อันนี้จะมีคนพูดคำถามขึ้นมาแล้วให้เราเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดกับคำถามนั้น ส่วนใหญ่คำถามจะถามเป็น WH-Questions เช่น what, when, where, why, how, how long, what time เป็นต้น
บทสนทนาจะมีทั้งคุยกับ 2 คนและ 3 คน ซึ่งจะยาวขึ้นกว่าข้อสอบ TOEIC แบบเดิมและจะมีพวก graphs เช่น pie chart, bar chart, table หรือแผนที่เข้ามาประกอบเอาไว้ตอบบทสนทนาที่เป็นคนคุยกัน 3 คน
✅พาร์ทนี้หมวยขอแนะนำว่า ให้อ่านคำถามก่อนว่าโจทย์ต้องการอะไร เช่น Why is the man calling? (ผู้ชายโทรมาทำไม) หรือ What does the man likely to do next? (คาดว่าผู้ชายจะทำอะไรต่อไป) พยายามอย่าหลุดเพราะ 1 บทความมี 3 ข้อ ถ้าหลุดแล้วยาว😩
📌Part 4: Short talks (30 ข้อ)
จะมีคนพูดคนเดียวเช่น ประกาศ โฆษณา หรือไม่ก็สรุปการประชุม แถมมีรูปภาพประกอบด้วยคล้ายๆ Part 3 เลยที่จะเป็นพวกตาราง แผนที่ เป็นต้น
✅หมวยขอแนะนำเช่นเดียวกับ Part 3 เลยค่ะคือ อ่านโจทย์ก่อน ใครทัน อ่านไปก่อนโลด
💘เพิ่มเติม💘
Part 3 และ 4 คำถามที่เจอบ่อยเลยคือ What does the woman/ man mean? ต้องพยายาม imply ให้ได้ว่าผู้พูดต้องการอะไรหรือต้องการสื่ออะไร
托业 (tuōyè) อ่านว่า ทัวเย่ แปลว่า TOEIC
🧡Reading Part (พาร์ทอ่าน 100 ข้อ)🧡
📌Part 5: Incomplete Sentences (30 ข้อ)
เติมคำในช่องว่าง หลักๆจะเน้นเรื่องของ Grammar และ Part of speech เป็นหลักเช่น Noun, Adjective, Adverb, Preposition, Conjunction ส่วนคำศัพท์ก็ยังพอมีบ้างบางข้อ
✅เทคนิค: ท่องคำศัพท์และทวนเรื่อง Part of speech ให้มากๆ รู้ว่าคำไหนเป็น Noun, Adverb หรือ Adjective และตำแหน่งของมัน เช่น Adjective ขยายคำนามนะ เป็นต้น
📌Part 6: Text Completion (16 ข้อ)
พาร์ทนี้ค่อนข้างคล้ายๆกับ Part 5 แต่จะเป็นรูปแบบของจดหมาย บทความสั้นๆ แต่ที่ยากกว่าคือ นอกจากจะเติมเป็นคำๆแล้ว บางข้อยังให้เติมเป็นประโยค
✅เทคนิค: เช่นเดียวกับ Part 5 เพิ่มเติมคือควรอ่านดีๆ ว่าประโยคยาวๆที่ให้เติม ประโยคไหนมันสอดคล้องกับประโยคก่อนหน้าหรือหลัง
เราสามารถรู้ได้หลังฝึกทำข้อสอบว่าตรงไหนเราพลาดบ่อย เราจะได้เน้นฝึกทำตรงนั้นได้มากขึ้น และพยายามฝึกท่องคำศัพท์และทวนพวกGrammar และ Part of Speech ด้วย เพราะมันก็เป็นส่วนนึงที่ช่วยอัพคะแนนพาร์ทอ่านขึ้นมาได้