10 พ.ค. 2021 เวลา 03:31 • ธุรกิจ
วางไม่ลง หนังสือสำหรับ CEO ทุกคน
นานแล้วที่ไม่เจอหนังสือที่เมื่อเริ่มอ่านหน้าแรกแล้ววางไม่ลง จนพบเล่มนี้กับ 81 หน้าแรกคืออ่านไปหายใจไม่ทั่วท้องไป Ben Horowitz เล่าประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการ tech startup ที่เขาร่วมก่อตั้งจนถึงวันที่ขายบริษัทได้ 1,650 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5 หมื่นกว่าล้านบาท)
ตลอด 81 หน้าแรกนี้เล่าแบบกระชับแต่เนื้อหาครบถ้วน หลาย ๆ ช่วงอ่านแล้วเหมือนธุรกิจกำลังดีไปได้สวย แล้วก็เจอหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ตอนที่อีก 48 ชั่วโมงจะปิดดีลขายบริษัทยังมาเจออุปสรรคสุดท้ายอีก คือกว่าจะถึงเป้าหมายนี่ลุ้นแล้วลุ้นอีก อ่านสนุกมากกกก
Ben Horowitz เป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุดคนหนึ่งใน Silicon Valley หลังจากก่อตั้งและขายบริษัทของตัวเองแล้ว เขาได้ก่อตั้งบริษัทลงทุนและได้ลงทุนกับบริษัทดัง ๆ อย่าง Airbnb Facebook Twitter Pinterest หนังสือเล่มนี้นอกจากจะเล่าเรื่องประสบการณ์ของเขาเองแล้วยังเป็นเหมือนคัมภีร์ให้กับ CEO ทุกคน
เรื่องที่โดนใจและมีประโยชน์มาก ๆ จากเล่มนี้มีดังนี้
‘ถ้าคุณไม่ชอบการเลือกระหว่างความเลวร้ายกับความหายนะ ก็จงอย่าเป็น CEO’
‘ความแตกต่างระหว่างสถานที่ทำงานที่น่าทำงานกับสถานที่ที่ไม่น่าทำงานคือ ในบริษัทที่ดี ผู้คนจะสามารถจดจ่ออยู่กับงานตัวเองและมั่นใจว่าพวกเขาทำงานของตัวเองได้ดี และเกิดผลดีกับทั้งตัวเองและบริษัท พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขโดยตระหนักว่างานที่พวกเขาทำนั้นมีประสิทธิภาพ สร้างประโยชน์ และสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ทั้งกับองค์กรและตัวเอง ในทางกลับกันในบริษัทที่แย่ คนที่ทำงานจะใช้เวลาไปกับการสู้กับข้อจำกัดในองค์กร ผู้มีอำนาจ และขบวนการที่มีปัญหา’
‘องค์กรที่เล่นการเมืองหนักที่สุดมี CEO ที่เล่นการเมืองน้อยที่สุด CEO ที่ไม่เล่นการเมืองเลยมักก่อให้เกิดพฤติกรรมการเล่นการเมืองแบบไม่ตั้งใจ’ การเมืองในองค์กรไม่ใช่เรื่องแย่หากสามารถจัดการได้ดีมันจะมีส่วนสร้างแรงพลักดันให้กับคนทำงานและมุ่งสู่เป้าหมายขององค์กรร่วมกัน
‘ปัญหาทุกอย่างในบริษัทเป็นความรับผิดชอบของ CEO โดยเฉพาะถ้าคุณเป็น CEO ผู้ก่อตั้ง ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้การนำของคุณ คุณไม่ใช่ CEO ที่ถูกจ้างมารับงานต่อ ที่จะโยนความผิดให้กับ CEO คนก่อนได้’
‘เมื่อกลุ่มผู้ก่อตั้งไม่กล้าพอที่จะตัดสินใจว่าใครควรทีอำนาจสูงสุด พนักงานจึงต้องทนลำบากกับการต้องขอความเห็นชอบมากกว่าหนึ่งครั้ง’
Founder อาจจะไม่ใช่ CEO ที่ดีเสมอไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพียงต้องเรียนรู้และฝึกทักษะการเป็น CEO ที่ดีให้ได้ ในกรณีของ Horowitz เมื่อสร้างบริษัทใหญ่ขึ้นจนเข้าตลาดหุ้นได้ ระหว่างทางนักลงทุนและผู้ถือหุ้นเรียกร้องให้หา CEO ที่มีประสบการณ์เคยบริษัทองค์กรใหญ่มาทำแทน ถึงขนาดโดนถามตรงตรง ๆ ว่า “เมื่อไหร่จะหา CEO ตัวจริงมาทำแทน” Horowitz ต้องทำงานอย่างหนักและพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถนำบริษัทต่อได้
คุณสมบัติของผู้นำที่ดีคือ
- ความสามารถในการสื่อสารวิสัยทัศน์
- ความทะเยอทะยานถูกประเภท
- ความสามารถในการทำวิสัยทัศน์ให้เป็นจริง
CEO ยามสงบและยามศึก
ยามสงบคือตอนที่บริษัทมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างมากในตลาดหลักและตลาดกำลังเติบโต ซึ่งสามารถมุ่งเน้นการขยายตลาดและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของบริษัทได้ ยามศึกคือตอนที่บริษัทต้องรับมือภัยคุกคามทั้งจากคู่แข่งและ disruption ของอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจต่าง ๆ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมหภาค (เรื่องนี้มีรายละเอียดอีกมาในหนังสือ พร้อมกรณีศึกษาต่าง ๆ อยากแนะนำบทนี้มาก ๆ) ตัวอย่าของ CEO ยามสงบคือ Eric Schmidt ของ Google ส่วน CEO ยามศึกคือ Larry Pages ของ Google ที่มาแทน Schmidt และ Steve Jobs ในการกลับมาเป็น CEO ครั้งที่สอง
ในองค์กรที่มี culture คุณภาพสูงนั้น ข่าวร้ายแพร่เร็ว ข่าวดีแพร่ช้า ส่วน culture คุณภาพต่ำ คนในองค์กรจะไม่อยากรับรู้ข่าวร้ายเลย
การประเมินว่า CEO สามารถบริหารบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ให้ดูว่าพนักงานสามารถทำงานของตัวเองให้สำเร็จได้ง่ายแค่ไหน (แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมในหนังสือ บทนี้ดีมาก ๆ เช่นกัน) ‘ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยากมากเพราะต้องอาศัยทักษะชั้นสูง ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบองค์กร การบริหารผลงาน โครงสร้างค่าตอบแทน ไปจนถึงโครงสร้างการสื่อสารที่ขับเคลื่อนและอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานทุกคน’
สำหรับ CEO แน่นอนว่าการดูกระแสเงินสดให้เป็นนั้นสำคัญมาก (ไม่ใช่แค่สั่งให้ CFO รายงานให้เท่านั้น คุณต้องดูเองเป็นด้วย) แต่แค่นั้นยังไม่พอ
CEO ที่ดีนอกจากดูเรื่องกระแสเงินสดเป็น ยังต้องคำนวณและคาดการณ์อนาคตของธุรกิจตัวเองด้วย สำหรับเคสของ Horowitz เขาโน้มน้าวให้ผู้ถือหุ้นเชื่อเขาแล้วยอมขาย product และ service ที่กำลังไปได้สวยสร้างกระแสเงินสดได้ดี เพื่อเปลี่ยนแกนของธุรกิจไปทำอย่างอื่นมี่แม้มี demand อยู่บ้างแต่ยังไม่ได้สร้างรายได้ให้มากมาย เพราะเขาคาดการณ์แล้วว่า product และ service ดังกล่าวในระยะยาวนั้นสดใสกว่าตัวที่ทำเงินในปัจจุบัน สุดท้ายทุกคนก็ได้เห็นว่าเขาตัดสินใจถูกจริง ๆ
เรื่องสุดท้าย เปรียบเปรยไว้ดีมาก
1
“หากจู่ ๆ ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง การนั่งเถียงว่าท้องฟ้าเป็นสีฟ้านั้นไร้ประโยชน์ คุณต้องเดินหน้าต่อไปและยอมรับความจริงว่าท้องฟ้าจะเป็นสีม่วงไปอีกสักพัก”
ชื่นชมคนแปลและเรียบเรียงว่าเขียนออกมาได้ดีมาก ๆ ถ้าจะติมีเรื่องเดียวคือ ตอนเปิดแต่ละบท จะมี quote เนื้อเพลง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของศิลปิน rap พวกเนื้อเพลงนี้แปลได้ไม่ค่อยดี ตัวอย่างมีตอนหนึ่งเขียนว่า “เพลงนี้สำหรับคนดำสวมฮูดทุกคน…” เขื่อว่าต้นฉบับน่าจะเป็น “… the hood” มากกว่า ที่เป็น slang ของชาว hip hop หมายความว่าละแวกถิ่นที่อยู่
สรุปแล้วเล่มนี้อ่านสนุกและมีประโยชน์ครับ แนะนำ ๆ
สุดท้าย การเรียนหรืออ่านมันง่าย แต่การปรับเอาไปใช้จริงนั้น จากมาก ๆ ผู้นำหลาย ๆ คนจะรู้เรื่องนี้ดี มันต้องใช้เวลา จิตที่แข็งพอสมควร และแน่นอนทักษะที่จำเป็น ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้นำทุกคน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา