5 พ.ค. 2021 เวลา 08:22 • สุขภาพ
“การตกหลุมพรางความรัก”
“การตกหลุมพรางความรัก” ส่งผลอย่างไร ?
อาจเป็นเรื่องที่ยาก
ในการยอมรับว่า
ตนเองมีโจทย์ที่แก้ไม่หายเรื่องความรัก
(บางครั้งอาจจะคล้ายกับคนเมา ที่ไม่ยอมรับว่าตนเองนั้นเมา 555)
แล้วไม่ว่าใครคนนั้นจะหาข้อแก้ตัว
หรือหาเหตุผลมาปฏิเสธมากเพียงใด
“แต่หากชีวิตรักมักจบลงด้วยรอยร้าวเสมอ”
นี่ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนอย่างหนึ่งได้ว่า
“ท่านตกหลุมพรางของความรักเสียแล้ว”
หลุมพรางความรักนั้นแนบเนียน
หลอกมนุษย์เราจนหัวทิ่มมาเนิ่นนาน
-บางคราวก็ทำให้เสียเวลาชีวิตไปนับสิบปีจนสุดท้ายก็ต้องเลิกกัน
-บางจังหวะก็ทำให้เสียสุขภาพจิตหรือถูกทำร้ายร่างกาย
-บางครั้งก็เล่นใหญ่ถึงขนาดสร้างครอบครัวจนมีลูกแล้วทิ้งกันไป
“ลงเอยด้วยความผิดหวัง และฝากรอยแผลไว้ในใจ”
มันมักจะเริ่มจากการทำให้เราเชื่อว่า
“คนนี้คือคนที่ใช่”
แล้วคนที่ใช่นี่แหละ “คือเงื่อนไขสำคัญ”
ซึ่งจะเป็นคนที่มาเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหาย
คล้ายกับเป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงจากเทพนิยาย
ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโชคชะตา
(แต่พออยู่ด้วยกันนานวันเข้า...มันชักไม่ใช่แล้วโว้ยยย)
ตัวอย่างปรากฎการณ์นี้มีให้เห็นมากมาย
โดยมักจะแสดงออกผ่านมุมมองที่มีต่อคนรัก เช่น
-คนนี้เป็นคนพิเศษ
-ไม่มีใครรักฉันเท่าเค้า
-เค้าเข้าใจฉันมากที่สุด
-เค้ารักและยอมรับทุกอย่างที่ฉันเป็น
-คนนี้คือที่ปลอดภัยสำหรับฉัน
-เธอคือคนสุดท้ายของชีวิต
ฯลฯ
“คนนี้ตรงตามเงื่อนไข...กูจะเอาคนนี้ให้ได้”
แล้วเหตุใดคนที่เรามองว่าใช่ในทีแรก
กลับกลายเป็นคนที่ไม่ใช่ในภายหลังกันเล่า
ลองมาดูประโยคอันหนึ่งที่น่าสนใจกัน
ซึ่งชวนให้เราได้กลับมาใคร่ครวญชีวิต
“หากความโกรธบดบังใจได้ ความรักก็บดบังใจได้เช่นกัน”
ปัญหาชีวิตจึงอยู่ตรงนี้ นั่นคือ
“การถูกบังตา”
ซึ่งจะไม่มีใครบังตาเราได้เลย
หากเราไม่เผลอหลอกตัวเอง
แล้วบังตาตนเองไว้ก่อนอยู่แล้ว
แล้วเหตุใดเราจึงบังตาตัวเองด้วยความรัก
เราอาจเริ่มจาก “แขวนคำว่ารักเอาไว้”
แล้วกลับมาพิจารณาที่ตัวประสบการณ์ของมันตรง ๆ
เนื่องจาก “ความรัก”
เป็นประสบการณ์ที่ถูกจัดหมวดหมู่อยู่ในความพึงพอใจ
แล้วเจ้าตัวความพึงพอใจนี่แหละที่มันหลอกเราได้
มันสามารถหลอกให้เราเชื่อว่า...
-คนที่ดูตรงสเปคคือ ใช่
-คนที่ดูเข้าใจคือ เหมาะ
-คนที่อยู่ด้วยแล้วดูปลอดภัยคือ ลงตัว
-คนที่ชอบอะไรตรงกัน คือ เพอร์เฟ็ค
“แปลว่า ถ้าตรงตามความพอใจ = คนที่ใช่”
ดังนั้นโจทย์ที่แท้ทรูก็คือ
“การยึดติดกับความพอใจ หรือ การยึดติดในเงื่อนไข”
ซึ่งมันไม่ใช่ความรักเลยแม้แต่น้อย
(ที่แท้มันเป็นแค่เปลือกของความรัก)
แล้วตรงจุดนี้เองที่อัตตาจอมเจ้าเล่ห์
(การเอาตัวเองเป็นที่ตั้งเริ่มทำงาน)
จิตใจจะถูกบดบัง และ ครอบงำทันที
จนไปหมกมุ่นอยู่กับเงื่อนไขตายตัว...
-การตามหาคนที่จะมาเติมเต็มความพอใจ
-การดีใจที่ได้คนตรงสเปค
-การพอใจที่ถูกรักและเอาใจใส่
-ความฟินที่ได้รับความเข้าใจ
-ความตื่นเต้นที่มีคนมาสนองความต้องการ
-รู้สึกปลอดภัยแบบปลอม ๆ เมื่อได้รับความใกล้ชิด
“มันหลอกจนเราเชื่อว่า...ทุกอย่างคือความรัก”
แล้วมันก็ยังลวงตา
ทำให้เรามองข้ามสัญญาณอันตราย
หรือ ละเลยความจริงบางอย่างที่กำลังบอกว่า
“ที่เจออยู่นั้น มันไม่ใช่ความรัก”
ผลจากการหลอกตัวเอง
หรือ ตกหลุมพรางเช่นนี้
มักจะนำทางชีวิตไปผิดทิศทาง
“พาไปเจอกับรักแย่ ๆ”
ซึ่งมีแต่ความพอใจ (เป็นเปลือกของความรัก)
แต่เนื้อในกลับกลายเป็นว่า...
-เค้าขาดความเข้าใจ เอาแต่เมินใส่
-เค้าไม่ใช่พื้นที่ความปลอดภัย เอาแต่กดดัน
-เค้าตรงสเปคก็จริง แต่อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข
-เค้าปากหวานก็จริง แต่ชอบทำร้ายร่างกายและจิตใจ
“เมื่อแผนที่ชี้ไปผิดทิศ...ชีวิตย่อมหลงทางเช่นนี้”
การจะเป็นอิสระจากแผนที่
ซึ่งเอาแต่ชี้ทางเดินอย่างมั่วซั่วแบบนี้
เราจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า
“เหตุใดเราถึงตั้งเงื่อนไขในความรัก”
แล้วเมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มตั้งเงื่อนไข
ย่อมหมายถึง “เรามีโจทย์ในใจที่ยังไม่ได้คลี่คลาย”
โจทย์ในใจเหล่านี้
ทำให้ใจของเราเกิดรูรั่ว หรือ เกิดช่องว่าง
(ถ้าไม่คลี่คลาย...ถมยังไงมันก็ไม่เต็ม)
มันคือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เราตกหลุมพรางความรัก
(ซึ่งแท้จริงแล้ว เราตกหลุมพรางเงื่อนไขของตัวเอง)
ดังนั้น
การให้คำนิยามใด ๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคำว่า...
“ตรงสเปค, ปลอดภัย, เข้าใจ, เอาใจใส่, เคียงข้าง ฯลฯ”
มันมักมาจากความกลัวที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ
รวมทั้งมาจากความเจ็บปวดที่ถูกกักเก็บไว้
“ทั้งกลัวทั้งเจ็บ”
จนต้องไล่ล่าหาคนที่ตรงตามเงื่อนไข
เพื่อมาอุดรูโหว่ หรือ เติมเต็มช่องว่างเหล่านั้น
“เอาความพอใจ...มาเติมเต็มความโหยหา”
ผลกระทบจากการตกหลุมพรางความรัก
จึงมักทำให้ชีวิตดิ้นไม่หลุดจากวงจรของความรักแบบพัง ๆ
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงล้วนเริ่มจาก
“การยอมรับว่า...ที่วิ่งหาอยู่นั้นไม่ใช่ความรัก”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา