือว่าไม่ man หรือไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องทำเพื่อแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เขาจะทำอย่างอื่นแทน
‘ความคิดอ่าน (mindset and attitude)’ ของนีน่าก็เปลี่ยนไป แต่ก่อนเนื่องจากเป็นน้องคนที่สามเลยไม่ต้องคิดไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก ก่อนไปอเมริกายังทำอาหาร ซื้อของมาทำกับข้าวยังไม่เป็นเลย ที่ผ่านมาก็เรียนหนังสืออย่างเดียว แต่พอเราต้องไปอยู่ที่อเมริกาโดยไม่มีพ่อแม่ พี่น้อง (นีน่าอยู่กับพี่สาวในช่วง 2 ปีแรก) ก็ต้องรู้จักการรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ไม่ทำอาหารก็ไม่มีข้าวกิน ต้องทำความสะอาด จ่ายค่าน้ำค่าไฟ และต่อมาหลังเรียนจบ นีน่าก็ไม่ขอเงินที่บ้านอีกเพราะอยากรับผิดชอบตัวเอง ก็ทำงานหาเงิน มีความรับผิดชอบ โตขึ้น เรียนรู้ที่จะวางแผนการใช้เงินต่างๆและดูแลชีวิตของตัวเองทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวทั้งหมด จำได้ว่าคุณพ่อคุณแม่มาเยี่ยมอยู่กับนีน่าประมาณ 1 เดือน นีน่าก็ดูแลทุกอย่าง เป็น Sales ก็ออกไปหาลูกค้า ก่อนออกไปก็ทำข้าวเช้าให้พ่อแม่เรียบร้อย ช่วงเที่ยงก็กลับมาดูแลเรื่องข้าวเที่ยง ล้างจานดูแลทำความสะอาด ดูแลเรื่องการกินอยู่ทั้งหมด หรือการขับรถพาเที่ยวที่ต่างๆ พ่อกับแม่ภูมิใจมากบอกว่าถ้ารู้อย่างนี้ส่งมาอเมริกาตั้งนานแล้ว 😊
ประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้นีน่าโตขึ้นและเรียนรู้ที่จะพึ่งตัวเองมากขึ้น ในแง่ของความคิดก็เปลี่ยนไป นีน่าไม่คิดในเรื่องการใช้เงินพ่อแม่อีกเลย คนไทยชอบชมคนอื่นว่าคนนี้พ่อแม่เขารวยมากเลยนะ แล้วไง พ่อแม่รวยไม่รวยก็เรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับเรา สิ่งที่ท่านหามาได้ก็เป็นเรื่องของท่านที่ท่านจะใช้เงินอย่างไร ความสำเร็จหรือความร่ำรวยของพ่อแม่ไม่ใช่ความสำเร็จหรือความร่ำรวยของเรา เราไม่ควรภูมิใจหรือเอามาโอ้อวด เราควรจะสร้าง legacy หรือตำนานของตัวเรา และนั่นแหล่ะคือความภูมิใจที่แท้จริงของตัวเราเอง ก่อนเรียนรู้ประสบการณ์นี้ เวลานีน่าอ่านเจอว่าพ่อแม่คนดัง (เช่น Sean Connery, เฉินหลง, etc.) ที่รวยมากๆไม่เขียนพินัยกรรมยกเงินให้ลูกๆของตัวเอง นีน่าก็ไม่เข้าใจว่าทำอย่างนั้นได้อย่างไร แต่ตอนนี้ก็มีความเข้าใจมากขึ้นและจะไม่ไปวิจารณ์อะไร ซึ่งก็จะแตกต่างจากเพื่อนคนไทยของนีน่าที่ยังไม่เข้าใจในจุดนี้ ซึ่งเราก็ไม่ว่ากัน …
โดยรวม นีน่าจะมีความ independent มากขึ้น คือ สามารถไปกินข้าว ดูหนัง ไปเดินห้างคนเดียว (ซึ่งเมื่อก่อนทำไม่ได้ ไม่รู้กลัวอะไร) หรือสามารถยืนยันความคิดของเราที่ไม่ต้องเหมือนใคร โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดันที่ต้องทำหรือคิดตามใคร และในขณะเดียวกันก็จะไม่ไปบังคับให้คนอื่นต้องคิดเหมือนตัวเราด้วย …
อีกเรื่องที่เราเปลี่ยนความคิดคือความเสมอภาคของคนทุกคน ก่อนไปอเมริกานีน่ายอมรับว่าเป็นคนมี class … แปลว่าอะไร แปลว่านีน่าเคยดูคนอื่นโดยการแบ่ง class หรือแบ่งชนชั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน เช่น คนต่างจังหวัด เราเป็นคนกรุงมีความทันสมัยกว่า หรือมีคนงานที่บ้านก็จะไม่ใด้ให้ความสนิทสนม หรือการไม่แชร์ของกินหรือของใช้ร่วมกับเขา เรียกคนงานที่บ้านโดยไม่ได้ดูว่าเขาอาวุโสกว่าหรือเปล่า แต่ตอนนี้มุมมองของนีน่าเปลี่ยนไป มองว่าทุกคนเป็นคนเท่ากัน แค่มีหน้าที่ มี background มีต้นทุนทางสังคม มีการศึกษา มีการอบรม มีโอกาส และอื่นๆที่ต่างกันเท่านั้น แต่ความเป็นคนเท่าเทียมกัน ทำให้นีน่าเป็นกันเองกับทุกคนมากขึ้น ไม่มีหัวโขน และนั่นรวมถึงคนรวยอื่นๆด้วย นีน่าก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะดีกว่าเราหรือคนอื่นๆอย่างไร ทุกคนเท่ากันหมด การปฏิบัติตัวต่อทุกคนเราก็จะทำเท่ากัน รวมทั้งคนที่อายุน้อยกว่าเราด้วย ความเคารพให้เกียรติก็ควรเหมือนกันหมด
Before God, we are all equally wise, and equally foolish.  -Albert Einstein
เนื้อหาในหัวข้อนี้ค่อนข้างเยอะ คงต้องต่อ Ep. 3 ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้นีน่าด้วยนะคะ
เพื่อนๆที่มีประสบการณ์คล้ายๆกันอย่าลืมแชร์ประสบการณ์เพื่อแบ่งปันและเรียนรู้ร่วมกันด้วยนะคะ 😉
Until next time …
สนใจอ่านบทความก่อนหน้านี้ กดที่ links ข้างล่างนี้เลยคะ
1. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 1
2. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 2
3. ทำไมควรต้องเรียนรู้คำด่าหรือคำสบถเวลาใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ Ep. 3
4. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 1
5. Culture Shocks เมื่อนีน่าอยู่อเมริกา Ep. 2
6. คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Ep. 1
7. คนไทยกับภาษาอังกฤษ ... ปัญหาแห่งชาติที่แก้ไม่ตก Ep. 2
8. CoVID 19 กับความคิดของคนอเมริกัน
9. การเหยียดสีผิวในอเมริกา (Racism in America)
10. เมื่อบ้านไม่ใช่บ้านอีกต่อไป (Reverse Culture Shock) Episode 1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา