29 พ.ค. 2021 เวลา 07:29 • ประวัติศาสตร์
ภารกิจจับตายผู้ก่อการร้ายเหตุการณ์ "Black September"
เมื่อกฎหมายไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายชาวยิวได้ อิสราเอลเลยต้องตั้งศาลเตี้ยขึ้นมา เพื่อล่าตัวคนผิดมาลงโทษด้วยตัวเอง ในปฏิบัติการที่มีชื่อว่า "Wrath of God"
5 ประเด็นสำคัญ
1. เป็นปฏิบัติการลับของหน่วยข่าวกรองอิสราเอล หรือ มอสซาด (Mossad) ที่ได้ชื่อว่าเก่งและน่าเกรงขามที่สุดในโลก
2. การรวบรวมข้อมูลข่าวกรองเกือบทั้งหมดมาจากสมาชิกกลุ่ม PLO
3. ตามล่าตัวผู้ก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องโดยตรง และผู้ที่สมรู้ร่วมคิดทั้งหมด
4. กองกำลังติดอาวุธในปาเลสไตน์หรือ ฟาตาห์ (Fatah) เป็นผู้ที่วางแผนการก่อการร้าย "Black September"
5. ปฏิบัติการมีความผิดพลาดจากการที่สังหารผิดเป้าหมาย ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต
ศพของ Wael Zwaiter เป้าหมายคนแรกที่ถูกสังหาร
เหตุการณ์ "Black September" นั้นมีผลกระทบต่อจิตใจของประชาชนในอิสราเอลเป็นอย่างมาก เพราะนี่คือครั้งแรกที่ชาวยิวถูกฆ่าตายที่เยอรมันหลังจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (The Holocaust) จบลง
ประธานาธิบดี Golda ได้มีการนัดเจอและพูดคุยแบบส่วนตัวกับภรรยาและญาติของผู้ที่เสียชีวิต แล้วสัญญากับพวกเขาว่า
“ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วจะต้องตายตาหลับแน่นอน ผู้ก่อการร้ายที่ทำผิดทุกคนจะต้องชดใช้กับสิ่งที่ทำ และจะไม่หยุดล่าจนกว่าจะนำความเป็นธรรมมาให้กับผู้เสียชีวิตและครอบครัว”
1
Golda Meir ได้อนุมัติปฏิบัติการตามล่าตัวผู้ก่อการร้าย และผู้สมรู้ร่วมคิด ‘ทุกคน’ มาลงโทษด้วยตัวเอง เพื่อความเป็นธรรมต่อชาวยิว 11 คน ที่ถูกฆ่าตายในงานโอลิมปิกที่เยอรมัน
ปฏิบัติการครั้งนี้รับผิดชอบโดยมอสซาด ในการรวบรวมข้อมูลข่าวกรองเพื่อวางแผนการลอบสังหารอย่างรอบคอบ และชาญฉลาด
"ข้อมูลข่าวกรองประมาณ 97% ได้มาจากสมาชิกกลุ่ม PLO" ที่เสนอตัวเข้ามาให้ข้อมูลกับอิสราเอลเอง เพราะไม่ต้องการให้ตัวเอง และครอบครัวตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีของอิสราเอล
• เป้าหมายแรกที่ถูกสังหาร - Wael Zwaiter
เป็นล่ามอยู่ที่สถานทูตลิเบียในอิตาลี มอสซาดเชื่อว่าเขาเป็นหัวหน้ากลุ่ม Black September ในอิตาลี
ช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มกว่าของวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1972 เขาถูกสังหารด้วย 'การยิงจำนวน 16 นัดที่บริเวณศีรษะ และหัวใจ' โดยสายลับมอสซาดที่ไปดักรอเขาในบริเวณล็อบบี้ของอพาร์ทเม้นท์
• เป้าหมายคนที่ 2 - Dr.Mahmoud Hamshari
โฆษกขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ที่อาศัยอยู่ในกรุงปารีส นอกจากเขาจะเป็นคนวางแผนการก่อการร้ายในงานโอลิมปิกที่เยอรมัน เขายังเป็นคนที่วางแผนการก่อการร้ายใหญ่ๆ หลายเหตุการณ์ทั่วยุโรปอีกด้วย
สายลับมอสซาดได้วางแผนปลอมตัวเป็นนักข่าวโทรไปติดต่อขอสัมภาษณ์เขา เพื่อที่จะแอบเข้าไปติดตั้งระเบิดในช่วงที่เขาออกไปสัมภาษณ์
1
ในช่วงเช้าของวันที่ 5 ธันวาคม 1972 เวลาประมาณ 9:25 น. หลังจากที่ภรรยา และลูกของเขาได้ออกจากอพาร์ทเม้นท์ไปแล้ว 'เขาถูกสังหารด้วยระเบิดที่ถูกติดตั้งไว้ตรงใต้โต๊ะโทรศัพท์บ้าน ในตอนที่กำลังเดินไปรับสายของสายลับที่ปลอมตัวเป็นนักข่าว'
การที่มอสซาดเลือกวิธีสังหารด้วยการติดตั้งระเบิดไว้ใต้โทรศัพท์บ้านคือ ต้องการที่ส่งสารไปถึงกระบวนการก่อการร้ายว่า
“ขนาดโทรศัพท์บ้านยังสามารถติดตั้งระเบิดได้ แปลว่าทุกที่รอบตัวก็สามารถติดตั้งได้เหมือนกัน หากใครที่คิดจะโจมตีอิสราเอล ต้องมั่นใจว่าสามารถตรวจสอบความปลอดภัยของตัวเองได้ตลอด 24 ชม. ถ้าหากไม่มั่นใจ ก็อย่าคิดที่จะโจมตีอิสราเอลดีกว่า”
• เป้าหมายที่ 3 - Hussein Al Bashar
ชาวจอร์แดนที่เป็นตัวแทนของกลุ่ม Fatah ในประเทศไซปรัส โดยมอสซาดเชื่อว่าเขาเป็นผู้นำของกลุ่ม Black September 'เขาถูกสังหารจากระเบิดที่สายลับมอสซาดได้แอบเข้าไปติดตั้งไว้ที่ใต้เตียงนอนของเขา'
• เป้าหมายที่ 4 - Basil al-Kubaissi
เป็นศาสตราจารย์วิชากฎหมายอยู่ที่ American University of Beirut เขาเป็นผู้ต้องสงสัยที่มอสซาดเชื่อว่าจัดเตรียมอาวุธให้กับกลุ่ม Black September และมีส่วนร่วมกับการก่อการร้ายอีกหลายครั้งของปาเลสไตน์
เขาถูกเจ้าหน้าที่มอสซาดสังหารด้วย 'การยิงจำนวน 12 นัด โดยเน้นแค่บริเวณหัว และหัวใจ'
• Operation Spring of Youth - เป้าหมายจำนวน 3 คนที่อยู่ในเลบานอน
เป็นปฏิบัติการย่อยที่ต้องใช้หน่วยคอมมานโดที่ฝึกมาเป็นพิเศษของอิสราเอลอย่าง Sayeret Matkal, Shayetet 13 และ Sayeret Tzanhanim เพราะเป็นเป้าหมายระดับสูงที่มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเดินทางด้วยตลอดเวลา และที่อยู่อาศัยมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา
หน่วยรบพิเศษใช้เรือยนต์ความเร็วสูงที่มีชื่อว่า Zodiac เพื่อเดินทางไปที่ชายฝั่งเลบานอน โดยที่เจ้าหน้าที่ทุกคนแต่งตัวเหมือนคนท้องถิ่น บางคนก็ได้แต่งเป็นผู้หญิงเพื่อให้ดูไม่น่าสงสัย
ในตอนดึกของวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1973 เมื่อหน่วยคอมมานโดเดินทางไปถึงเป้าหมายก็ได้บุกเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ โดยให้คนที่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงดูต้นทางไว้ และได้ทำการสังหาร Muhammad Youssef al-Najjar (หัวหน้ากลุ่ม Black September) รวมถึงภรรยาของเขา
1
Kamal Adwan (หัวหน้าปฏิบัติการของ PLO) และ Kamal Nasser (คณะกรรมการบริหาร และโฆษกของ PLO) ในระหว่างที่กำลังทำปฏิบัติการมีตำรวจชาวเลบานอน 2 คน และนักท่องเที่ยวชาวอิตาลีโดนลูกหลงไปด้วยจนทำให้เสียชีวิต
หลังจากปฏิบัติการที่เลบานอนจบลง เป้าหมายอีก 3 คนก็ถูกสังหารแบบตามมาติดๆ Zaiad Muchasi คือคนที่มาแทนตำแหน่งของ Hussein Al Bashir ถูกสังหารด้วยระเบิดภายในห้องพัก ที่กรุงเอเธนส์
• การสังหาร "Mohamed Boudia"
ในขณะเดียวกันสายลับของมอสซาดก็ได้แกะรอย Mohammad Boudia หัวหน้ากลุ่ม Black September ในฝรั่งเศส เขาโด่งดังในเรื่องการปลอมตัวแอบแฝงเพื่อไม่ให้โดนติดตามได้ ในวันที่ 28 มิถุนายนปีเดียวกัน 'เขาถูกสังหารด้วยระเบิดความแรงสูงที่มอสซาดแอบติดตั้งไว้ใต้เบาะรถยนต์'
• Lillehammer affair
เวลาผ่านไปเกือบจะ 1 ปีเต็มหลังจากที่งานโอลิมปิกจบลง มอสซาดค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าระบุตำแหน่งของ “Ali Hassan Salameh” หรือ “The Red Prince” ผู้ก่อการร้ายที่อิสราเอลต้องการตัวมากที่สุด
3
ในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1973 สายลับของมอสซาดเดินทางไปทำภารกิจที่นอร์เวย์ ที่พวกเขาเชื่อว่า Salameh อยู่ที่นั่น และได้สังหารเป้าหมายเหมือนทุกๆ รอบที่ผ่านมาด้วยการยิงจนตาย เพียงแต่ว่าคนที่ถูกยิงนั้นไม่ใช่ Salameh แต่เป็นผู้บริสุทธิ์ชาวโมร็อกโก ที่ชื่อว่า Ahmed Bouchiki
จากปฏิบัติการที่ผิดพลาดของมอสซาด เป็นผลให้สายลับของมอสซาด 5 คน เป็นสายลับผู้หญิง 2 คนถูกควบคุมตัวไว้ที่นอร์เวย์ มีสายลับบางคนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีออกจากประเทศได้ คนที่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่นอร์เวย์ได้รับการปล่อยกลับไปที่อิสราเอลในปี 1975
1
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่มาก และเป็นเหมือนจุดจบของปฏิบัติการ “Wrath of God”
Victor Ostrovsky หัวหน้าปฏิบัติการภาคพื้นดินของมอสซาดอ้างว่า Salameh คือผู้ที่ปล่อยข้อมูลปลอมขึ้นมาเพื่อที่จะให้ปฏิบัติการผิดพลาด นอกจากนี้มอสซาดยังได้พยายามที่จะสังหารเขาอีกถึง 4 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ
ทำให้ Golda ตัดสินใจยุติปฏิบัติการ Wrath of God ลง ผลจากความผิดพลาดทำให้มอสซาดสูญเสียทรัพย์สินที่มีค่าในยุโรปอย่าง สายลับ, เซฟเฮาส์ และเครือข่ายต่างๆ ที่ใช้เวลามีปฏิบัติการ
ผู้เสียชีวิตชาวยิว
• การสังหาร "The Red Prince"
หลังจากการพยายาม 5 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ มอสซาดตัดสินใจที่จะลอบสังหาร Salameh อีกครั้งภายใต้การอนุมัติของประธานาธิบดีคนใหม่ Menachem Begin
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 สายลับผู้หญิงของมอสซาดเดินทางไปที่เลบานอนด้วยการใช้พาสปอร์ตอังกฤษ และได้เช่าโรงแรมย่านถนน Rue Verdun ที่ Salameh ใช้บริการเป็นประจำ
หลังจากนั้นสายลับมอสซาดอีกหลายคนก็ได้ตามมาที่เลบานอนด้วยพาสปอร์ตอังกฤษ และแคนาดา เมื่อมาถึงที่โรงแรม พวกเขาได้ลงไปติดตั้งระเบิดไว้ในรถ Volkswagen ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้ห้องพัก
ในช่วงบ่ายของวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1979 Salameh และบอดี้การ์ดอีก 4 คนถูกสังหารด้วยระเบิดในขณะที่กำลังขับผ่านรถ Volkswagen คันที่ถูกติดตั้งระเบิดไว้ จากการระเบิดที่แรงมากทำให้ผู้บริสุทธิ์ 4 คนโดนลูกหลงเสียชีวิตไปด้วย
2 คนในนั้นเป็นนักเรียนชาวอังกฤษ และแม่ชีชาวเยอรมัน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 18 คน ทันทีที่ภารกิจสำเร็จ สายลับมอสซาด 3 คนหนีออกจากประเทศเลบานอนได้อย่างไร้ร่องรอยการติดตาม เช่นเดียวกับสายลับอีกประมาณ 14 คนที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการนี้
Car bombing
ปฏิบัติการ Wrath of God ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในช่วงแรกๆ จนกระทั่งมีการชี้ตัวเป้าหมายที่ผิดพลาดจนทำให้ปฏิบัติการต้องจบลง มีผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตจากการโดนลูกหลงอีกเป็นจำนวนมาก
1
คุณจะทำอย่างไรถ้าหากว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับ Golda ที่ผู้เสียชีวิตยังไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งตัวผู้ก่อการร้าย และคนอื่นๆที่มีส่วนร่วมยังคงลอยนวล และเตรียมที่จะโจมตีประเทศของตัวเองอีกครั้ง
หากผู้ก่อการร้ายนั้นไม่เคยปฏิบัติตามกฎของการทำสงครามเลย อย่างการที่ประชาชนทั่วไปตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีแต่ละครั้ง เราสมควรที่จัดการกับคนพวกนี้ภายใต้หลักของกฎหมายอยู่หรือเปล่า?

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา