10 เม.ย. 2021 เวลา 04:00 • ประวัติศาสตร์
“เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford)” วีรบุรุษแห่งวงการรถยนต์
“เฮนรี ฟอร์ด (Henry Ford)” คือผู้ที่เปลี่ยนวงการรถยนต์
2
เขาเกิดในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1863 (พ.ศ.2406) ในฟาร์มในมิชิแกน สหรัฐอเมริกา โดยเป็นลูกของชาวไร่ที่ชื่อ “วิลเลียม ฟอร์ด (William Ford)” และ “แมรี ฟอร์ด (Mary Ford)” โดยหลังจากเฮนรีถือกำเนิด วิลเลียมและแมรีก็ได้มีลูกอีกห้าคน
ในช่วงวัยเด็ก เฮนรีได้ไปเรียนในโรงเรียนเล็กๆ ที่มีเพียงห้องเดียว โดยเฮนรีได้แสดงความสนใจในเรื่องของเครื่องยนต์กลไกตั้งแต่ยังเด็ก
เฮนรีในวัยเด็ก
ขณะมีอายุได้เจ็ดขวบ คนงานในฟาร์มของพ่อแม่ได้แกะนาฬิกาออกให้เฮนรีดูถึงกลไกภายใน และตั้งแต่นั้น เฮนรีก็ศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับนาฬิกา และไขดูภายในของนาฬิกาทุกเรือน
เฮนรีเรียนรู้การซ่อมนาฬิกาด้วยตนเอง รวมทั้งเขายังมักจะเอาของเล่นไขลานมาแกะเพื่อดูการทำงานภายใน
วันหนึ่ง ขณะที่เฮนรีเดินทางไปดีทรอยท์กับพ่อ เขาได้เห็นเครื่องจักรไอน้ำในรถไฟ และสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อกลับมาที่บ้าน เขาจึงทำการทดลองสร้างเครื่องจักรไอน้ำของตนเอง ผลที่ได้คือเครื่องจักรที่เฮนรีสร้างเกิดระเบิด ทำให้รั้วในฟาร์มไหม้ หากแต่วิลเลียมผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกให้เฮนรีระมัดระวัง และให้เฮนรีใช้กระท่อมในฟาร์มเป็นห้องทดลอง
พ่อและแม่ของเฮนรี
ขณะมีอายุได้ 12 ปี แมรี ผู้เป็นแม่ ได้เสียชีวิตหลังจากคลอดลูกคนที่เจ็ด สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้เฮนรี
แมรีนั้นใจดีและเปี่ยมด้วยความรัก รวมทั้งสอนเฮนรีในเรื่องการทำงานหนัก
ยิ่งโตขึ้น เฮนรีก็พบว่างานในไร่นั้นไม่ใช่ทางของตน สำหรับเขาแล้ว งานในไร่เป็นงานที่เหนื่อยและน่าเบื่อ
ดังนั้นในปีค.ศ.1879 (พ.ศ.2422) เฮนรีจึงออกจากโรงเรียนและย้ายไปดีทรอยท์ โดยเขาตั้งใจจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไก
เฮนรีในวัยหนุ่ม
ที่ดีทรอยท์ เฮนรีได้งานทำในบริษัทที่ผลิตก๊อกประปา ท่อน้ำ ซึ่งที่นี่เอง เฮนรีได้เรียนรู้การใช้เครื่องจักรที่ผลิตชิ้นส่วนของเหล็ก โดยในช่วงกลางคืน เฮนรียังทำงานเสริมโดยการรับซ่อมนาฬิกาอีกด้วย
ค.ศ.1885 (พ.ศ.2428) เฮนรีได้พบกับ “คลารา ไบรอันท์ (Clara Bryant)”
เฮนรีชอบคลาราและเริ่มออกเดทกับคลารา โดยคลารานั้นประทับใจที่เฮนรีนั้นเอาการเอางาน ทั้งคู่จึงได้หมั้นกันในปีค.ศ.1886 (พ.ศ.2429) ก่อนจะแต่งงานกันในอีกสองปีต่อมา
เฮนรีและคลารา
ในปีค.ศ.1889 (พ.ศ.2432) เฮนรีได้เดินทางไปดีทรอยท์เพื่อซ่อมเครื่องยนต์ที่ทำงานด้วยน้ำมัน ทำให้เขาเกิดไอเดียจะทำรถยนต์ที่ทำงานด้วยเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน
ในเวลานั้น ได้มีรถยนต์ที่ทำงานโดยเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่แล้ว แต่เฮนรีต้องการจะปรับปรุงให้ดีกว่า ซึ่งคลาราก็สนับสนุนเต็มที่
ในปีค.ศ.1891 (พ.ศ.2434) เฮนรีและคลาราก็ย้ายไปดีทรอยท์ ซึ่งเฮนรีตั้งใจจะเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไฟฟ้า
เฮนรีเชื่อว่าไฟฟ้าเป็นกุญแจในการสร้างเครื่องยนต์ที่สมบูรณ์ โดยเขาได้งานทำในบริษัท “Edison Illuminating Company” ของ “โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison)”
โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison)
เอดิสันเป็นนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ และในเวลานั้นก็เป็นเจ้าของบริษัทที่ผลิตไฟฟ้าให้แก่เมืองต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา
งานของเฮนรีคือการซ่อมเครื่องจักรไอน้ำที่ผลิตไฟฟ้า และเขาก็ทำงานได้อย่างดี
ค.ศ.1893 (พ.ศ.2436) ลูกชายคนแรกและคนเดียวของเฮนรีก็ถือกำเนิด นั่นคือ “เอ็ดเซล (Edsel Ford)”
เอ็ดเซล (Edsel Ford)
เฮนรีได้ตั้งห้องทำงานของตนขึ้นหลังบ้าน ซึ่งเฮนรีใช้เป็นที่สร้างเครื่องจักรไอน้ำของตน ซึ่งเขาก็สามารถสร้างเครื่องจักรไอน้ำของตนเองได้สำเร็จ หากแต่เขาก็ยังไม่พอใจ
เขาต้องการสร้างเครื่องที่ใหญ่กว่านี้
ที่บริษัทของเอดิสัน เฮนรีนั้นมีเวลาว่างมาก ซึ่งเขาก็มักจะแวะไปยังร้านขายเครื่องจักรเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม และเขายังใช้เวลาว่างในการพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำของตนเองอีกด้วย
ในที่สุด 4 มิถุนายน ค.ศ.1896 (พ.ศ.2439) เฮนรีก็สร้างรถยนต์ของตนเองได้สำเร็จ โดยมีชื่อว่า “Quadricycle”
Quadricycle
Quadricycle นั้นแตกต่างจากรถยนต์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง และมีความเร็วสูงสุดเพียง 32 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ขณะที่กำลังจะทดลองนำรถยนต์ของตนไปวิ่งครั้งแรก เฮนรีก็พบว่าปัญหาได้เกิดแล้ว
Quadricycle นั้นใหญ่เกินกว่าจะเอาออกจากประตูห้องทำงานได้ ที่ผ่านมานั้น เขาลืมคิดไปเลยว่ารถยนต์ของตนจะมีขนาดใหญ่กว่าประตูห้องทำงาน
ไม่รอช้า เฮนรีคว้าขวานและทุบกำแพงห้องทำงานจนแตก และนำ Quadricycle ออกวิ่ง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี
ในขณะที่เฮนรีกำลังพัฒนารถยนต์ของตน เขาก็พบว่านักประดิษฐ์ทั่วสหรัฐอเมริกาต่างก็แข่งกันผลิตรถยนต์ หากแต่เขาก็เชื่อมั่นว่ารถยนต์ของตนนั้นออกแบบมาอย่างดีที่สุด
จากนั้นไม่นาน บริษัท Edison Illuminating Company ที่เฮนรีทำงาน ก็ได้พาเฮนรีไปร่วมงานประชุมในนิวยอร์ก
ที่นิวยอร์ก เฮนรีได้อธิบายเรื่องเครื่องจักรไอน้ำของตนให้เอดิสันฟัง ซึ่งเอดิสันก็ได้กล่าวแก่เฮนรีว่า
“ทำเรื่องเครื่องจักรของเธอต่อไป หากเธอประสบความสำเร็จในสิ่งที่เธอกำลังตามหา ฉันก็เห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์”
คำพูดของเอดิสันทำให้เฮนรีมีกำลังใจ และในเวลาต่อมา คนทั้งคู่จะได้พบกันอีกและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน หากแต่ในเวลานี้ เฮนรียังต้องต่อสู้อีกมากกว่าที่ทุกคนจะยอมรับเขาในฐานะของอัจฉริยะพอๆ กับเอดิสัน
เมื่อกลับมาบ้าน เฮนรีก็ได้ทำการพัฒนา Quadricycle และในปีค.ศ.1899 (พ.ศ.2442) เฮนรีก็พร้อมแล้วที่จะลาออกจากบริษัทของเอดิสันและตั้งบริษัทของตนเอง
แทบจะไม่มีใครเห็นด้วยและคิดว่ารถยนต์ของเฮนรีเป็นเพียงแค่ของเล่น หากแต่คลาราก็สนับสนุนและเชื่อในตัวของสามี และเฮนรีก็มุ่งมั่นที่จะนำรถยนต์ในฝันของตนออกแสดงให้โลกเห็น
ในเวลานั้น เศรษฐีหลายๆ คนในดีทรอยท์เริ่มจะสนใจในไอเดียของรถม้าที่ไม่ต้องใช้ม้า และยินดีจะช่วยสนับสนุนเงินทุนให้เฮนรีก่อตั้งบริษัท
เฮนรีได้ก่อตั้งบริษัท “Detroit Automobile Company” ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1899 (พ.ศ.2442)
เฮนรีได้ออกแบบรถยนต์แบบใหม่ หากแต่เขาก็ยังไม่พอใจ ซึ่งก็ทำให้บริษัทของเขานั้นอยู่ในภาวะย่ำแย่ เนื่องจากเขาเอาแต่ออกแบบรถยนต์ใหม่ๆ หากแต่ยังไม่สามารถผลิตออกมาขายได้ซักที
นักลงทุนที่ยอมลงทุนให้เขาก็ไม่พอใจ และเมื่อเวลาผ่านไปได้สองปี บริษัทของเฮนรีก็ต้องปิดตัวลง
เมื่อล้มเหลวจากบริษัทแรก เฮนรีก็ทุ่มให้กับการออกแบบรถแข่ง โดยเขาคาดหวังว่าหากเขาสามารถสร้างรถแข่งที่ประสบความสำเร็จ ผู้คนจะเห็นความสามารถและยอมรับในตัวเขา และจะทำให้เขาสามารถผลิตรถยนต์ออกจำหน่ายแก่ผู้คนทั่วไปได้
ในปีค.ศ.1901 (พ.ศ.2444) เฮนรีได้นำรถของตนลงแข่ง และสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ สร้างชื่อเสียงให้เฮนรีเป็นอย่างมาก
ชัยชนะของเฮนรีทำให้นักลงทุนกลับมาเชื่อมั่นและยอมออกทุนให้เฮนรีตั้งบริษัทแห่งใหม่ หากแต่เฮนรีก็ยังคงช้าในการผลิตรถยนต์ออกจำหน่าย และเขาก็ไม่ชอบทำงานกับพวกนักลงทุน เขาต้องการจะเป็นอิสระ
ความต้องการจะทำงานอย่างอิสระนี้เอง ทำให้เขาทำงานในบริษัทแห่งที่สองของตนได้เพียงสี่เดือน และเขาก็ไม่เอาแล้ว เขาตั้งใจแล้วว่าเขาจะไม่ยอมรับคำสั่งของใครอีกต่อไป
ในช่วงเวลานี้ “ทอม คูเปอร์ (Tom Cooper)” นักแข่งจักรยานมืออาชีพ ต้องการจะลงแข่งรถยนต์ และขอให้เฮนรีช่วยสร้างรถยนต์ให้เขา
เฮนรีรับงานนี้ และได้สร้างรถยนต์ที่มีกำลังมากกว่ารถยนต์คันที่ผ่านๆ มา
เฮนรีตั้งชื่อรถยนต์ที่ตนสร้างขึ้นจำนวนสองคัน โดยคันหนึ่งชื่อว่า “Arrow” อีกคันคือ “999”
999
เมื่อคูเปอร์นำรถยนต์ของเฮนรีลงแข่ง ก็ปรากฎว่ารถยนต์ของเฮนรีนั้นชนะ สร้างชื่อเสียงให้เฮนรีเป็นอย่างมาก
เมื่อเริ่มจะมีชื่อเสียง เฮนรีก็เริ่มมองหาลู่ทางในการตั้งบริษัทอีกครั้ง บริษัทที่ผลิตรถยนต์สำหรับชีวิตประจำวัน
เฮนรีเจอนักลงทุนที่พร้อมจะลงทุนให้เขา อีกทั้งยอมให้เฮนรีบริหารบริษัทตามใจตนเอง ดังนั้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1903 (พ.ศ.2446) บริษัท “Ford Motor Company” จึงได้เปิดทำการ
Ford Motor Company
Ford Motor Company ได้ออกรถยนต์ “Model A” ในปีค.ศ.1903 (พ.ศ.2446) ซึ่งในเวลานั้นก็ได้มีบริษัทผลิตรถยนต์อื่นๆ เป็นคู่แข่งในตลาดอยู่แล้ว
เฮนรีได้ใช้การโฆษณาเพื่อโน้มน้าวให้ชาวอเมริกันเห็นว่ารถยนต์ Model A ของตนนั้นถูกกว่า คุ้มค่ามากกว่า
Model A
ด้วยพลังแห่งการโฆษณาและการใช้ง่าย สะดวกสบาย ทำให้ Model A ประสบความสำเร็จ และทำให้เฮนรีสามารถขยายโรงงานได้
เฮนรีนั้นเป็นเจ้านายที่ดีและทุ่มเท เหล่าคนงานต่างให้ความเคารพเฮนรี
ถึงแม้ว่า Model A จะมีราคาถูกกว่ารถคันอื่นๆ ในท้องตลาด แต่เฮนรีก็คิดว่าตนน่าจะสามารถสร้างรถยนต์ที่ถูกกว่านี้ และยังขับขี่ง่าย ซ่อมง่ายกว่านี้อีก
ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451) เฮนรีได้ออก “Model T” ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Model A และมีราคาเริ่มต้นที่ 850 ดอลลาร์ (ประมาณ 25,500 บาท) ซึ่งแพงกว่า Model A ไม่มาก
Model T
เฮนรีตัดสินใจที่จะขาย Model T เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอีกเช่นเคย
ความสำเร็จของ Model T ทำให้เฮนรีกลายเป็นเศรษฐี และเขาก็ได้พาครอบครัวย้ายกลับไปยังบ้านเกิดที่มิชิแกน และสร้างบ้านหลังใหญ่ในปีค.ศ.1914 (พ.ศ.2457)
เอ็ดเซลก็มีอายุได้ 21 ปีแล้ว และไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย หากแต่เข้าทำงานกับบริษัทของผู้เป็นพ่อ
เฮนรีและเอ็ดเซล
ในยุค 10 (พ.ศ.2453-2462) เฮนรีและคนงานได้คิดวิธีในการผลิตรถยนต์ได้รวดเร็วขึ้น และมีราคาถูกลง โดยจะทำในโรงงานแห่งใหม่ที่ชื่อว่า “Highland Park”
เฮนรีได้นำระบบ “สายพานการผลิต” เข้ามาใช้ในโรงงาน ทำให้คนงานประหยัดเวลาไปได้มาก และทำให้โรงงานผลิตรถยนต์ได้มากขึ้น
ในปีค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) บริษัทของเฮนรีผลิตรถยนต์ได้มากกว่า 65,000 คัน มากกว่าบริษัทอื่นๆ รวมกันซะอีก
สายพานการผลิตในโรงงานของเฮนรี
ในเวลานี้ Model T ของเฮนรีประสบความสำเร็จอย่างมาก และเฮนรีก็ต้องการให้รถยนต์ของตนเข้าถึงผู้คนได้มากกว่านี้ เขาจึงตัดสินใจขึ้นค่าแรงให้คนงานของตน
ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) เฮนรีได้ขึ้นค่าแรงคนงาน จากวันละ 2.50 ดอลลาร์ (ประมาณ 75 บาท) เป็น 5 ดอลลาร์ (ประมาณ 150 บาท) ซึ่งจะทำให้คนงานเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งจะทำให้คนงานภักดีต่อบริษัทและตั้งใจทำงาน
การกระทำของเฮนรี ทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นไปในทางบวก หลายๆ คนยกย่องเขาเป็นวีรบุรุษเลยทีเดียว
เฮนรีชื่นชอบในชื่อเสียงที่ได้รับ โดยเขามักจะให้สัมภาษณ์และยอมให้นักข่าวตามไปเก็บภาพขณะเขาไปเที่ยวพักผ่อนกับเอดิสัน
เฮนรีกับเอดิสัน
การมีชื่อเสียงและใกล้ชิดนักข่าวทำให้ความเห็นของเฮนรีได้รับการนำเสนอสู่คนหมู่มาก
1
กรกฎาคม ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) สงครามได้เริ่มขึ้นในยุโรป โดยสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และรัสเซีย ได้ร่วมมือกันต่อสู้กับเยอรมนี โดยต้องการจะหยุดยั้งอำนาจของเยอรมนีในยุโรป
เฮนรีเชื่อว่าสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามอะไรก็ตาม ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และได้แสดงความเห็นต่อต้านสงคราม และไม่เห็นด้วยกับการที่สหรัฐอเมริกาเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม โดยเขาได้กล่าวว่า
“การเตรียมพร้อมทำสงคราม ก็จะจบลงด้วยสงคราม”
ในปีค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) คนที่ต่อต้านสงครามและชื่นชอบเฮนรี คาดหวังให้เฮนรีลงเลือกตั้ง ชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเขาก็ได้ปฏิเสธไป
หากแต่สองปีต่อมา เขาก็ได้ตอบรับคำเชิญ ลงแข่งขันเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หากแต่ก็แพ้ไปอย่างเฉียดฉิว
ภายในปีค.ศ.1918 (พ.ศ.2461) สหรัฐอเมริกาได้ทำสงครามในยุโรป และโรงงานของเฮนรีก็ต้องผลิตรถยนต์และรถแทร็กเตอร์ส่งให้กองทัพ ถึงแม้ว่าเฮนรีจะไม่ชอบสงครามก็ตาม
ในช่วงสงครามนี้เอง สมาชิกในครอบครัวของเฮนรีก็ได้เข้ามามีบทบาทในบริษัท
เอ็ดเซลได้เข้ามาทำหน้าที่สำคัญในบริษัท และได้แต่งงานกับคนรักที่ชื่อ “เอเลนอร์ เคลย์ (Eleanor Clay)”
เอ็ดเซลและเอเลนอร์
ทั้งคู่มีลูกด้วยกันสี่คนและกลายเป็นครอบครัวที่อบอุ่น
เอเลนอร์มาจากครอบครัวที่มั่งคั่งในดีทรอยท์ เอ็ดเซลก็สนุกสนานกับการพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ ของเอเลนอร์ หากแต่ผู้เป็นพ่อนั้น ไม่ค่อยชื่นชมเท่าไรนัก
เฮนรีไม่ชื่นชอบการดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ชอบคนที่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย เขาเชื่อในการทำงานหนักและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และเขาก็มองว่าลูกชายนั้นเหยาะแหยะ อ่อนแอเกินกว่าจะมาบริหารบริษัทที่เขาสร้างมากับมือ
แต่ถึงอย่างนั้น เอ็ดเซลก็เป็นลูกชายคนเดียวของเขา และในปีค.ศ.1919 (พ.ศ.2462) เขาก็ได้แต่งตั้งเอ็ดเซลเป็นประธานบริษัท
เอ็ดเซลและครอบครัว
แต่ถึงจะเป็นประธานบริษัท หากแต่อำนาจที่แท้จริงก็ยังคงเป็นของเฮนรี โดยเฮนรีมักจะเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญ และคนก็เชื่อฟังเขาด้วย แตกต่างกับเอ็ดเซล
เคยมีคนงานรายหนึ่งได้กล่าวถึงเฮนรีว่า
“ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเฮนรี นั่นก็คือเอ็ดเซล”
ต่อมา รถยนต์ของบริษัทเฮนรีได้ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ และเฮนรีก็ได้ตั้งโรงงานขึ้นอีกแห่ง และสร้างเมืองอุตสาหกรรมเล็กๆ ขึ้นเพื่อใช้ในการส่งวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นเหล็กหรือถ่านหิน ทำให้ต้นทุนถูกลง และเฮนรีก็สามารถจำหน่าย Model T ในราคาที่ถูกลงเช่นกัน
เฮนรีและเอ็ดเซล
เฮนรีซึ่งขณะนี้ร่ำรวยมหาศาล ได้ซื้อกิจการหนังสือพิมพ์และวิทยุเพิ่มเติม โดยเขาใช้สื่อที่มีอยู่ในมือ โฆษณารถยนต์ของบริษัทตน
นอกจากนั้น เขายังใช้สื่อที่มีเป็นกระบอกเสียงในการแสดงความคิดเห็นในหลายๆ เรื่อง
เฮนรีมักจะแสดงความเห็นโจมตีนายธนาคารและนักลงทุน โดยเขาเชื่อว่าคนเหล่านี้ขูดรีดขูดเนื้อคนงาน ไม่ได้ผลิตหรือจำหน่ายสินค้าเอง
ความเห็นที่แรงที่สุดของเขา คือการพูดโจมตี “ชาวยิว”
ชาวยิว
หนังสือพิมพ์ของเฮนรีได้โจมตีชาวยิว โดยกล่าวว่าชาวยิวได้ควบคุมธนาคารและอุตสาหกรรมต่างๆ เป็นจำนวนมาก และทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอ่อนแอ
ถึงแม้ว่าเฮนรีจะไม่ได้เป็นคนเขียนบทความนี้ แต่เขาก็อนุญาตให้บทความนี้ตีพิมพ์ได้
บทความนี้สร้างความไม่พอใจให้ผู้คนเป็นจำนวนมาก หลายคนมองว่าการเหยียดเชื้อชาติของเขา แสดงให้เห็นถึงการด้อยการศึกษาของเฮนรี หลายคนก็ไม่คิดว่าเขาเป็นอัจฉริยะ เขาเป็นเพียงนักประดิษฐ์ที่เชี่ยวชาญเรื่องรถยนต์เท่านั้น
ด้วยกระแสสังคมที่ตีกลับ ทำให้ในปีค.ศ.1927 (พ.ศ.2470) เฮนรีต้องยอมกล่าวขอโทษ
ในขณะเดียวกัน เอ็ดเซลก็กำลังคิดถึงอนาคตและคิดว่าบริษัท ควรต้องออกรถรุ่นใหม่ๆ บ้างได้แล้ว
แต่เฮนรีไม่ได้รู้สึกอยากจะยอมรับไอเดียของลูกชายนัก ซึ่งก็ต้องใช้เวลากว่าห้าปี เฮนรีถึงจะยอมให้ออกรถรุ่นใหม่
1
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1927 (พ.ศ.2470) หลังจากที่ Model T ได้ถูกผลิตไปแล้วกว่า 15 ล้านคัน บริษัทก็ได้ออกรถรุ่นใหม่
นั่นคือ “Model A” ซึ่งสอดคล้องกับชื่อรถรุ่นแรกที่เฮนรีเคยนำออกจำหน่าย
Model A (1927)
Model A มีฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ทันสมัยกว่า Model T และมีราคาไม่ต่างจาก Model T มากนัก ทำให้ Model A กลายเป็นรถยอดฮิต ขายดีถล่มทลาย
ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) Model A ถูกผลิตไปแล้วกว่า 1.5 ล้านคัน หากแต่หลังจากประสบความสำเร็จไม่นาน วิกฤตใหม่ก็ตามมา
“ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression)”
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression)
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เกษตรกรและอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ผลิตสินค้ามากเกินความต้องการ ทำให้ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) บริษัทจำนวนมากต้องปลดคนงาน ผู้คนไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย ธนาคารและธุรกิจต่างๆ ก็ต้องปิดกิจการ
บริษัทของเฮนรีก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เฮนรีต้องปลดคนงานจำนวนมากและลดค่าแรงคนงาน
ภายในปีค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) ชาวอเมริกันกว่า 13 ล้านคนตกงาน และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำนี้ก็จุดประกาย ทำให้ผู้คนสนใจในเรื่องของการก่อตั้ง “สหภาพแรงงาน” เพื่อช่วยเหลือและคุ้มครองสิทธิของคนงาน
คนงานในแวดวงยานยนต์เองก็ต้องการสหภาพแรงงานของตน โดยในปีค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) ก็ได้มีการก่อตั้งสหภาพแรงงานของคนงานในอุตสาหกรรมยานยนต์
เฮนรีนั้นไม่พอใจและไม่ชื่นชอบสหภาพแรงงาน
เขาไม่ต้องการให้ใครมาออกคำสั่งแก่เขา โดยเขาได้จ้างพนักงานรักษาความปลอดภัยมาคอยดูแลรักษาโรงงานของเขา ไม่ให้คนงานมาก่อความวุ่นวาย รวมทั้งจ้างให้คนแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มคนงาน และคอยมารายงานเขาว่าใครที่สนับสนุนสหภาพแรงงาน
การกระทำของเฮนรีสร้างความไม่พอใจให้ผู้คนเป็นจำนวนมาก
ดูเหมือนว่าเฮนรีที่ใจดี ยุติธรรมกับลูกน้อง จะกลายเป็นอดีตไปแล้ว
ภายในปีค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) บริษัทรถยนต์อื่นๆ ต่างก็มีสหภาพแรงงาน ซึ่งสุดท้าย เฮนรีก็ต้องยอมในที่สุด
ทางด้านเอ็ดเซล ก็ได้ทยอยออกรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ และแตกออกเป็นแบรนด์ “Lincoln” และ “Mercury”
Mercury
ต่อมา สหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปีค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) ซึ่งบริษัทของเฮนรีก็ได้ผลิตเครื่องยนต์ของเครื่องบิน รวมทั้งรถจี๊ปทหาร ส่งให้กองทัพ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง สุขภาพของเฮนรีก็แย่ลงเรื่อยๆ เขาเริ่มจะจำชื่อคนไม่ได้
ค.ศ.1942 (พ.ศ.2485) เอ็ดเซลเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร และในปีค.ศ.1943 (พ.ศ.2486) ก็ได้วางแผนจะลาออกจากบริษัท หากแต่เอ็ดเซลก็เสียชีวิตก่อนที่จะทันลาออก
เฮนรีนั้นเศร้าโศกต่อการจากไปของลูกชาย โดยภายหลังจากที่เอ็ดเซลจากไป เขามักจะพูดถึงลูกชายอย่างรักใคร่ บางครั้งก็ร้องไห้และเสียใจที่ตนนั้นเข้มงวดและไม่ได้ปฏิบัติกับลูกชายดีเท่าที่ควร
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1943 (พ.ศ.2486) เฮนรีขึ้นเป็นประธานบริษัท Ford Motor Company อีกครั้ง
คลาราและเอเลนอร์ ได้เสนอแนะให้เฮนรีแต่งตั้ง “เฮนรีที่ 2 (Henry Ford II)” ลูกชายคนโตของเอ็ดเซล ขึ้นเป็นผู้บริหาร
เฮนรีที่ 2 (Henry Ford II)
หากแต่เฮนรีก็เป็นคนหัวดื้อ เขาไม่ไว้ใจให้ใครขึ้นมาบริหารอาณาจักรที่สร้างเองกับมือ ต่อให้เป็นหลานชายแท้ๆ ก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้น เฮนรีที่ 2 ก็ได้มาทำงานในบริษัทของปู่ และเรียนรู้งานด้วยตนเอง ซึ่งผู้เป็นปู่ก็มักจะหมางเมิน ไม่สนใจหลานชาย
เฮนรีกับเอ็ดเซลและเฮนรีที่ 2
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้จะสิ้นสุด สุขภาพของเฮนรีก็แย่ลงเรื่อยๆ ความจำของเขาเริ่มเลือนไปเรื่อยๆ
เฮนรีที่ 2 ได้ไปเยี่ยมเฮนรี และกล่าวว่าถึงเวลาที่ปู่ต้องวางมือจากบริษัทแล้ว
คลาราก็สนับสนุนหลานชาย โดยเธอได้พูดกับเฮนรีว่า
“เฮนรี ฉันคิดว่าหลานของเราควรต้องสืบต่อบริษัทนะ”
เฮนรียังคงไม่ต้องการที่จะวางมือ เขาสร้างบริษัทมากับมือ ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตวิญญาณไปกับบริษัทนี้ แต่สุดท้าย เฮนรีก็ต้องยอมรับความจริง
เขายอมให้เฮนรีที่ 2 ขึ้นเป็นผู้บริหาร
ในปีค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) เฮนรีที่ 2 ขึ้นเป็นผู้บริหารบริษัทที่ใหญ่ระดับโลก มีคนงานกว่า 120,000 คน และมีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท)
เฮนรีใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายอย่างสงบ ก่อนที่จะเสียชีวิตในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) จากอาการเลือดออกในสมอง
สองวันต่อมา คนกว่า 100,000 คนมาร่วมไว้อาลัยที่หมู่บ้านของเขา
ชาวอเมริกันและอาจจะคนทั้งโลก ชื่นชมในความเก่งกาจและการที่เขาสามารถทำให้รถยนต์เข้าถึงผู้คน กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คน
ในช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด เฮนรีได้เคยเขียนแนวคิดของตนเองลงหนังสือพิมพ์ โดยเขากล่าวว่า
“คุณค่าของผู้คนและแนวคิด คือการใช้ความสามารถที่มีในการทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น”
จากเด็กในครอบครัวชาวไร่ ผู้ชื่นชอบในเรื่องของเครื่องยนต์กลไก สามารถก้าวขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลกแห่งยานยนต์
และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นได้จริงๆ
โฆษณา