12 ต.ค. 2021 เวลา 07:00 • ประวัติศาสตร์
NBA 104 - ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 25 - Portland Trail Blazers
ประวัติทีม Portland Trail Blazers
ฝั่งที่สังกัด - ฝั่งตะวันตก Northwest Division
ปีที่ก่อตั้ง - 1970
ชื่อเดิม -
Portland Trail Blazers (1970-ปัจจุบัน)
สถานที่ตั้ง - เมือง Portland รัฐ Oregon
ชื่อสนามเหย้า - Moda Center
เจ้าของทีม - Paul G. Allen Trust
CEO - Chris McGowan
GM (General Manager) - Neil Olshey
HC (Head Coach) - Terry Stotts
ทีมสังกัดใน G-League - ไม่มี
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก - 1 (1977)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป - 3 (1977, 1990, 1992)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division - 6 (1978, 1991, 1992, 1999, 2015, 2018)
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired - 12 (1, 13, 14, 15, 20, 22, 30 (สองคน), 32, 36, 45, 77)
ประวัติทีมโดยสังเขป
ทีมได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 และได้ทำการลงแข่งอย่างเป็นทางการฤดูกาลแรกในฤดูกาล 1970/71 พร้อมกับ Braves (Clippers ในปัจจุบัน) และ Cavaliers ซึ่งจบผลงานด้วยสถิติ 29-53 ถือว่าดีที่สุดในบรรดาทีมน้องใหม่ในลีกด้วยกัน
Blazers 1970 Logo
จากนั้นผลงานของทีมก็ลุ่มๆ ดอนๆ เรื่อยมา จบฤดูกาลด้วยสถิติที่แพ้มากกว่าชนะแทบจะทุกฤดูกาล จนกระทั่งฤดูกาล 1976/77 ทีมได้พลิกกลับมาจบฤดูกาลด้วยสถิติ 49-33 เข้ารอบได้เป็นครั้งแรก
แถมยังสร้างสถิติที่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้ตั้งแต่การเข้ารอบ Playoffs เพียงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมอีกต่างหาก จากการที่เอาชนะ Sixers ไปได้ในรอบชิงแชมป์ นำโดย Bill Walton ที่สามารถคว้า MVP FInals ไปครองได้สำเร็จ ซึ่งถือเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกและเพียงครั้งเดียวของทีมมาจนบัดนี้
NBA 1976/77 Champions
ในฤดูกาลถัดมาทีมก็ยังคงรักษาผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม Walton สามารถคว้ารางวัล MVP ประจำปีได้อีกด้วย แต่เจ้าตัวกลับต้องพบกับอาการบาดเจ็บในช่วง Playoffs ทำให้ไม่สามารถลงเล่นช่วยทีมได้อีก และนั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พ่ายแพ้ให้กับ Sonics (Thunder ในปัจจุบัน) ตกรอบเพียงแค่ Playoffs รอบสองเท่านั้น
หลังจากฤดูกาลนั้นเป็นต้นมา บรรดาแกนหลักชุดคว้าแชมป์ต่างก็ทยอยออกจากทีม ทำให้ตำนานความยิ่งใหญ่ของทีมได้หมดลงไปโดยปริยาย
ยุคของ Clyde Drexler
ในฤดูกาล 1978/79 ทีมพยายามสร้างแกนหลักชุดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มจากการ Draft ดาวรุ่งอย่าง Mychal Thompson เข้าสู่ทีม และพยายามเสริมผู้เล่นอีกมากมาย จนกระทั่งการมาของดาวรุ่งว่าที่ตำนานในอนาคตอย่าง Clyde Drexler ที่เข้าสู่ทีมในการ Draft ปี 1983 ทำให้ทีมเริ่มคาดหวังว่าจะเข้าสู่ยุคแห่งการไล่ล่าแชมป์ได้อีกครั้งเสียที
Clyde Drexler
แต่น่าเสียดายที่ทีมชุดนี้ก็ไม่สามารถทำให้สมหวังได้ ส่วนมากจะไปได้ไกลสุดแค่ Playoffs รอบแรกเท่านั้น ซ้ำร้ายทีมยังพลาดในการ Draft ปี 1984 ที่ตัดสินใจเลือก Sam Bowie เข้าสู่ทีม ทั้งที่มีระดับว่าที่ตำนานหลายคนทั้ง Michael Jordan, Charles Barkley หรือ John Stockton อยู่ในรายชื่อ
การเลือก Bowie เข้ามาและเจ้าตัวได้รับอาการบาดเจ็บจนพลาดการลงเล่นถึงสองปี ทำให้พัฒนาการของเจ้าตัวหยุดลง และกลายเป็นหนึ่งใน Draft Bust (Draft ที่ไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิทธิ์อันดับที่มี) ของทีมเลยทีเดียว แถมผลงานของทีมก็ไม่ได้ไปได้ไกลกว่าเดิมอีกต่างหาก
ทีมพยายามปรับปรุงขุมกำลังทั้งผู้เล่นและทีมผู้บริหารเรื่อยมา พอมาถึงฤดูกาล 1986/87 ทีมได้ใช้บริการของ Mike Schuler ในการเป็น Head Coach ให้กับทีม
ซึ่งผลงานในสองฤดูกาลแรกของโค้ชคนใหม่นับว่ามีสถิติที่ดี เพียงแต่กลับไม่สามารถผ่าน Playoffs รอบแรกไปได้เสียที เจ้าตัวจึงโดนปลดและ Rick Adelman ที่เป็นผู้ช่วยจึงได้รับบทบาทในการคุมทีมแทนที่นับแต่นั้น
Rick Adelman
ในฤดูกาล 1989/90 ทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 59-23 และผ่านเข้าไปได้ถึงรอบชิงแชมป์ลีกได้เป็นหนที่สองนับตั้งแต่ปี 1977 แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถผ่าน Pistons ไปได้ ชวดคว้าแชมป์สมัยที่สองลงไปอย่างน่าเสียดาย
ทีมยังไม่ละความพยายามที่จะคว้าแชมป์สมัยที่สองให้จงได้ จนกระทั่งในฤดูกาล 1991/92 ทีมสามารถกลับเข้าไปชิงแชมป์ลีกได้อีกครั้ง แต่ก็ต้องผิดหวังจากน้ำมือของ Bulls ภายใต้การนำทีมของ Michael Jordan พลาดแชมป์ไปอย่างฉิวเฉียดเป็นหนที่สอง
เพียงแต่หลังจากนั้น หนึ่งในแกนหลักอย่าง Danny Ainge กลับตัดสินใจย้ายออกจากทีม รวมไปถึงอาการบาดเจ็บที่คอยเล่นงานผู้เล่นแกนหลักกันถ้วนหน้า ทำให้ผลงานของทีมเริ่มดรอปลงเรื่อยๆ นับแต่นั้น
จนกระทั่งหลังจากที่ไม่สามารถผ่าน Playoffs รอบแรกได้หลังจากที่ฤดูกาล 1993/94 ได้สิ้นสุดลง ทีมจึงตัดสินใจเดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว ปล่อยทั้งโค้ช Adelman และ Drexler ที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนานออกไป การเปลี่ยนประธานผู้บริหารเป็น Bob Whitsitt พร้อมทั้งการเปลี่ยนสนามเหย้าใหม่ในฤดูกาล 1995/96 นับได้ว่าทีมได้เดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง
The "Jail" Blazers
หลังจากที่เดินหน้าเข้าสู่ยุคใหม่แล้ว ทีมก็พยายามเดินหน้าปรับปรุงขุมกำลังชุดใหญ่อีกครั้ง ผู้เล่นแกนหลักเดิมหลายคนถูกปล่อยออกจากทีม และถูกแทนที่ด้วยผู้เล่นอย่าง Rasheed Wallace, Kenny Anderson และดาวรุ่งอย่าง Jermaine O'Neal เข้าสู่ทีม (รวมไปถึง Scottie Pippen ในภายหลัง)
Rasheed Wallace
ถึงแม้ว่าผู้เล่นชุดนี้มักจะมีปัญหาในด้านพฤติกรรมนอกสนาม แต่ผลงานที่ดีก็ยังพอที่จะกลบเสียงวิจารณ์ลงไปได้อยู่บ้าง ทีมได้เข้ารอบชิงแชมป์สายตะวันตกสองฤดูกาลติดต่อกันในปี 1999 และ 2000 น่าเสียดายที่ไม่สามารถผ่านเข้าไปถึงรอบชิงแชมป์ลีกได้ทั้งคู่
แต่หลังจากนั้นมาผลงานของทีมก็เริ่มตกต่ำลง ในขณะที่พฤติกรรมนอกสนามของผู้เล่นชุดนี้กลับทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนก่อปัญหาให้กับทางทีมและทางลีกอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าทีมจะพยายามปล่อยผู้เล่นที่มีปัญหาบางส่วนออกจากทีม แต่พฤติกรรมย่ำแย่เหล่านี้ก็ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด แถมผู้บริหารอย่าง Whitlist ยังเดินหน้าเสริมทัพผู้เล่นที่มีปัญหาเหล่านี้เข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจพฤติกรรมนอกสนามอีกต่างหาก
ทำให้ในปี 2000 ทำให้ทีมเริ่มถูกเรียกว่า "Jail" Blazers (ล้อเลียนกับชื่อทีม Trail Blazers) จากพฤติกรรมฉาวโฉ่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ และสิ่งนั้นส่งผลเสียต่อทีมในระยะยาวทั้งผลงานในสนามและภาพลักษณ์ของทีม ยอดผู้เข้าชมในสนามกลับดิ่งลงเรื่อยๆ และหลายฝ่ายต่างก็ประกาศว่าจะไม่สนับสนุนทีมนี้อีกต่อไป
หลังจากที่โดนกดดันมากเข้า สุดท้ายแล้ว Whitsitt จึงยอมยกธงขาว ประกาศลาออกจากทีมในปี 2003 และแทนที่ด้วยผู้บริหารชุดใหม่อย่าง Steve Patterson ประธานฝ่ายปฏิบัติการ และ John Nash ที่เป็น GM ต่างก็ประกาศว่าจะลบล้างภาพลักษณ์ย่ำแย่ออกไปให้เร็วที่สุด
รายละเอียดเกี่ยวกับยุคนี้ สามารถติดตามได้จากทาง Main Stand นะครับ (ขอขอบคุณบทความจากทาง Main Stand มาด้วย ณ ที่นี้)
เข้าสู่การฟื้นฟูภาพลักษณ์ของทีม
สิ่งที่ทั้งสองคนได้พบนอกจากที่จะต้องรื้อและสร้างภาพลักษณ์กันใหม่แล้ว การเงินของทีมกลับต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเพดานค่าเหนื่อย ทำให้ทีมต้องประสบกับภาวะขาดทุนเรื่อยมานับแต่นั้น
ผู้เล่นหลายคนที่หมดสัญญา ทีมก็จำเป็นต้องปล่อยออกจากทีมเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้มากที่สุด หรือถ้าจะเซ็นสัญญาใหม่ที่ทีมเห็นว่าต้องเก็บตัวไว้ให้จงได้ ก็จะต้องมีการเจรจาค่าเหนื่อยให้สมเหตุสมผลมากขึ้น
ทีมเริ่มฤดูกาล 2003/04 ด้วยการ Draft ดาวรุ่งอย่าง Travis Outlaw ที่มีพื้นเพครอบครัวเป็นตำรวจเข้าสู่ทีม แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอะไรในลีกมหาวิทยาลัย (NCAA) ก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเน้นไปที่การสร้างภาพลักษณ์ใหม่อย่างแท้จริง
ส่วนใครที่มีปัญหาก็จะถูกปล่อยออกจากทีมทันทีอย่างไม่มีข้อแม้ อย่างเช่น Bonzi Wells ที่ไปก่อเรื่องในช่วงฝึกซ้อม สุดท้ายแล้วก็ถูกปล่อยให้ไปที่ Grizzlies ในที่สุด
รวมไปถึงหนึ่งในหัวโจกอย่าง Wallace ที่สุดท้ายแล้วก็โดนปล่อยออกไปที่ Hawks ในฤดูกาล 2004/05 หลังจากที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ว่าทางลีกกีดกันผู้เล่นเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันอย่างเขามากจนเกินไป ประกอบกับการที่เจ้าตัวยังคงมีพฤติกรรมที่ย่ำแย่เหมือนเดิม
สิ่งที่ทีมยอมแลกมา นั่นคือผลงานในสนามที่ดรอปลงจนเหลือ 41-41 และพลาดการเข้ารอบ Playoffs เป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีกเลยทีเดียว (อันดับ 1 คือ Sixers ที่ 22 ฤดูกาลติดต่อกัน)
แต่ปัญหาการเงินก็ยังรุมเร้าทีมอย่างต่อเนื่อง ทีมต้องปล่อยแกนหลักออกไปอีกจำนวนหนึ่งในฤดูกาล 2004/05 และแทนที่ด้วยดาวรุ่งรวมไปถึงผู้เล่นที่มีสัญญาไม่แพงเข้ามาทดแทน ทำให้ผลงานของทีมก็ได้ย่ำแย่ลงไปอีก
สถานการณ์ทางการเงินย่ำแย่จนถึงขั้นที่เจ้าของทีมเสียสิทธิ์ในสนามเหย้าของตัวเองไป และพยายามขายทีมออกไปให้เจ้าของใหม่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีการเปลี่ยนเจ้าของทีมแต่อย่างใดหลังจากนั้น (จนสุดท้ายแล้ว Paul Allen เจ้าของทีม ก็กลับมาซื้อสิทธิ์สนามเหย้ากลับมาในภายหลัง)
ในฤดูกาล 2005/06 ปัญหาในทีมก็ยังคงไม่จบสิ้น มีการทะเลาะกันของผู้เล่นภายในอย่างต่อเนื่อง นำโดย Zach Randolph และ Darius Miles ทำให้นอกจากผลงานของทีมจะดิ่งลงไปที่ 21-61 แล้ว ทั้งสองคนก็ถูกลดบทบาทลงจนกระทั่งถูกปล่อยออกจากทีมในเวลาต่อมา
การมาของ LaMarcus Aldridge และ Brandon Roy
สัญญาณแห่งการเกิดใหม่ของทีมได้เริ่มมาถึงในปี 2006 เมื่อทีมได้ว่าที่ Superstar ของลีกถึงสองคนอย่าง LaMarcus Aldridge และ Brandon Roy เข้าสู่ทีม
Brandon Roy
Roy ได้โชว์ฟอร์มที่ดีมากๆ จนคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมไปครอง พร้อมทั้งพาทีมจบฤดูกาลด้วยสถิติ 32-50 นับว่าเริ่มเห็นแสงสว่างของยุครุ่งเรืองเริ่มที่จะกลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ทีมก็เดินหน้าพลาดจนได้ หลังจากที่ได้ Draft อันดับ 1 ในปี 2007 แต่กลับเลือก Greg Oden เข้ามาสู่ทีม ทั้งที่มีว่าที่สุดยอดผู้เล่นของลีกอย่าง Kevin Durant กำลังรอโอกาสอยู่ ซึ่งหลังจากเข้าสู่ทีม เขาก็ได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถลงเล่นได้ตลอดฤดูกาล 2007/08 ทันทีจากการที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดเข่า
อย่างไรก็ดี ผลงานในสนามถือว่ายังทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทีมเปิดฤดูกาลด้วยสถิติ 13-2 นับได้ว่าดีที่สุดในลีก และจบฤดูกาลด้วยสถิติ 41-41 เรียกได้ว่าดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วสำหรับทีมชุดนี้
ในฤดูกาล 2008/09 ในที่สุดทีมก็ได้ Oden กลับมาลงเล่นหลังจากที่บาดเจ็บจนพลาดไปทั้งฤดูกาล รวมไปถึงทีมยังพยายามเติมขุมกำลังให้สมบูรณ์ขึ้นอีก จนทีมทำผลงานในฤดูกาลปกติได้ 54-28 และผ่านเข้ารอบ Playoffs ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา น่าเสียดายที่ต้องตกรอบแรกไปอย่างรวดเร็ว
แต่โชคร้ายก็เกิดขึ้นจนได้ ในฤดูกาล 2009/10 อาการบาดเจ็บได้เล่นงานบรรดาผู้เล่นแกนหลักกันอย่างถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น Oden, Rudy Fernandez รวมไปถึง Nicolas Batum ที่มีส่วนสำคัญกับฤดูกาลก่อน แม้กระทั่ง Roy และ Aldridge ยังต้องทนเล่นแบบฝืนอาการเจ็บทั้งคู่ ทำให้มีสภาพไม่สมบูรณ์นัก อย่างไรก็ดี ทีมยังจบด้วยสถิติ 50-32 แต่ก็ยังไม่สามารถผ่าน Playoffs รอบแรกไปได้เช่นเดิม
ทีมพยายามแก้ปัญหาการบริหารผู้เล่นที่บาดเจ็บในฤดูกาลถัดมา แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก Oden ต้องเข้ารับการผ่าตัดและปิดฤดูกาลไปอีกครั้ง รวมไปถึง Roy ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดในช่วงกลางฤดูกาลเช่นกัน แต่ก็ทำให้ Aldridge ได้ระเบิดฟอร์มจนกระทั่งเป็นปีที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในอาชีพของเขาเลยทีเดียว
LaMarcus Aldridge
ทีมพยายามแก้ไขปัญหาอาการบาดเจ็บด้วยการเติมผู้เล่นเข้ามาเสริมทัพ ไม่ว่าจะเป็น Wesley Matthews และ Gerard Wallace ที่เป็นผู้เล่นมากฝีมือทั้งคู่ ก่อนที่จะยังสามารถประคองทีมเข้ารอบ Playoffs ไปได้ด้วยสถิติ 48-34 แต่ก็ยังไม่ผ่านรอบแรกใน Playoffs เช่นเคย
ฤดูกาล 2011/12 ในที่สุด Roy ก็ไม่สามารถทนต่ออาการบาดเจ็บเรื้อรังที่ยื้อมานานหลายปี ตัดสินใจเลิกเล่นทั้งที่อายุยังไม่ถึง 30 ปีด้วยซ้ำ ในขณะที่ Oden ก็เจอกับอาการบาดเจ็บเรื้อรังเล่นงานเช่นเดียวกัน ทำให้ทีมพยายามหาทางออกด้วยการเซ็นอดีตผู้เล่นสำรองยอดเยี่ยมแห่งปีอย่าง Jamal Crawford เข้าสู่ทีม รวมไปถึงการปรับขุมกำลังในช่วงกลางฤดูกาล แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบ Playoffs ได้อย่างที่คาดหวังไว้
ยุคของ Damian Lillard
ในการ Draft ปี 2012 ทีมพยายามที่จะคว้าสิทธิ์การ Draft อันดับ 6 มาจาก Nets ด้วยการส่ง Wallace ไปให้ และใช้สิทธิ์นั้นในการคว้าตัวว่าที่แกนหลักชุดปัจจุบันของทีมอย่าง Damian Lillard เข้าสู่ทีม
Damian Lillard
ในฤดูกาล 2012/13 จากการที่แกนหลักอย่าง Aldridge, Matthews และ Batum ต่างก็ผลัดกันได้รับบาดเจ็บ ทำให้ Lillard กลายเป็นผู้เล่นที่สามารถโชว์ฟอร์มจนยึดตัวจริงได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับการคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมไปครองได้แบบไม่มีข้อกังขา ถึงแม้ว่าจะทำผลงานได้เพียง 33-49 ก็ตาม
เมื่อเห็นว่า Lillard สามารถเป็นแกนหลักในอนาคตระยะยาวได้ ทีมจึงเริ่มมองหาคู่หูในระยะยาวให้กับเขาด้วยเช่นกัน เรื่องจึงลงเอยในปีถัดมาที่ทีมได้ตัดสินใจ Draft CJ McCollum เข้าสู่ทีม และทำให้เกิดคู่หูแนวหลังยุคใหม่ของทีมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
CJ McCollum
คู่หูคู่นี้ได้ลงเล่นร่วมกันตั้งแต่ปีแรก และช่วยกันทำให้ผลงานของทีมโดยรวมดีขึ้นเป็นอย่างมาก ทีมจบฤดูกาล 2013/14 ด้วยสถิติ 54-28 และสามารถผ่านเข้าสู่รอบสองใน Playoffs ได้อีกครั้งในรอบหลายปี ก่อนที่จะพลาดท่าถูก Spurs เขี่ยตกรอบในท้ายที่สุด
ฤดูกาล 2014/15 ทั้งสองคนรวมถึง Aldridge ก็เริ่มโชว์ฟอร์มเป็นแกนหลัก Big 3 ให้กับทีมได้อย่างเต็มที่มากขึ้น ถึงแม้ว่าผู้เล่นคนอื่นจะยังคงโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอยู่เป็นระยะ แต่ก็ยังสามารถจบฤดูกาลด้วยสถิติ 51-31 พร้อมกับการกลับมาคว้าแชมป์ Division ได้อีกครั้ง แต่ผลงาน Playoffs กลับตกรอบแรกไปอย่างน่าผิดหวัง
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน
น่าเสียดายที่ฤดูกาลถัดมา ทีมกลับต้องเสียผู้เล่นระดับตัวจริงไปหลายคน หนึ่งในนั้นคือ Aldridge ที่ย้ายไปเล่นให้กับ Spurs แทน ทำให้ทีมเหลือแกนหลักจากยุคนั้นเพียงแค่ Lillard กับ McCollum เท่านั้น แต่ทั้งสองคนก็ยังคงเป็นคู่หูที่เชื่อใจกันได้จนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่ทีมต้องตกรอบแรก Playoffs มาสามฤดูกาลติดต่อกัน ในที่สุดเมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2018/19 ทีมชุดนี้ก็สามารถทะลุไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ก็ไม่สามารถต้านทานความร้อนแรงของ Warriors ลงได้ ต้องถูกกวาดตกรอบไปอย่างเจ็บปวด
น่าเสียดายที่โอกาสแบบนั้นยังไม่กลับมาในฤดูกาลถัดไป ถึงแม้ว่าจะเข้ารอบเหมือนปาฏิหาริย์จากการเอาชนะใน Play-in Tournament มาได้ แต่ก็ต้องตกรอบแรกไปอย่างรวดเร็วเช่นเคย
เช่นเดียวกันกับฤดูกาลล่าสุด 2020/21 ที่ทีมต้องมาตกรอบแรกอย่างรวดเร็วเช่นเดิม ทำให้สุดท้ายแล้วทีมจึงตัดสินใจแยกทางกับ Terry Stotts หลังจากที่อยู่ทำทีมชุดนี้มากับมือมานานหลายปี และแต่งตั้ง Chauncey Billups ขึ้นมาแทนที่ ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกับขุมกำลังของทีมไปอย่างไรบ้าง
ถ้าชอบก็ฝาก Share และกดติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา