5 พ.ค. 2021 เวลา 10:32 • ประวัติศาสตร์
บทความนี้อาจจะนอกเรื่อง แต่ก็อยากจะแชร์ประสบการณ์ มุมมองของตัวเองบ้างครับ
เคยมั้ยครับ ที่มีเพื่อนที่ดูแล้วเสร่อๆ ทำอะไรน่าอับอาย ทำให้เรารู้สึกอาย ไม่อยากเป็นเพื่อนกับมัน
สมัยเรียนปริญญาตรี ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนคนนี้ชื่อว่า “เจ”
เจเป็นคนต่างจังหวัด มาจากภาคอีสาน
ผมกับเจนั้นเป็นเพื่อนคนละกลุ่ม ไม่ได้สนิทกันมาก เคยทำงานร่วมกันบ้าง ทำงานกลุ่มด้วยกันบ้าง แต่ก็แค่นั้น ไม่ได้ใกล้ชิดอะไร
นิสัยของเจนั้นเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่ายมาก มากจริงๆ มันเสียงดัง เฮฮา กับคนที่เพิ่งรู้จัก มันก็สามารถปล่อยมุก แซวเขา และสามารถพูดได้ไม่หยุด พูดเป็นชั่วโมงๆ และบางทียังดูเหมือนเรียกร้องความสนใจ
นอกจากนั้นมันยังเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นมาก มากจนบางทีก็เกินไป ผมเคยไปทำงานกลุ่มกับมัน มันเห็นเด็กมากับแม่ มันเข้าไปคุยกับแม่เขา คะยั้นคะยอให้แม่เขารับขนมไปจากมัน เพราะมันเห็นว่าเด็กน่าจะอยากกินขนม ทั้งๆ ที่ผมดูแล้ว เด็กเขาก็ดูเฉยๆ ไม่ได้อยากกินขนมของมันเลย
นิสัยอย่างนี้ ผมว่ามีทั้งคนที่ชอบไปเลย มองว่าเฮฮา เฟรนด์ลี กับอีกกลุ่มคือไม่ชอบ มองว่าจุ้นจ้าน น่ารำคาญ
ซึ่งแน่นอนครับ ผมซึ่งนิสัยตรงข้ามกับเจอย่างสิ้นเชิง อยู่กลุ่มหลัง
แต่ไม่รู้ว่ามีอะไรในตัวผมที่ไปดึงดูดมัน เจจึงชอบมาเกาะติดกับผม เวลาไปไหนกับกลุ่มเพื่อนๆ บางทีมันก็จะติดมาด้วย ชอบคุยกับผม ทั้งๆ ที่ผมก็ตั้งการ์ด คือไม่ได้อยากรู้จักหรือสนิทด้วย ถามคำตอบคำ
หลังจากเรียนจบ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป เจก็กลับไปทำงานที่บ้านเกิด ส่วนผมก็ทำงานออฟฟิศในกรุงเทพ
ถึงแม้เพื่อนๆ จะแยกกันไปตามทางของแต่ละคน แต่ก็มี Facebook ของกันและกันอยู่ และยังมีเบอร์โทรศัพท์กัน
ตอนนั้นผมเพิ่งเข้าทำงานในออฟฟิศนี้ไม่นาน และก็กดดันตัวเอง เนื่องจากพ่อฝากเข้าให้ ทุกๆ วันจึงคิดว่าจะทำงานให้ออกมาดี ไม่สร้างปัญหาในออฟฟิศ
แต่วันหนึ่ง เจก็ได้โทรศัพท์มาหาผม บอกว่าจะมากรุงเทพ และจะแวะเข้ามาหาผมที่ออฟฟิศ พร้อมถามว่าผมทำงานตึกไหน ชั้นอะไร ซึ่งผมก็บอกไป แต่ก่อนที่ผมจะบอกว่าให้รอข้างล่าง ไม่ต้องขึ้นมา มันก็ตัดบทไปก่อนว่าเจอกันพรุ่งนี้ และวางสายไป ทิ้งให้ผมปวดหัวว่าจะเอายังไงกับมันดี
ผมยังจำท่าทางเฟอะฟะ เสร่อๆ ของมันได้ และคิดว่าถ้ามันมาจะเป็นยังไง แต่ก็คิดว่าไม่เป็นไร ถ้ามันมา เดี๋ยวพามันไปกินข้าวหรือเลี้ยงกาแฟมันหน่อยแล้วกัน และได้โทรไปบอกเพื่อนที่ทำงานว่าจะมีเพื่อนมาหา ถ้ามันไปถึงก่อนผม รบกวนพามันไปนั่งรอที่ข้างนอก
เช้าวันต่อมา เมื่อไปถึง ปรากฎว่าเจมาอยู่ที่โต๊ะผมแล้ว ซึ่งทำให้ผมทั้งหงุดหงิด ทั้งอาย และเมื่อถามเพื่อน เพื่อนก็บอกว่าจะพามันไปรอข้างนอกแล้ว แต่มันไม่ยอม และคุยอีกว่าเป็นเพื่อนผมสมัยเรียน
วันนั้นทั้งวันแทบไม่เป็นอันทำงาน เจเล่นตีสนิทไปทั่ว ถามชื่อแซ่แต่ละคน ไล่ไปถึงครอบครัว งานที่ทำ ซึ่งคนอื่นๆ ก็ได้แต่ขำๆ เนื่องจากนิสัยอย่างเจค่อนข้างหายากในสังคมเมือง
ก่อนกลับไปวันนั้น เจบอกว่าไว้จะมาหาผมอีก ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับและคิดในใจว่าไม่มีทาง ผมจะไม่พลาดเหมือนวันนี้อีก ถ้ามันมาอีกแล้วพูดไม่รู้เรื่อง จะขึ้นมาให้ได้ ผมจะให้รปภ. โยนมันออกไปจากตึกเลย
1
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไป ผมเองก็เติบโตตามสายงานของตัวเอง ชีวิตมีความสุขดี จนวันหนึ่ง มีเรื่องที่ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีนัก อารมณ์นอยๆ ผมก็ได้แต่แชร์เพลงเศร้าลง Facebook ซึ่งเป็นเจคนเดียวที่เป็นห่วงกว่าคนอื่นๆ โทรมาถามว่าเป็นอะไร แล้วพูดให้กำลังใจผมอย่างจริงจัง
จากนั้น ก็มีอีกหลายครั้งที่มันแสดงความจริงใจ ให้การช่วยเหลือผมโดยที่ผมไม่ต้องร้องขอ
อ่านถึงตรงนี้ หลายๆ ท่านอาจจะคิดว่าเจมันคิดอะไรกับผมหรือเปล่า อันนี้ขอตอบเลยว่า มั่นใจว่าไม่ใช่ครับ ตอนนี้เจแต่งงานแล้ว มีลูกแล้ว สมัยเรียนถึงแม้ว่ามันจะจุ้นจ้าน แต่ก็ไม่ใช่แค่กับผมครับ แต่เป็นกับทุกคน เพียงแต่กับผมอาจจะเยอะหน่อย และมันไม่เคยมาล่วงเกิน หลอกแต๊ะอั๋งอะไรอย่างนั้น ไม่มีเลยครับ
1
ทุกวันนี้ ผมกับเจก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ยังมีโทรคุยกันบ้าง อัพเดตชีวิตใน Facebook ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันนานแล้วก็ตาม และผมก็เสียใจที่ด่วนตัดสินเจจากท่าทาง ลักษณะภายนอกไปก่อนโดยที่ไม่ดูเนื้อแท้
จากกรณีของเจ ทำให้ผมรู้สึกว่า บางทีการที่เราตัดสินอะไรจากอคติ เช่น ลักษณะของเจที่ไม่ตรงกับนิสัยของผม ลักษณะภายนอก ท่าทาง ทำให้ผมปิดประตูมิตรภาพตั้งแต่แรก
เมื่อก่อน เวลามีใครเสนอไอเดียอะไร หากเป็นของคนที่ผมไม่ชอบ ผมก็มักจะไม่สนใจจะฟังตั้งแต่ทีแรก แต่ตอนนี้ เจทำให้ผมเปลี่ยนไป ทุกวันนี้ ต่อให้เป็นคนที่ผมไม่ชอบ ผมก็จะฟังความเห็นของเขาก่อน เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยค่อยว่ากัน แต่อย่างน้อยก็ลองฟังที่เขาพูดก่อน ต่อให้ไม่ชอบเขา จะไม่ใช้ไอเดียของเขา แต่อย่างน้อยก็ลองฟัง ฟังให้รู้ว่าเขาคิดยังไง
1
บางที เพื่อนที่ดูธรรมดา ไม่ตรงกับลักษณะที่คุณคาดหวัง อาจจะเป็นคนที่ดีที่สุดก็เป็นได้
โฆษณา