1 มิ.ย. 2021 เวลา 13:45 • ท่องเที่ยว
" เคยโดนฟ้าผ่ามั๊ย ? " ⚡
" ผมเคยแต่รอดมาได้ เพราะ... "
ณ บนยอดเขาคิชฌกูฏ
#เรื่องเล่าจากคลังภาพ #ลัดเลาะ #สาระเร็ว
#ความรู้รอบตัว #ความรู้รอดตาย
3
สื่อสมัยนี้มีให้ช่องทางให้เลือกรับชมกันหลากหลาย และมีเนื้อหาให้เลือกเสพกันตามรูปแบบของจริตแต่ละบุคคล โดยไม่จำกัดเวลารับชม
1
ผิดกับสมัยก่อน (ย้อนไป 18ปี) ที่เนื้อหาถูกผลิตขึ้นมาด้วยมือของสื่อมหาอำนาจ การรับชมรายการต่าง ๆ ก็เลยเป็นเรื่องของความนิยม แต่ก็ว่าไม่ได้เพราะปากท้องต้องกิน ลูกน้องต้องเลี้ยง ทำรายการมาไม่มีคนดูก็คงได้ขาดทุนกันย่อยยับ
2
การจะได้รับสาระความรู้จากสื่อหลักอย่างโทรทัศน์และวิทยุ ต้องอาศัยจังหวะชีวิตที่ไม่สอดคล้องกับคำว่า prime time ซึ่งบางครั้งมาในรูปแบบสกู๊ปข่าวสั้น ๆ
และมีสกู๊ปอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ผ่านหูผ่านตาผมแค่ไม่กี่นาที แต่กลับเป็นเรื่องราวที่ช่วยชีวิตผมให้รอดมา เขียนบทความในวันนี้ได้...
22 มีนาคม 2003 บนยอดเขาคิชฌกูฏ
มีนาคม 2003 (หากเวลาในกล้องผมบันทึกไม่ผิด) ผมกับภรรยา(ตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่) และชาวคณะอีก 3 คน เดินทางมายังเขาคิชฌกูฏจังหวัดจันทบุรี เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาท ที่หนึ่งปีจะมีครั้ง ให้เป็นศิริมงคล ก่อนจะลาจากชีวิตนักศึกษาสู่สังคมแห่งการทำงาน
เราออกเดินทางกันแต่กลางดึกวันที่ 21 มีนาคม 2003 เพื่อมารอคิวขึ้นเขา
ณ จุดนี้ แรงศรัทธาทำให้ที่นี่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน และยังทำให้การจัดคิวเพื่อขึ้นสู่ยอดเขาคิชฌกูฏดูจะล่าช้าจนเราต้องนั่งรอกับพื้นนานหลายชั่วโมง
ความเบื่อหน่ายและความเพลียรุมเร้า จนเราเลือกใช้วิธีไหนก็ได้ขอให้ได้ขึ้นไป ครั้นพอได้คิวแล้วก็มีรถมาส่งเรา ณ ตีนเขาก่อน จากนั้นก็รอต่อคิวขึ้นรถกระบะ 4x4 =16 เพื่อไปให้ถึงยอด แต่เราก็ไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว
จึงตัดสินใจเดินฝ่าความมืดไปด้วยแสงจากตะเกียงน้ำมันที่จุดตามทาง กับไฟฉายคนละกระบอก สภาพไม่ต่างอะไรกับการมาเดินป่า ในตอนเช้ามืดเพื่อไปรอชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้น
ทางเดินขึ้นเขาคิชฌกูฏตอนเช้ามืด
สภาพอากาศในวันนั้นมีฝนตกบาง ๆ ตลอดทางที่เดิน และมีหมอกจากฝนปกคลุมทั่วเขา เราก็แอบหวั่น ๆ ว่าฝนมันจะหนักขึ้นเพราะร่มก็ไม่มี แต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่ได้หนักมากมายอะไร พอให้รู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่แทรกซึมเข้ามาถึงโคนผมบ้างบางครั้ง
เราพักบ้างเดินบ้างใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมง ก็มาถึงยังจุดที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาท
ตอนนั้นเป็นเวลาเช้าแล้ว แสงสว่างเผยให้เห็นผู้คนจำนวนมหาศาลบนเขาลูกเล็ก ๆ ที่เดินทางกันมาด้วยจิตศรัทธาอันเหนียวแน่น จนไม่มีที่เหลือแม้แต่จะให้นั่งพักตรงไหนได้
ผู้คนมาสักการะรอยพระพุทธบาท บนยอดเขาคิชฌกูฏ
ณ จุดนี้ทุกขั้นตอนต้องใช้เวลานาน ทั้งการไปรับธูปเทียนดอกไม้และการแทรกตัวเข้าไปไหว้ขอพร กว่าจะได้ก็ต้องยืนขาแข็งอดทนรอจนบวดไปถึงเอ็นร้อยหวาย
เมื่อผ่านความทุกข์ระทมมาพักใหญ่ เราก็ได้สักการะพระพุทธบาท ด้วยวิธีการตามคำแนะนำของคนข้าง ๆ จนครบถ้วนกระบวนความ
ถึงแม้จะเหนื่อยล้าแสนสาหัส เพราะอดนอนและเดินขึ้นเขามา แต่ก็รับรู้ถึงพลังใจที่ไหลผ่านบทสวดและดอกไม้ธูปเทียนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้พอมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง
เสร็จแล้วเราไปหามุมเล็ก ๆ พอให้นั่งพักเหนื่อยและงีบหลับได้ซักหน่อย ก่อนจะเดินไปต่อยังจุดสุดของเขาที่เรียกว่า "ผ้าแดง" อันเป็นจุดที่คนมักจะนำผ้าสีแดงที่เขียนคำขอพรมาผูกไว้ และเป็นจุดชมวิวที่อยู่สูงขึ้นไปอีก
แม้จะเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่กลุ่มหมอกและเมฆฝนดูไม่มีทีท่าว่าจะยอมออกไปจากเขาลูกนี้แต่โดยดี เราจึงตัดสินใจไม่รอฟ้ารอฝนลุกขึ้นเดินหน้าต่อไปยังจุดผ้าแดง
เมฆหมอกบนเขาคิชฌกูฏ
เส้นทางนั้นเป็นการเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ บนทางดิน และยิ่งเดินขึ้นไปเท่าไรฝนก็ยิ่งหนาเม็ดขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเป็นฝนที่หนักกว่าเดิมมาก ขืนไปต่อคงได้เปียกแน่ 🌧️
บรรยากาศโดยรอบเขาคิชฌกูฏ
*** ต่อจากนี้จะไม่มีภาพให้ดูแล้ว รบกวนผู้อ่านใช้จินตนาการครับ...💭
เรารีบจ้ำอ้าวจนมาเจอเพิงสังกะสีเล็ก ๆ และมีกำแพงผาหินอยู่ด้านข้าง ซึ่งมีพวงสายไฟพร้อมหลอดไฟพาดยาวเป็นกิโล ไว้คอยส่องแสงสว่างให้คนที่มาถึงตั้งแต่ตอนกลางคืน พวกเราและคนอื่น ๆ จึงมากระจุกตัวหลบอยู่ใต้เพิงสังกะสีนี้ราว 10 คน
ตอนนี้เราอยู่ระดับเดียวกับเมฆและฝนก็ตกพรำ ๆ อีกลมพัดเอาความเย็นชื้นเข้ามาปะทะกายจนหนาวสั่น ตามด้วยการมาของฟ้าร้องและฟ้าแลบเป็นระยะ
⛈️ เสียงฟ้าร้องยิ่งดังหนักแน่นขึ้น และแสงของฟ้าแลบยิ่งทวีความแสบตารุนแรง จนวินาทีนั้น...
เกิดฟ้าผ่า และผมมองเห็นกระแสไฟฟ้าที่วิ่งมาตามสายไฟด้วยความเร็วดุจกระสุนปืน แล้วสะเก็ดไฟฟ้าก็กระโดดออกจากสายไฟมาโดนที่หัวผม 😖
ถึงจะไม่รุนแรงมากแต่ก็สร้างความเจ็บให้ได้พอควร หลังจากนั้นหลายคนในเพิงแห่งนี้ก็โดนสายฟ้าคล้าย ๆ กันมาเป็นระลอก ที่แขนบ้าง หลังบ้าง จนความหวาดกลัวปกคลุมไปทั่วเพิง 😨
พวกเราต่างคอยระวังว่า สายฟ้ามันจะมาทางไหนจะหลบยังไง มันจะรุนแรงขึ้นหรือไม่ แต่นี่มันคือสายฟ้าไม่ใช่ลูกบอล ไม่มีใครจะเร็วพอที่จะหลบมันได้ทัน
และในขณะที่เรายืนตัวสั่นรอสายฟ้ารอบถัดไป ผมจึงตั้งสติแล้วลองคิดทบทวนว่า อะไรบ้างที่เป็นปัจจัยทำให้สายฟ้าวิ่งมาหาพวกเรา 🤔
แล้วในขณะนั้น ก็มีสิ่งหนึ่งแว๊บเข้ามาในหัว มันเป็นเรื่องของสกู๊ปข่าวสั้น ๆ ที่ผมเคยได้ยินมาเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินชื่อคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แน่นอนว่าเราใกล้ชิดกับมันทุกวัน
ถ้าจะให้ย่อยลงไปชัด ๆ ก็คงเป็นช่วงความถี่ที่เรียกว่าไมโครเวฟ แต่ไม่ใช่เรื่องหุ่งอุ่นตุ๋นต้มนึ่ง นะครับ ผมหมายถึงสัญญานโทรศัพท์มือถือที่เราใช้กันนี่แหละ 📶
ในสกู๊ปข่าวที่ผมได้ยินมาวันนั้น ได้บอกเล่าเกี่ยวกับการเหนี่ยวนำไฟฟ้าของสัญญาณมือถือ และอันตรายของมันหากไปอยู่ใต้สายไฟแรงสูง
และทันทีที่ประมวลผลเหตุการณ์ บวกความน่าจะเป็นเสร็จเรียบร้อย ผมจึงตัดสินใจบอกทุกคนที่ตรงนั้นว่า
📢 " ทุกคนครับ ปิดโทรศัพท์มือถือด้วยครับ"
โดยอัตโนมัติ... ทุกคนในเพิงสังกะสีแห่งนั้นที่มีโทรศัพท์มือถือ ต่างเข้าใจในทันทีว่านี่เป็นการลดโอกาสที่สายฟ้าจะวิ่งมาหาเราอีก จึงพร้อมใจกันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาปิดเครื่องกันโดยพร้อมเพรียง 📴
ดูเหมือนจะได้ผล จากนั้นก็ไม่มีสายฟ้าวิ่งมาหาพวกเราอีกเลย พวกเราจึงรออยู่ที่เพิงนั้นเพื่อให้ฝนซาก่อน และก็ไม่คิดจะไปต่อแล้ว
แต่ในขณะที่เรารอ ก็มีพ่อแม่ลูกกลุ่มหนึ่ง เดินประคองกันลงมาจากทางผ้าแดง แล้วมาพักที่เพิงแห่งนี้
พวกเราสังเกตเห็นว่าคนเป็นพ่อมีอาการตัวสั่นและอ่อนแรงมาก ทราบทีหลังว่าเขาโดนฟ้าผ่าแต่ดูแล้วน่าจะหนักกว่าที่เราโดนมา 🤕 ผมจึงบอกให้เขาปิดมือถือก่อน แล้วเราจึงช่วยกันปฐมพยาบาลด้วยผ้าผืนเล็ก ๆ และสิ่งที่เรามีติดตัวกันมา
ที่น่าตกใจกว่านั้น พอผ่านไปสักพักก็มีคนหามเปลผู้ป่วยที่มีผ้าห่อตัวมาอย่างมิดชิด เดินลงมาจากทางยอดเขาผ้าแดง เราไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรมากนัก 😟
แล้วสายฝนก็เริ่มผ่อนปรนให้เราออกไปจากที่นี่ได้ ซึ่งก็เป็นเวลาบ่ายแก่ ๆ แล้ว เราจึงรีบโบกมือลา แล้วออกเดินทางเพื่อเตรียมกลับภูมิลำเนาไปพร้อมกับความระทึกขวัญและความอ่อนล้าจากสิ่งต่าง ๆ ที่ได้ผ่านมา
เรื่องราวที่เป็นสาระความรู้ บางทีมันผ่านหูผ่านตาเรามาโดยบังเอิญ โชคดีที่ครั้งนั้นผมตั้งใจฟังแล้วจับใจความเอามาเก็บไว้ในหัว ให้ได้ขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์ยามคับขัน
ยังมีอีกหลายเรื่องที่อาจจะผ่านมาในสมองแล้ว แต่ยังไม่ถึงคราวจะได้หยิบเอามาใช้งาน
และหากเมื่อใดที่เราตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ให้รีบดึงสติกลับมาให้ทัน แล้วมองหาปัจจัยแวดล้อมควบคู่กับความรู้ที่มี มันอาจทำให้เรารอดจากเหตุร้ายนั้น ๆ ได้
ขอสติจงอยู่คู่ท่าน...
เขียนโดย โจน ทะยาน ตะลุย
อีกช่องทางติดตามลัดเลาะ
โฆษณา