01. เดิมทีผู้เขียนบทภาพยนตร์อย่าง Jonathan Frederick Lawton ตั้งใจให้ภาพยนตร์เป็นแนวดราม่าที่มืดหม่นเพื่อตีแผ่วงการค้าประเวณีที่ลอสแองเจลิสในช่วงยุค 80
02. บทภาพยนตร์ดั้งเดิมจึงมีความมืดหม่นมาก โดยความสัมพันธ์ระหว่าง Edward Lewis และ Vivian Ward มีการทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญตัวละคร Vivian Ward นอกจากจะค้าประเวณีแล้วยังใช้ยาเสพติดอย่างหนัก จนตัวละคร Edward Lewis ต้องว่าจ้างให้เธองดใช้โคเคนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
03. บทภาพยนตร์ดังกล่าวมีชื่อว่า 3000 ซึ่งมาจากจำนวนเงินที่ Edward Lewis เสนอให้ Vivian Ward งดใช้ยาเสพติดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์นั่นเอง
04. ตอนจบของบทภาพยนตร์ดั้งเดิมต้องบาดใจผู้ชมภาพยนตร์อย่างแน่นอนเพราะมันหม่นจนไม่สามารถจบแบบมีความสุขได้เลย เพราะตอนจบตัวละคร Vivian Ward ไม่สามารถเลิกใช้ยาเสพติดได้ เมื่อ Edward Lewis ทราบเข้าจึงได้ไล่เธอให้ลงจากรถยนต์แล้วขับหนีไป ซึ่งทำให้ Vivian Ward กลับไปยังที่พักแล้วพบว่าเพื่อนของเธอเสพยาเกินขนาด หลังจากเข้ารับการรักษาแล้ว เธอกับเพื่อนก็หนีออกจากโรงพยาบาลนั่งรถโดยสารไปยัง Disneyland เพื่อหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
"ตัวละคร Vivian Ward และ Edward Lewis"
05. Walt Disney Studios ได้บทภาพยนตร์ดั้งเดิมมาครอบครอง โดย Jeffrey Katzenberg ได้แถลงว่าจะมีการปรับเปลี่ยนบทภาพยนตร์ใหม่ให้เป็นแนวเทพนิยายที่ทันสมัยซึ่งตรงข้ามกับบทภาพยนตร์ดั้งเดิม และพวกเขาไม่ชอบชื่อภาพยนตร์ดั้งเดิมเพราะมันดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์
06. หลังจากปรับเปลี่ยนอยู่นาน สุดท้าย Walt Disney Studios ได้ส่งต่อไปให้ค่าย Touchstone Pictures แทน
07. Laura Ziskin ได้เห็นว่าบทภาพยนตร์ดั้งเดิมจะทำให้ตัวละคร Vivian Ward ไม่สามารถเรียกความเห็นใจจากผู้ชมภาพยนตร์ได้อย่างแน่นอน จึงมีการพัฒนาบทภาพยนตร์ใหม่เพื่อให้กลายเป็นแนวโรแมนติกคอมมาดี้แทน
11. Jodie Foster หลังจากชนะรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Academy Awards ด้วยภาพยนตร์เรื่อง The Accused (1988) เธอได้บอกว่าสนใจที่จะรับบทบาทเป็น Vivian Ward แต่ทางทีมงานปฏิเสธ
12. ทางค่ายต้องการให้นักแสดง Meg Ryan ที่กำลังโด่งดังมาแสดงบทบาท Vivian Ward แต่เธอปฏิเสธไป โดยทางค่ายวางแผนให้เธอมาแสดงคู่กับ Sean Connery ซึ่งบทบาทถูกส่งไปให้ Mary Steenburgen แต่ก็ถูกปฏิเสธเช่นกัน
15. Sarah Jessica Parker ก็ถูกทาบทามให้มาแสดงบทบาท Vivian Ward แต่เธอบอกว่าไม่ชอบบทบาทนี้เอาเสียเลย แต่สุดท้ายเธอกลับไปแสดงละครโทรทัศน์เรื่อง Sex and the City (1998) ในบทบาทของกูรูเรื่องเพศสัมพันธ์และความสัมพันธ์อย่าง Carrie Bradshaw
16. เมื่อนักแสดงที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นต่างปฏิเสธบทบาทดังกล่าวหมด โอกาสจึงมาถึงนักแสดง Julia Roberts ที่เพิ่งอายุได้ 21 ปีในช่วงเวลานั้น ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอเพิ่งได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจาก Academy Awards ในภาพยนตร์เรื่อง Steel Magnolias แต่อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของเธอยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายนัก
"Julia Roberts ในวัย 21 ปีผู้มาคว้าบทนำไปครอง"
17. Demi Moore ปฏิเสธที่จะแสดงบทบาทของ Kit De Luca เพื่อนสนิทของ Vivian Ward
18. Dennis Quaid, Harrison Ford, Bruce Campbell, John Heard, John Travolta, Daniel Day-Lewis, Kevin Kline, Burt Reynolds และ Denzel Washington ถูกทาบทามให้มาแสดงบทบาทเป็น Edward Lewis แต่ทุกคนปฏิเสธ
19. นักแสดง Christopher Reeve ได้เข้ามารับบท Edward Lewis แต่ในวันที่ต้องทดสอบหน้ากล้องเพื่อต่อบทกันนั้น นักแสดง Julia Roberts กลับติดธุระที่อื่นจึงไม่สามารถมาได้ ทำให้ทีมงานต้องหาคนอื่นมาอ่านบท Vivian Ward อย่างเสียไม่ได้ แต่การกระทำดังกล่าวกลับทำให้เขาโกรธมากจนฉีกบทภาพยนตร์ทิ้งแล้วเดินออกไป
20. นักแสดง Al Pacino ได้มาทดสอบหน้ากล้องและต่อบทกับ Julia Roberts แล้ว แต่สุดท้ายเขากลับปฏิเสธที่จะแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้
21. ส่วน Burt Reynolds ได้พูดติดตลกตอนออกรายการ Piers Morgan Show ปี 2012 ว่าหลังจากได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว เขาพลาดโอกาสที่จะได้แสดงฉากร่วมรักกับ Julia Roberts ไป ซึ่งเป็นความผิดพลาดที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้เลย
22. Richard Gere ไม่ได้วางแผนที่จะมาแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ แต่ Julia Roberts เป็นคนคะยั้นคะยอให้เขารับแสดงบทดังกล่าวด้วยการเขียน Post-It คำว่า “ได้โปรด ตอบตกลงเถอะ” ให้กับเขา
"Richard Gere ไม่ได้วางแผนว่าจะมารับบทนำ"
23. นักแสดง Richard Gere และ Julia Roberts อายุห่างกันถึง 18 ปีในชีวิตจริง
24. บริษัทรถยนต์อย่าง Ferrari และ Porsche ปฏิเสธที่จะให้ภาพยนตร์ใช้รถยนต์ของพวกเขา เพราะไม่ต้องการให้ภาพลักษณ์ต้องแปดเปื้อนจากการจอดรับโสเภณีข้างถนน แต่ทาง Lotus Cars UK กลับเห็นถึงโอกาสอันดีที่จะได้โฆษณารถยนต์ของพวกเขาจึงตอบตกลงทันที ซึ่งหลังจากภาพยนตร์ออกฉายไปแล้วนั้น รถยนต์ Lotus Esprit สามารถทำยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า
28. ผู้กำกับ Garry Marshall รู้สึกว่านักแสดง Julia Roberts เวลาพูดนั้นมีสำเนียงใต้เบา ๆ จนไม่สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้ โดยเฉพาะฉากแรกที่เธอเข้าลิฟท์ของโรงแรม ดังนั้นเขาจึงมีการเพิ่มบทสนทนาไปว่าตัวละคร Vivian Ward มีพื้นเพมาจากจอร์เจีย
"Garry Marshall และ Julia Roberts ในกองถ่าย"
29. ตอนที่ตัวละคร Vivian Ward บอกกับ Edward Lewis ว่าจะเป็นอะไรไหมถ้าเธอถอดรองเท้าบู๊ทส้นสูงออก เป็นการนอกบทภาพยนตร์ของ Julia Roberts เพราะเธอรู้สึกปวดเท้าจากการสวมใส่มันเป็นเวลานาน
31. ฉากที่ตัวละคร Vivian Ward นอนบนพื้นห้องแล้วดูโทรทัศน์เรื่อง I Love Lucy (1951) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ขาวดำที่นำกลับมาฉายใหม่ ผู้กำกับ Garry Marshall ได้ใช้ของเขี่ยที่ฝ่าเท้าของ Julia Roberts ที่อยู่นอกจากกล้องถ่ายภาพยนตร์ จนเธอหัวเราะออกมาเสียงดัง
32. ฉากร่วมรักระหว่างตัวละครในภาพยนตร์นั้นทำให้ Julia Roberts รู้สึกประหม่ามากจนเส้นเลือดบนหน้าผากเด่นชัดขึ้นมา ผู้กำกับภาพยนตร์ Garry Marshall ต้องเข้ามานอนบนเตียงร่วมกับตัวละคร และนักแสดง Richard Gere นวดหน้าผากให้กับเธอ พร้อมกันนั้นยังมีการใช้ครีมคาลาไมน์อีกด้วย เมื่อเส้นเลือดของเธอหายไปจึงสามารถถ่ายทำต่อได้ในที่สุด
"ภาพยนตร์มีฉากร่วมรักหลายฉาก"
33. ฉากแช่อ่างน้ำของ Julia Roberts ทางทีมงานได้ใช้ผงซักฟอกจำนวนมากเพื่อให้ได้ฟองตามที่ได้เห็นในภาพยนตร์ แต่ด้วยความเข้มข้นของมันจึงทำให้เส้นผมของ Julia Roberts ถูกกัดจนทำให้สีผมหลุดออกไป ซึ่งในคืนนั้นเธอต้องย้อมสีใหม่อีกครั้ง
34. ในฉากนั้นเอง เมื่อ Julia Roberts ดำลงไปในน้ำแล้วโผล่หน้าขึ้นมา ทีมงานทุกคนต่างพากันแกล้งเธอด้วยการออกจากห้องน้ำไปจนหมด รวมทั้งผู้คุมกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ด้วย
36. Richard Gere ได้บรรเลงเปียโนด้วยตัวเองในภาพยนตร์ ซึ่งสิ่งที่เขาบรรเลงนั้นเป็นการเรียบเรียงด้วยตัวเขาเองทั้งหมด
37. ในฉากร่วมรักบนเปียโนนั้นมีการบันทึกเสียงเปียโนลงไปใหม่ เนื่องจากการสัมผัสคีย์ของ Julia Roberts และ Richard Gere นั้นทำให้เกิดเสียงที่ไม่น่าฟังเอาเสียเลย ผู้กำกับภาพยนตร์ Garry Marshall จึงตัดสินใจใส่เสียงเปียโนลงไปใหม่เพื่อให้สบายหูผู้ชมมากขึ้น
38. Richard Gere ได้ด้นสดในฉากมอบสร้อยคอให้กับ Julia Roberts โดยเขาได้ปิดฝากล่องใส่มือของเธอจนทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งทีมงานรู้สึกชอบมันมากจึงได้ใส่ไว้ในภาพยนตร์
40. ชุดราตรีเผยหัวไหล่ที่ Julia Roberts สวมนั้น เดิมทีมีการวางแผนให้เป็นสีดำ แต่ Marilyn Vance ฝ่ายออกแบบเครื่องแต่งกายเห็นว่ามันจะดูน่าเบื่อมากเกินไปจึงได้เปลี่ยนให้เป็นสีแดง ซึ่งสุดท้ายมันกลายเป็นฉากจดจำของภาพยนตร์ในที่สุด
41. ละครโอเปร่าที่ Edward Lewis พา Vivian Ward คือเรื่อง La Traviata ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับโสเภณีที่หลงรักกับเศรษฐี
42. ในฉากที่ Edward Lewis ต่อยกับ Phillip Stuckey ผู้ชมจะสามารถเห็นนักแสดง Richard Gere ใช้ลิ้นดุนเหงือกได้อย่างชัดเจน เนื่องจากฟันกรามของเขาหลุดออกมาจริง ๆ
"เกิดอุบัติเหตุกับฟันกรามของ Richard Gere"
43. ในตอนที่ถ่ายทำฉาก Vivian Ward บอกกับ Edward Lewis ว่าอยากเป็นเจ้าหญิงที่ถูกช่วยเหลือให้ออกมาจากหอคอยนั้น ทางทีมงานไม่ได้เขียนตอนจบแบบที่ได้เห็นในภาพยนตร์ จนกระทั่งพวกเขาถ่ายทำฉากดังกล่าวก็ได้มีการแก้ไขบทภาพยนตร์เป็นตอนจบแบบที่ได้เห็นในภาพยนตร์
46. โปสเตอร์ของภาพยนตร์นั้นเป็นการตัดต่อใบหน้าของ Julia Roberts มาวางบนร่างกายของ Shelley Michelle ส่วนนักแสดง Richard Gere มีการทำเส้นผมให้เป็นสีน้ำตาลทั้งที่เขามีเส้นผมเป็นสีเทา
"โปสเตอร์ของภาพยนตร์"
47. ภาพยนตร์ถูกรวบรวมให้เป็นหนึ่งใน “1001 ภาพยนตร์ที่ต้องรับชมให้ได้ก่อนตาย” โดย Steven Schneider
48. เพลง It Must Have Been Love ของ Roxette ความจริงแล้วพวกเขาปล่อยเพลงนี้เมื่อปี 1987 ที่สวีเดนด้วยชื่อเพลงว่า It Must Have Been Love (Christmas for the Broken Hearted) ก่อนจะถูกนำมาปล่อยใหม่อีกครั้งเมื่อปี 1990 เพื่อใช้ประกอบภาพยนตร์
49. หลังจากภาพยนตร์ออกฉายและประสบความสำเร็จส่งผลให้นักแสดง Julia Roberts โด่งดังชั่วข้ามคืน กลายมาเป็นนักแสดงหญิงแถวหน้าของวงการที่ทั่วโลกต่างรู้จักเธอ ที่สำคัญภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผลให้เธอได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจาก Academy Awards
"บทบาทที่ส่งผลให้ Julia Roberts ขึ้นมาอยู่แถวหน้า"