26 พ.ค. 2021 เวลา 09:59 • ความคิดเห็น
ทัศนคติต่อผู้ชายที่ดูแลตัวเองและเพศที่สาม
บทความนี้ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นะครับ เป็นบทความนอกเรื่อง แต่นานๆ ทีก็อยากจะเขียน แชร์มุมมอง ทัศนคติต่อเรื่องต่างๆ บ้าง
ค่านิยมเรื่องความเป็นชายในปัจจุบันกับในอดีตนั้นค่อนข้างจะต่างกันมาก
ถ้าในอดีต ชายชาตรีก็น่าจะเป็นชายหนุ่มผิวแทน ร่างใหญ่ มีกล้ามเป็นมัดๆ ดูเข้ม ดุ แต่ผู้ชายในยุคปัจจุบันนั้น คือชายหนุ่มร่างเล็ก บาง ไม่จำเป็นต้องมีกล้ามใหญ่ ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน แต่งตัวจัด
ผมสังเกตว่าในยุคนี้ ผู้ชายหลายคนค่อนข้างชื่นชอบเสื้อผ้าแบบยูนิเซ็กส์ คือมีการนำเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ มีการใส่กระโปรง รวมทั้งบางคนก็แต่งหน้า
สำหรับคนที่เป็นคนยุคเก่าอาจจะรู้สึกแปลกๆ ผมเองก็ยอมรับว่าตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ แต่ก็คิดว่ามันเป็นไปตามยุคสมัย และบางคนนำเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่ และสามารถผสมผสานกันจนออกมาดูดี
ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของนักแสดงวัยรุ่นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการแต่งตัวแบบยูนิเซ็กส์ เขาก็บอกว่าผู้หญิงแต่งตัวแบบผู้ชายได้ ทำไมผู้ชายจะแต่งตัวแบบผู้หญิงไม่ได้? ซึ่งผมว่ามันก็จริงของเขา
ส่วนเรื่องการแต่งหน้า การดูแลตัวเอง ก็ยังมีคนบางส่วน (ปัจจุบันน่าจะเป็นส่วนน้อยแล้ว) ที่มองว่าผู้ชายที่แต่งหน้า ผู้ชายที่ดูแลตัวเองนั้นไม่แมน เป็นเพศที่สาม ซึ่งโดยส่วนตัว ผมค่อยข้างรู้สึกดูถูกคนที่คิดอย่างนี้ รู้สึกว่าโลกแคบ (แต่ปัจจุบัน ก็น่าจะไม่เยอะแล้วล่ะครับ)
ผมมองว่าการดูแลตัวเอง การแต่งตัวให้ดูดี มันเป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อคนๆ นั้น ทุกคนย่อมจะอยากดูดีอยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีวินัยในการดูแลตัวเองแค่ไหน คุณขยันในการดูแลตัวเองแค่ไหน ซึ่งผู้ชายแท้ๆ ก็สามารถทำได้
โดยส่วนตัวผมนั้น ผมก็ค่อนข้างดูแลตัวเองประมาณนึง ผมแต่งตัวแบบที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง ผมไม่แต่งหน้า แต่ทาครีมบำรุงผิวและกันแดดทุกวัน รวมทั้งครีมบำรุงผิวกาย และมีเข้าคอร์สบำรุงรักษาหน้าบ้าง ซื้อคอร์สดูแลหน้าบ้างเหมือนกัน
แต่ที่ผมไม่ได้แต่งหน้าเพราะรู้สึกว่าไม่อยากให้หน้าโดนสารเคมีมากจนเกินไป แค่กันแดดก็พอสำหรับตัวเองแล้ว อีกอย่าง ผมเป็นคนที่ผิวแพ้ง่าย สิวขึ้นง่าย จึงหลีกเลี่ยงการแต่งหน้า
แต่ถึงจะไม่แต่งหน้า แต่ผมก็กันคิ้ว (ไม่ได้กันแบบโค้งเหมือนผู้หญิงนะครับ แค่กันช่วงหางคิ้วกับกลางคิ้วให้มันได้รูป รับกับใบหน้า) และก็ไม่ได้รู้สึกว่าผิดปกติหรือจะเบี่ยงเบนแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องทัศนคติต่อเพศที่สาม ผมว่าสังคมในปัจจุบันเปิดกว้างกว่าเมื่อก่อนมากๆ การที่เป็นเพศที่สามไม่ใช่สิ่งผิดหรือน่าอายแต่อย่างใด
ผมเองไม่ใช่เพศที่สาม ไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่คิดว่าการเป็นเพศที่สามเป็นสิ่งผิดปกติ
ผมมองว่ามันคือรสนิยมนึง ซึ่งแต่ละคนรสนิยมมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว บางคนชอบกินหวาน บางคนชอบกินเผ็ด บางคนชอบคนตัวสูง บางคนชอบคนตัวเตี้ย ซึ่งมันก็ไม่ได้ผิดอะไร
รสนิยมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เขาชอบผู้ชาย มันก็คือรสนิยมของเขา หรือเขาจะชอบผู้หญิง มันก็คือรสนิยมของเขา มันก็ไม่ผิดอะไร
ตัวผมชอบผู้หญิง ถ้าจะพูดถึงเรื่องเซ็กส์ รสนิยมของผมก็คือต้องมีเซ็กส์กับผู้หญิง ให้ผมมีกับผู้ชาย ผมก็ทำไม่ได้
แต่ไม่ได้หมายความว่าผมเหยียดเพศที่สาม ถ้าให้เป็นเพื่อน อันนั้นยินดี ได้กับทุกเพศเลย แต่ถ้าเกินเพื่อน หรือไปถึงเรื่องบนเตียง อันนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของรสนิยมแล้ว
รสนิยมของผมคือชอบผู้หญิง ให้มีอะไรกับผู้ชาย ผมก็ทำไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมไปดูถูกเขา ซึ่งคนอื่น ที่เขาไม่ได้มีรสนิยมที่ชอบคนแบบผม อาจจะชอบคนตัวใหญ่ๆ หน้าเข้มๆ ผมก็ไม่ใช่รสนิยมของเขา นั่นก็ไม่ได้ผิดเช่นกัน รสนิยมใคร รสนิยมมัน
เคยมีคนถามผมเหมือนกัน ว่าถ้ามีลูก แล้วลูกชอบเพศเดียวกัน ผมจะทำยังไง จะรู้สึกยังไง
ผมตอบว่าไม่ได้รู้สึกรังเกียจ แต่รู้สึกเป็นห่วง ที่เป็นห่วง ไม่ใช่ว่าคนที่ชอบเพศเดียวกันนั้นไม่ดี เพียงแต่ถ้าชอบเพศเดียวกัน อาจจะใช้ชีวิตยากกว่าชายหญิงปกติ
ที่ผมพูดอย่างนั้น เพราะผมคิดว่าถึงแม้ว่าสังคมในปัจจุบันจะเปิดกว้างแล้วก็จริง แต่มันก็ยังมีพวกไดโนเสาร์ พวกโลกแคบ พวกโง่บางส่วนที่ยังยึดติดกับกรอบแบบเดิมๆ ก็อาจจะเหยียดเขา หรือไปตัดสินเขาในแง่ลบ มีอคติกับเขาได้
พอผมพูดอย่างนี้ ก็มีคนบอกว่าผมยังไม่มีลูก ผมก็พูดได้ พอมีลูกเองจะรู้สึก ซึ่งผมก็ตอบว่า แล้วถ้างั้นจะให้ทำยังไง? ก็ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ จะให้พามันไปหาหมอ พาไปรักษาหรอ?
อย่างที่บอก การที่ชอบเพศเดียวกันมันคือรสนิยม มันเป็นสิ่งเฉพาะบุคคล คือความชอบส่วนบุคคล ซึ่งมันเปลี่ยนกันไม่ได้ (ยกเว้นว่าเวลาผ่านไปแล้วเขาเปลี่ยนเอง)
คนชอบกินหวาน จะให้พาไปหาหมอ ให้รักษาให้เลิกชอบกินหวาน มันก็คงไม่ได้ หรือคนไม่ชอบกินเผ็ด จะให้หมอรักษาเพื่อทำให้ชอบกินเผ็ด มันก็คงไม่ได้เหมือนกัน ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ก็ทำได้แค่ยอมรับและคิดว่าทำยังไง ลูกถึงจะโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด มีความสุขที่สุด และเอาตัวรอดได้
นี่ก็เป็นความเห็นของผมในเรื่องนี้ ใครคิดยังไง ก็แสดงความเห็นได้นะครับ
โฆษณา