21 พ.ค. 2021 เวลา 12:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ผลตอบแทนจากการลงทุนใน “หุ้น”
Cr: Pixabay.com
ในยุคที่ดอกเบี้ยธนาคารกลายเป็นทางเลือกสุดท้ายของการเก็บออม (จนบางคนถึงกับขนาดบอกว่าเอาเงินใส่ตุ่มฝังดินไว้เหมือนเดิมดีกว่า)
ผู้คนส่วนใหญ่จึงหันไปมองการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทน (Return) ที่เวิร์คกว่า...และอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนที่ได้รับความนิยมก็คือ การลงทุนใน “หุ้น”
เนื่องจากผู้ลงทุนมีโอกาสที่จะได้รับทั้ง “ผลกำไรส่วนต่างจากราคาหลักทรัพย์” (Capital Gain) และ “เงินปันผล” (Dividend)
แล้วทั้งสองอย่างจะมีการได้มาอย่างไรบ้าง ???
Cr: Pixabay.com
## ยกตัวอย่างการคำนวณ Capital Gain ##
Capital Gain = (ราคาล่าสุด – ราคาเริ่มต้น) / ราคาเริ่มต้น
สมมุติว่าคุณได้ซื้อหุ้นบริษัท DOY เมื่อปีที่แล้วที่ราคา 100 บาท เป็นจำนวน 100,000 หุ้น คิดเป็นเงินทั้งหมด 10,000,000 บาท
หนึ่งปีผ่านไป หุ้น DOY ที่คุณถืออยู่ได้ปรับตัวสูงขึ้น มีราคาอยู่ที่ 130 บาท คุณเลยตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดออกไปเพื่อทำกำไร และได้รับเงินกลับมา 100,000 x 130 = 13,000,000 บาท
สรุปได้ว่าคุณได้ผลกำไรส่วนต่างจากราคาหุ้น หรือที่เรียกกันว่า “Capital Gain” ทั้งหมด 3 ล้านบาท คิดเป็น (130 – 100) / 100 = 0.3 หรือ 30%
หมายเหตุ: ยังไม่รวม Commission, Trading Fee, Clearing Fee, Vat. ที่ต้องหักออกไปนะครับ
## ยกตัวอย่างการคำนวณ Dividend ##
สามารถคำนวณได้จากการนำ เงินปันผล / ราคาของหุ้น x 100 = Dividend Yield จะได้ออกมาเป็นอัตราผลตอบแทนคิดเป็น % จากเงินลงทุน
Cr: Pixabay.com
ยกตัวอย่างเช่น หุ้น DOY จ่ายเงินปันผลที่ 10 บาทต่อหุ้น โดยมีราคาอยู่ที่ 100 บาท Dividend Yield ของหุ้น DOY ก็จะเท่ากับ 10% สามารถตีความได้ว่า นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลคิดเป็น 10% ต่อปี
หมายเหตุ: เงินปันผลจากกำไรสุทธิของบริษัทนั้นๆ ที่เราลงทุน จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ซึ่งตามกฎหมายถือเป็น “การเสียภาษีซ้ำซ้อนจากกำไรก่อนเดียวกัน” ที่กิจการเสียภาษีจากกำไรสุทธิของตนไปแล้วรอบหนึ่ง รัฐจึงอนุญาตให้ขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้บางส่วนครับ
แต่ถ้ากรณีบริษัทนั้นๆ ได้รับการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI แล้วไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนั้น นักลงทุนก็ไม่สามารถขอเครดิตภาษีเงินปันผลคืนได้ครับ
อย่างไรก็ตาม ต้องอย่าลืมคำนึงถึงความผันผวนของราคาหุ้นที่อาจส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนรวมด้วยนะครับ
นี่ก็คงเป็นเพียงข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นทั่วไปที่นักลงทุนควรจะต้องทำความเข้าใจ เพราะปัจจุบันนักลงทุน (มือใหม่) จำนวนมากมองตลาดหุ้นเสมือนทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่เมื่อฉันซื้อแล้ว “ฉันต้องได้กำไรๆๆๆ”
ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงของการลงทุน บางครั้งมันก็ไม่ได้สวยงามเสมอ หากตัดสินใจพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจจะ *ติดดอยเดียวดายได้
การศึกษาข้อมูลหุ้นของแต่ละบริษัทอย่างละเอียด และเข้าใจความเป็นไป
เป็นมาของตลาดหุ้นอย่างแท้จริง เลือกลงทุนใน “จังหวะที่ใช่กับหุ้นที่ชอบ” น่าจะช่วยลดทอนความเสี่ยงลงไปได้บ้างครับ...
เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง โปรดสังเกตคำเตือนของตลาดฯ ก่อนคลิ๊ก/โทรหาโบรกฯ (เพื่อซื้อหุ้น) ทุกครั้ง
Cr: moneymax.ph
## คำสำคัญ ##
*ติดดอย = ซื้อหุ้นมาในราคาสูง จนจำเป็นต้องถือหุ้นไว้เพราะไม่อยากขายหุ้นแบบขาดทุน โดยสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากตำแหน่งของราคาหุ้นบนกราฟ ซึ่งเมื่อเราซื้อหุ้นใน (ราคา) ตำแหน่งสูงๆ แล้วเวลาต่อมาราคาลดลง พอดูราคาในรูปแบบกราฟแล้วก็จะเหมือนรูปภูเขาที่เราติดอยู่บนนั้น หรือเรียกกันในวงการหุ้นอย่างแพร่หลายว่า “ติดดอย” นั่นเอง...
Ref:
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โฆษณา