10 พ.ค. 2021 เวลา 09:55 • ประวัติศาสตร์
เรื่องน่ารู้ในยุคกลาง:
สัตว์ต้องคดี
แม่หมูกับลูกของมันอีก 6 ตัวถูกศาลตัดสินลงโทษในข้อหาฆ่าคนตาย เหตุเกิดที่เมือง Lavegny ปี 1457 รูปนี้มาจากหนังสือชื่อว่า The Book of Days Photo: History Hit
การเกิดเป็นสัตว์ในยุคกลางไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์ ถ้าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเพื่อความเพลินเพลินแล้วล่ะก็ พวกมันมักจะหนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องถูกใช้แรงงานหรือถูกกิน แต่ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นพวกมันอาจถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด แล้วถูกนำตัวไปไต่สวน ถ้าพบว่ามีความผิดพวกมันจะถูกลงโทษถึงขั้นประหารชีวิตได้
1
ในยุคปัจจุบันถ้าสัตว์ก่อเรื่องโศกสลดไปทำร้ายมนุษย์จนตายหรือบาดเจ็บหนัก ในสังคมที่เจริญมาก ๆ หรือให้ความสำคัญกับชีวิตเพื่อนร่วมโลกพวกมันก็จะไม่ถูกทำร้ายใด ๆ แต่ถ้าในกรณีที่ปล่อยไว้ไม่ได้เพราะมันดุร้ายจะทำไปร้ายคนอื่นต่อมันก็มักจะถูกการุณฆาตด้วยการฉีดยาให้ตายอย่างปราณี
แต่ในยุคกลางของยุโรป เมื่อสัตว์ถูกกล่าวหาว่าทำผิดใด ๆ มันต้องถูกนำไปขึ้นศาลเพื่อไต่สวนเสียก่อน ซึ่งการไต่สวนและดำเนินคดีสัตว์ดำเนินไปในช่วงระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึงศตวรรษที่ 18 แต่จุดสูงสุดของกิจกรรมนี้เกิดขึ้นในระหว่างศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 16 สาเหตุที่สัตว์เมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดแล้วต้องนำไปไต่สวนเพราะคนสมัยนั้นเชื่อว่าอาชญากรรมใด ๆ ที่กระทำโดยสัตว์นั้นเป็นผลงานของภูติผีปิศาจ ซึ่งหากปล่อยไปโดยไม่ลงโทษก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ภูติผีปิศาจเข้ามาครอบงำเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์
มีการเขียนบันทึกไว้เป็นจำนวนไม่น้อย อย่างน้อยที่สุดเท่าที่มีหลักฐานบันทึกไว้นั้นมี 85 คดีที่เกิดขึ้นในยุโรปช่วงยุคกลาง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นที่ฝรั่งเศสกับสวิตเซอร์แลนด์ สัตว์ที่ถูกนำตัวไปขึ้นศาลเป็นเพราะไปฆ่าคนเข้ารวมไปถึงก่อคดีเล็กน้อยอื่น ๆ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นแปลกประหลาดแตกต่างกันไปมีตั้งแต่เป็นโศกนาฏกรรมไปจนถึงเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ซึ่งขบวนการไต่สวนในศาลบางทีกินเวลาหลายเดือนเพราะทนายของทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นผู้ที่น่าเคารพเชื่อถือยกเหตุผลมาโต้แย้งกันด้วยเหตุผลอันทรงความรู้
ดังนั้นในยุคกลางสัตว์จึงไม่ต่างอะไรจากคน ถ้าถูกสงสัยว่ากระทำผิดกฎหมายพวกมันก็จะถูกนำตัวไปดำเนินคดีได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสัตว์ที่ว่านั้นมีตั้งแต่สัตว์เลี้ยงปศุสัตว์ยันแมลง เช่น วัว ม้า หมู สุนัข แมว ปลาไหล หนู แมลงต่าง ๆ ฯลฯ
1
สัตว์ผู้กระทำผิดซ้ำ ๆ ต่อเนื่อง (เหมือนฆาตกรต่อเนื่องนั่นแหละ) มากที่สุดคือหมู ซึ่งมักถูกกล่าวหาและถูกตัดสินว่ามีความผิดเพราะไปเคี้ยวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหรือแม้กระทั่งไปกินเด็กเข้า ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าพวกมันมีความผิดและถูกลงโทษให้ถึงแก่ความตายด้วยการนำไปแขวนคอหรือไม่ก็ถูกนำไปผูกติดกับเสาแล้วเผา (แต่ไม่มีข้อมูลว่าหลังจากนั้นหมูที่น่าสงสารเหล่านี้ถูกนำไปรับประทานเป็นอาหารต่อไหม)
แล้วต้องไปทำอีท่าไหนบ้างสัตว์เหล่านี้ถึงถูกนำไปไต่สวนดำเนินคดี เรามาดูตัวอย่าง ‘ที่น่าสนใจ’ กันสัก 3-4 เรื่องว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในยุคกลางเชื่อว่าสัตว์มีความคิดและพฤติกรรมไม่ต่างจากคนดังที่ปรากฏในรูปนี้ ดังนั้นเมื่อมันทำผิดมันต้องรับโทษเช่นเดียวกับคน และการลงโทษก็ให้สวมชุดเหมือนกับคนเช่นกัน Photo: Medievalists.net
1. หมูผู้ฆ่าคน
เนื่องจากว่าหมูถูกระบุว่าเป็นผู้ต้องหาก่อความผิดต่อเนื่องมากที่สุด เราจึงมาดูคดีที่เกี่ยวกับหมูฆ่าคนกันก่อนสัก 3 เรื่อง
เหตุเกิดเมื่อปี 1457 ที่เมือง Savigny ในฝรั่งเศส หมูเพศเมียตัวหนึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรฆ่าเด็กชายอายุ 5 ขวบ ส่วนลูกของมันอีก 6 ตัวพบว่ามีเศษเลือดติดอยู่ตามตัวของพวกมัน เป็นไปได้ว่าอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำผิดครั้งนี้ ทั้งหมดจึงถูกนำตัวไปไต่สวนและพบว่ามีความผิด จึงถูกลงโทษด้วยการถูกแขวนคอ แต่คดีนี้มีการลดโทษให้ลูกหมู 6 ตัวเพราะยังไม่หย่านม ส่วนแม่ของพวกมันก็ถูกประหารไปตามระเบียบ
1
อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดในฟาร์มแห่งหนึ่งที่อยู่ทางตะวันออกของกรุงปารีส ตรงกับช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 1494 ลูกน้อยทารกของคนต้อนฝูงสัตว์ถูกฆ่าโดยหมูวัยละอ่อนตัวหนึ่ง เจ้าหมูถูกจับและถูกนำตัวไปคุมขังในฐานะนักโทษ และคดีนี้ถูกสอบสวนโดย Jehan Levoisier ผู้มีใบอนุญาตให้ประกอบอาชีพทางกฎหมายได้ ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าพ่อเด็กต้อนสัตว์ไปเลี้ยงส่วนแม่เด็กออกไปทำธุระข้างนอกโดยทิ้งเด็กไว้ที่เปล เจ้าหมูเข้ามาแล้วกัดกินเนื้อทั้งหน้าและลำคอของเด็กจนถึงแก่ความตาย ผู้พิพากษามีคำตัดสินให้หมูผู้ก่อความผิดต้องถูกแขวนคอแล้วเอาไปแขวนไว้บนตะแลงแกงสำหรับประจานนักโทษ
ถ้าจะเล่าเพียงว่าหมูโดนแขวนคอยังไม่ประหลาดมากพอ ที่ประหลาดไปกว่านั้นคือเมื่อถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตแล้ว ในวันประหารหมูที่ถูกตัดสินว่าทำความผิดจะถูกจับแต่งตัวในชุดที่เหมือนกับมนุษย์ ใส่เสื้อกั๊ก ถุงมือ กางเกงชั้นใน และสวมหน้ากากหน้าคน แล้วล่ามโซ่นำไปจัดการลงทัณฑ์ที่จัตุรัสของเมือง ในสมัยนั้นใช้หลักการตาต่อตาฟันต่อฟัน เจ้าหมูที่เคราะห์ร้ายนี้จะถูกทำให้บาดเจ็บเสียก่อนแล้วใช้มีดแยกชิ้นส่วนจากนั้นจึงนำไปแขวนคอ ซึ่งข้อมูลตรงนี้บันทึกไว้กับคดีที่เกิดขึ้นในเมือง Falaise ของฝรั่งเศสในปี 1386 ซึ่งเจ้าหมูตัวเมียนี้เที่ยวอาละวาดออกหากินทำลายข้าวของจนทำร้ายเด็กจนถึงแก่ความตาย ซึ่งมันถูกนำไปไต่สวนในศาลซึ่งมีนักกฎหมายว่าความปกป้องให้ แต่ไม่สามารถรอดพ้นความผิดที่ตัวมันก่อได้
2
การลงโทษหมูด้วยการแขวนคอ Photo: WIRED
2. ไก่ถูกย่างสดเพราะวางไข่
นอกจากหมูแล้วยังมีสัตว์อื่น ๆ อีกมากมายหลายชนิด เช่น ไก่ ก็โดนเช่นกัน
ดังในปี 1474 ศาลที่เมือง Basel ของสวิตเซอร์แลนด์ ตัดสินให้ไก่โต้งกระทำความผิดที่เป็น ‘อาชญากรรมที่ผิดธรรมชาติ’ เพราะมันวางไข่ จึงต้องถูกเผา มันต้องถูกนำไปผูกติดกับเสาแล้วเผาให้ตายเพราะก่ออาชญากรรมในการวางไข่นี้
เจ้าไก่โต้งผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าตัวเองถูกตราหน้าว่ามีความผิดฐานออกไข่ได้จึงถูกนำไปย่างสดที่เมือง Kohlenberg ด้วยการทำพิธีรีตองใหญ่โตเอิกเกริกเรียกผู้คนมาดูเป็นจำนวนมาก แต่เรื่องไม่ได้จบลงแค่นี้ คนที่ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตยังบอกอีกว่าเขายังพบไข่อีก 3 ฟองในตัวเจ้าไก่โต้งที่เคราะห์ร้ายรายนี้
3. เหล่าพวกหนูเจ้าจงมาขึ้นศาลเสียแต่โดยดี
สัตว์ที่ต้องคดีไม่ได้มีแค่สัตว์ใหญ่เท่านั้น ขนาดหนูและแมลงก็ยังไม่รอด สัตว์จำพวกหนูถูกนำไปไต่สวนอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะเพราะพวกมันไปขโมยกินผลผลิตที่รอการเก็บเกี่ยวบางส่วนของคน จึงต้องถูกลงโทษ ซึ่งเรื่องราวการขึ้นศาลของพวกมันน่าตลกขบขันดังกรณีต่อไปนี้
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 16 ชายผู้หนึ่งชื่อว่า Barthélemy de Chasseneuz ประกอบอาชีพเป็นนักกฎหมายที่คนนับหน้าถือตา เขาเดินทางไปทั่วยุโรป และได้เดินทางไปว่าความปกป้องลูกความที่เป็นหนู (ไม่ได้ระบุจำนวนว่าเท่าไหร่) ที่ถูกเรียกตัวไปขึ้นศาลในข้อหาทำลายพืชผลข้าวบาร์เลย์ในเมืองเก่าแก่ของฝรั่งเศสที่ชื่อว่า Autun
ในตอนนั้นเขาถ่วงเวลากับศาลโดยใช้ข้ออ้างหลายอย่างเพื่อเลื่อนการไต่สวนออกไป (และสำเร็จด้วย) เช่น บรรดาหนูมันแก่ตัวมากแล้วไร้เรี่ยวแรงจะมาขึ้นศาลได้ แถมเขายังร้องขอให้ชาวเมืองเก็บแมวให้อยู่แต่ในบ้านเพราะการปรากฏตัวของบรรดาเจ้าแมวเหมียวบนท้องถนนทำให้หนูลูกความของเขามาขึ้นศาลไม่ได้ เนื่องจากบรรดาเจ้าของไม่ต้องการกักบริเวณแมวเหมียวของพวกเขา คดีนี้จึงยกฟ้องไป
ในอีกกรณี บรรดาหนูที่ผู้คนไม่พึงประสงค์จะได้รับจุดจบจากการตัดสินคดีด้วยการได้รับจดหมายที่เต็มไปด้วยถ้อยคำรุนแรงขอให้พวกมันเฉดหัวตัวเองออกไปจากนิวาสสถานที่พำนักอยู่นี้ เป็นต้น
คดีเช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1519 ที่เมือง Stelvio ในเขตเทือกเขาอัลไพน์ ชุมชนนั้นประสบปัญหาพืชผลทางการเกษตรเสียหายเพราะหนูนา (หรืออาจจะเป็นตัวตุ่น) มาทำลาย พวกชาวบ้านจึงนำเรื่องนี้ไปฟ้องร้องต่อศาล ชายที่ชื่อ Hans Grinebner ได้รับมอบหมายให้ว่าความปกป้องฝ่ายจำเลยตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้ ฝ่ายโจทก์ชี้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นร้ายแรงต่อวิถีชีวิตของชาวนา ขณะที่ทนายฝ่ายจำเลยชี้แจงต่อศาลว่าการที่ลูกความของเขาขุดทุ่งนาเป็นประโยชน์ต่อดินแถมยังช่วยทำลายแมลงที่ทำลายพืชผลด้วย ท้ายที่สุดฝ่ายสัตว์ฟันแทะสามารถทำให้ผู้พิพากษาเอนเอียงจนปล่อยพวกมันไปด้วยการให้เนรเทศพร้อมกับสัญญาว่าจะให้เอกสารสิทธิ์ในการผ่านทางโดยไม่ถูกตะครุบโดยบรรดาหมาแมวในละแวกนั้นระหว่างการเดินทางถูกเนรเทศออกไป และบรรดาพวกที่หนูที่ตั้งท้องและหนูที่เป็นทารกจะให้เวลาถึง 14 วันในการอพยพออกไป
ยุโรปยุคกลางนั้นสกปรกโสโครกและเต็มไปด้วยหมูที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกับคน พวกมันจึงพัวพันกับอาชญากรรมฆ่าคน ในรูปเป็นภาพแสดงเด็กทารกนอนอยู่และมีหมูที่หิวโซเดินผ่านมาเลยกลายเป็นอาหารของพวกมัน Photo: WIRED
4. แมลงทำลายพืชผลต้องถูกอัปเปหิเนรเทศออกไป
ในยุคกลาง เป็นแค่แมลงก็อย่าหวังว่าจะรอดพ้นจากการต้องคดีที่ก่อไว้ ถึงอย่างไรก็ต้องไปขึ้นศาล เช่น ฝูงตั๊กแตนถูกตัดสินว่ากระทำความผิดได้ก็เพราะพวกมันดันไปกินพืชผลของคนเข้า
ในขณะที่พวกสัตว์เลี้ยงจะถูกนำตัวไปไต่สวนที่ศาลฆราวาส เหล่าบรรดาสัตว์ที่สร้างความรำคาญรบกวนคนจำพวกสัตว์ฟันแทะและแมลงจะถูกไต่สวนที่ศาลศาสนา เนื่องจากว่าสัตว์กลุ่มแรกนั้นถูกมองว่าอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของมนุษย์ แต่สัตว์ประเภทหลังถูกมองว่าถูกแทรกแซงโดยภูติผีปิศาจหรือสิ่งเหนือธรรมชาติจึงจำเป็นที่ต้องให้ฝ่ายศาสนามาตัดสินความเป็นธรรมให้ ในการนี้ คริสตจักรจึงได้ทำหน้าที่เป็นบริษัทรับกำจัดแมลงอันศักดิ์สิทธิ์อีกหน้าที่หนึ่งด้วย ดังเช่นพระสันตปาปา Stephen VI เคยประพรม ‘น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์’ อันเป็นยาฆ่าแมลงสมัยนั้นโดยรอบบริเวณชายขอบกรุงโรมส่วนที่เป็นชนบท
ในศาลศาสนา จะมีการประกาศบนแท่นสำหรับเทศน์ไปพร้อม ๆ กับการไต่สวน พร้อมกันนั้น แมลงจะถูกบอกกล่าวทั้งทางวาจาและลายลักษณ์อักษรว่าหมู่บ้านรอบข้างนั้นน่าอยู่กว่าเยอะ ไปอยู่หมู่บ้านอื่นเถอะ
ในปี 1478 ที่สวิตเซอร์แลนด์ ด้วงเจาะเมล็ดถูกดำเนินคดีเพราะพวกมันแสดงความมุ่งร้ายสร้างความหายนะให้แก่พืชผล หลังจากที่มีการว่ากล่าวตักเตือนต่อตัวด้วงไปมากมายพร้อมกับผู้ทรงฐานันดรศักดิ์ในชุมชนได้แต่เกาหัวแกรก ๆ ท่านบิชอปแห่ง Lausanne ได้ออกหนังสือขอให้หยุดกระทำการ โดยประกาศสั่งให้เหล่าด้วงให้หยุดทำลายพืชผล แน่นอนว่าเหล่าบรรดาด้วงย่อมเพิกเฉยต่อคำประกาศนี้ ดังนั้นท่านบิชอปจึงสั่งให้พวกแมลงผู้ต่อต้านเหล่านี้ออกจากแผ่นดินนี้ไปภายใน 6 วัน โดยประกาศว่าสิ่งมีชีวิตจำพวกนี้ไม่ได้เป็นผู้โดยสารบนเรือโนอาห์ที่พระเจ้าเคยช่วยมา ดังนั้นจึงสามารถถูกบัพพาชนียกรรมอัปเปหิออกไปได้ หากพวกมันปฏิเสธไม่ออกไป พวกมันจะต้องถูกสั่งให้มาปรากฏตัวที่เมือง Avenches เพื่อมาอธิบายการปฏิเสธที่จะเคลื่อนย้ายตัวออกไปนี้
จากคดีนี้ บันทึกไม่ได้ระบุว่าพวกมันโผล่หัวมาที่ Avenches ตามที่ท่านบิชอปออกคำสั่งหรือไม่ แต่ในปีต่อมาพวกมันก็กลับมาใหม่ และคริสตจักรก็ประณามการที่แมลงทำลายพืชพวกนี้ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องเพราะ ‘บาป’ ที่ผู้คนก่อไว้ ด้วยความบังเอิญ ท่านบิชอปบอกว่าบาปนี้สามารถชำระล้างได้ด้วยการจ่ายเงินบริจาคให้กับโบสถ์มากขึ้นกว่าเดิม
1
ถ้าคดีที่ยกตัวอย่างไปก่อนหน้านี้ยังแปลกไม่มากพอ กรณีที่ไม่ธรรมดาไปกว่านั้นคงจะเป็นการที่โลมาถูกไต่สวนดำเนินคดีที่เมือง Marseilles เมื่อปี 1596 น่าสงสารสัตว์จริง ๆ ที่ไม่ว่าจะเกิดมาในยุคไหนต้องตกเป็นเหยื่อของมนุษย์ตลอด
แต่ไม่ใช่ว่าการไต่สวนทุกคดีจบลงที่การกระทำทารุณต่อสัตว์หมด มีกรณีที่ลาตัวเมียตัวหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของการถูกคุกคามทางเพศ แต่เมื่อถูกไต่สวนคดีแล้วได้รับการประกาศว่าเป็นผู้บริสุทธิ์พ้นมลทินไป ภายหลังจากที่ได้รับการยืนยันอย่างแน่นหนักจากหัวหน้าของสำนักนางชีว่ามันนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องและมีความประพฤติที่ดี และยังมีกรณีที่ลากับหมูถูกตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิตในตอนแรก แต่เมื่อมีการอุทธรณ์จึงลดโทษมาเป็นการเฆี่ยนตีแทน
มีการวิเคราะห์ว่าเหตุใดในยุคกลางจึงมีการนำสัตว์ไปไต่สวนในศาล ซึ่งไม่น่าจะเป็นเพราะเวลานั้นผู้คนยังเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์เพียงอย่างเดียว มีผู้ให้คำอธิบาย 2 แนวทาง ประการแรกคือความเชื่อของศาสนาคริสต์ในเวลานั้นว่าพระเจ้ามอบอำนาจให้แก่มนุษย์เพื่อปกครองธรรมชาติ ดังนั้น การนำเอาสัตว์มาไต่สวนจึงเป็นวิธีการบังคับใช้อำนาจของมนุษย์เหนือสัตว์ทั้งปวงบนโลกนี้ และประการที่สองมีการอธิบายว่าช่วงเวลานั้นกฎหมายเริ่มมีการพัฒนาขึ้น จึงมีศาลและอาชีพนักกฎหมายเกิดขึ้นมากมาย และคนเหล่านี้ต้องมีงานทำ การดำเนินคดีสัตว์เป็นอีกวิธีที่ทำให้มีอะไรทำมากขึ้น แถมการว่าความให้แก่สัตว์เป็นโอกาสให้นักกฎหมายแสดงความเฉลียวฉลาดของตัวเองออกมาอีกด้วย
นอกจากนี้ ก่อนโลกเราจะมีความเจริญก้าวหน้าอย่างในปัจจุบัน ยุคกลางของยุโรปยังเต็มไปด้วยความเชื่อในไสยศาสตร์ ส่วนผู้กระทำความผิดสามารถกลบเกลื่อนความผิดของตนได้อย่างง่ายดาย และสัตว์ก็เป็นแพะรับบาปที่ง่ายที่สุดในเรื่องนี้ นี่คือความเป็นไปได้ที่จะตอบข้อสงสัยว่าหมูฆ่าคนได้จริงหรือไม่
สุดท้าย ถ้าอยากเพิ่มอรรถรสในการอ่านเรื่องนี้มากขึ้น มีหนังที่ทำเกี่ยวข้องกับกรณีที่หมูเป็นฆาตกรฆ่าคน ชื่อว่า The Hour of the Pig แต่ถ้าฉายในอเมริกาชื่อว่า The Advocate นักแสดงนำคือ Colin Firth ซึ่งมีตัวอย่างหนังดังนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา