Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนในบัญชีและภาษี
•
ติดตาม
30 พ.ค. 2021 เวลา 13:01 • หุ้น & เศรษฐกิจ
3 อัตราส่วนทางการเงินที่นิยมใช้เลือกซื้อหุ้น
ถึงแม้อัตราส่วนทางการเงิน จะมีประโยชน์อย่างไร แต่เชื่อหรือไม่ว่า ยังมีนักลงทุนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ว่าอัตราส่วนทางการเงินเหล่านั้นหมายถึงอะไร และต้องดูอย่างไร จึงจะสามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อเลือกหุ้นที่ดี และน่าลงทุนได้
สำหรับอัตราส่วนทางการเงินที่นักลงทุนนิยมนำมาใช้เป็นประจำ ได้แก่ P/E, P/BV, Dividend Yield
⛳ อัตราส่วนราคาต่อกำไร (Price to Earnings Ratio หรือ P/E)
เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ที่บริษัททำได้ในรอบปีล่าสุด
1
เป็นค่าที่จะได้ยินบ่อยที่สุด เนื่องจากสามารถนำมาเปรียบเทียบได้ทั้งหุ้นรายตัว และสภาพตลาดโดยรวม นอกจากนี้ค่า P/E ยังสามารถประมาณการจุดคุ้มทุน ให้กับผู้ลงทุนได้ด้วย
นี่จึงเป็นแนวคิดเบื้องต้นที่ทำให้คิดได้ว่า ควรซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำๆ และขายหุ้นที่ P/E สูงออกไป แต่บางกรณี หุ้นที่ P/E สูงๆ ก็ยังน่าลงทุนได้ เช่น
2
📌 หุ้นที่มีแนวโน้มของกำไรเพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Growth Stock หุ้นเหล่านี้จะมี P/E สูง แต่ถ้าต้องการดูว่าสูงจนแพงเกินราคาหรือไม่ ต้องดูที่ P/E ไม่เกินการขยายตัวของกำไร เช่น ถ้าคาดว่าหุ้นจะ มีกำไรโต 10% ต่อปี ก็ไม่ควรมี P/E เกิน 10 เท่า หรือนำ P/E หารด้วย Growth ยิ่งผลลัพธ์ได้ต่ำกว่า 1 มากเท่าไร ก็ยิ่งดี
📌 หุ้นที่มีสภาพคล่องดี มักมี P/E สูงกว่า พวกหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่ๆ และซื้อขายปริมาณมากในแต่ละวัน
1
⛳ อัตราส่วนราคาตลาดต่อมูลค่าตามบัญชี (Price to Book Value หรือ P/BV)
เป็นอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชีหรือส่วนของเจ้าของ (บอกว่าซื้อถูกหรือแพงกว่าเจ้าของ) ต่างกับค่า P/E ที่เปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น
ซึ่งหุ้นที่มี P/BV ต่ำ ย่อมจะดีกว่าหุ้นที่มี P/BV สูง
สิ่งที่เราจะได้จากค่า P/BV ได้แก่
📌 บอกว่าเรากำลังซื้อหุ้นแพงหรือถูกกว่าเจ้าของ
📌 สะท้อนธุรกิจได้ดีกว่า สัดส่วนที่นำมาคำนวณนั้นเปลี่ยนแปลงช้า ไม่ผันผวน
1
📌 P/BV ค่ามาตราฐานที่เจ้าของลงทุนคือ 1 เท่า
ไม่ควรตัดสินใจเลือกหุ้นจากค่า P/BV นี้เพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่นประกอบร่วมด้วย และเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นในอุตสหกรรมเดียวกันด้วยก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้น
ค่านี้เป็นที่นิยมเนื่องจากหาได้ง่ายจากงบการเงิน แต่ถ้าผลประกอบการเป็นขาดทุน จะไม่สามารถคำนวณค่าได้
⛳ อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield)
เป็นการวัดอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หากหุ้นตัวใดมีค่านี้สูง แสดงว่ามีการจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง
ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนพอสมควร แต่ถ้าหุ้นใดมีค่านี้ต่ำ ก็ต้องหาข้อมูลต่อไปว่าเกิดจากการทำกำไรได้น้อยหรือเกิดจากนโยบายของบริษัทที่จะนำเงินไปลงทุนมากกว่าจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้น
ซึ่งถ้าเป็นประการหลัง และเป็นโครงการลงทุนที่ดี วิเคราะห์แล้วน่าจะมีผลตอบแทนที่สูง ก็ไม่ได้แสดงว่าหุ้นตัวนั้นไม่ดีแต่อย่างใด
แต่บางครั้งอัตราส่วนเงินปันผล ก็เป็นสิ่งล่อใจให้นักลงทุนเข้าไปติดกับ ต้องดูด้วยว่ามีการจ่ายปันผลในอัตราที่ใกล้เคียงกันหรือไม่ และจ่ายสม่ำเสมอเพียงใด
1
4
💦........นี่เป็นเพียงแค่บางส่วนของอัตราส่วนทางการเงินที่น่าสนใจ ยังมีอีกหลายอัตราส่วนที่นักลงทุนควรต้องศึกษาทำความเข้าใจเพื่อใช้ประกอบการลงทุนของเรานะคะ ซึ่งสามารถหาย้อนอ่านได้จากบทความเก่าๆ ในซีรีย์เรื่อง งบการเงินเพื่อการลงทุน ของเราได้ค่ะ 😉
เรียบเรียงโดย : ลงทุนในบัญชีและภาษี
สามารถเยี่ยมชมเราผ่านช่องทางอื่นตามลิ้งข้างล่างนี้ค่ะ :
FB :
https://www.facebook.com/BSV.BSerp.BusinessValue
Website :
http://bsv-th.com/
Website :
http://acc.bsv-th.com/
ขอบคุณกำลังใจและการติดตามนะคะ ทุกการอ่าน ไลค์ แชร์ หรือคอมเม้นท์มีความหมายเสมอค่ะ ❤❤🙏🙏❤❤
19 บันทึก
41
67
31
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
งบการเงินเพื่อการลงทุน
19
41
67
31
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย