30 พ.ค. 2021 เวลา 00:04 • ประวัติศาสตร์
เรื่องน่ารู้ในยุคกลาง:
ค่านิยมเรื่องผมเผ้า
เคยเล่าไปแล้วในตอนก่อนหน้านี้ที่ว่าด้วยค่านิยมเรื่องความงามของสตรียุคกลางที่ประพฤติตัวเหมาะสมจะต้องเก็บผมให้เรียบร้อยตามบรรทัดฐานของสังคมในเวลานั้น ในตอนนี้เลยตั้งใจจะมาเล่าต่อเกี่ยวกับค่านิยมเรื่องผมเผ้าในยุคกลาง
หญิงสาวยุคกลางกำลังหวีผม (Photo: Medievalist.net)
💇‍♀️ สีผมยอดนิยม
ในยุคกลาง คริสตจักรมีทัศนะว่าผมของสตรีเป็นสิ่งยั่วยุอารมณ์ทางเพศ แต่ยิ่งเก็บผมให้มิดชิดมากเท่าไรยิ่งทำให้ผมกลายเป็นสิ่งยั่วแรงปรารถนามากขึ้นเท่านั้น สีผมที่ดูเซ็กซี่มากที่สุดสำหรับยุคกลางคือผมสีบลอนด์ หรือสีทองเหลืองอร่ามคล้ายสีฟางข้าว ผู้หญิงที่งามอย่างยิ่งในยุคกลางคือ “มีปอยผมเหมือนดั่งลำแสงพระอาทิตย์ที่วาววับ” ขนาดภาพวาดของนางฟ้าในยุคกลางยังมีผมสีบลอนด์เลย
เรื่องความสวยความงามสาว ๆ สู้ตายไม่ว่าจะเป็นสาวยุคไหน เมื่อผมสีบลอนด์เป็นที่นิยมจึงพยายามหาสารพัดวิธีให้สีผมออกบลอนด์ ซึ่งวิธีการมีมากมาย เช่น
• ย้อมผม ด้วยการใช้หญ้าฝรั่น ฉี่แกะที่เก็บไว้นาน ๆ เปลือกหัวหอม หรือไม่ก็ไปอยู่กลางแดดนาน ๆ (แต่จะต้องใส่หมวกคลุมผมเพื่อให้ดูสงวนเนื้อสงวนตัว แต่จะแอบตัดเป็นรูไว้ข้างบน)
• น้ำยาย้อมผม ทำมาจากกำมะถัน น้ำผึ้ง และสารส้ม นำมาผสมกันแล้วใส่ผม และไปนั่งตากแดดด้วยเพื่อให้เส้นผมสีอ่อนลง หรืออีกสูตรจะใช้ไวน์ขาวผสมกับสารส้มและน้ำมันมะกอกแล้วไปตากแดดก็เป็นการฟอกผมให้มีสีบลอนด์อีกวิธี
• หากผมบลอนด์ที่สวยงามนั้นร่วงหายจนน่าตกใจ มีคำแนะนำว่าให้ไปเอาผมของหญิงที่ตายแล้วหรือเอาเส้นไหมสีทองสว่างมาทำเป็นช่อผมปลอม จากคำแนะนำนี้ ทางเลือกที่เอาเส้นไหมมาใช้น่าจะดีกว่าการเอาผมคนตายมา
• ตัวช่วยอื่น ๆ คือ การสวมสร้อยโอปอลเพื่อให้ผมดูเป็นสีบลอนด์ ยุคนั้นเชื่อกันว่าการสวมสร้อยโอปอลจะคงให้ผมมีสีบลอนด์ไว้ และพลังของโอปอลจะป้องกันไม่ให้ผมมีสีดำ แต่ต่อมาเมื่อโอปอลกลายเป็นสัญลักษณ์ของความโชคร้ายสาว ๆ เลยเลิกนิยมใส่
ภาพนางฟ้าวาดโดย Benedetto Bonfigli ที่โบสถ์ San Francesco al Prato วาดราวปี 1466 จะเห็นว่านางฟ้าทั้งสองมีผมสีทอง (Photo: Castlesandcoffeehouses.com)
💇‍♀️ ผมสีเข้ม
แต่ก็ใช่ว่าสาวยุคกลางทุกคนจะอยากมีผมสีบลอนด์ ถ้าอยากมีผมสีเข้มก็มีวิธีย้อมผมเช่นกัน ซึ่งคาดว่าทำเพื่อปกปิดผมหงอก (ไม่ว่าคนยุคไหนก็ไม่อยากแก่ผมหงอก) ทำได้ง่ายจังโดยใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในครัว เช่น
• ใช้หัวรากไม้หรือผลไม้แห้งเปลือกแข็ง เช่นผลวอลนัทกับผลเกาลัดซึ่งเป็นที่นิยมในการนำเอามาใช้ย้อมผมให้เข้มได้ เอาวัตถุดิบนี้ไปต้มให้สุด แล้วเอาน้ำของมันมาชโลมผม
• อีกวิธีทำที่ดูจะแปลกหน่อยคือเอาเนื้อของหัวรากไม้หรือเนื้อผลลูกนัทมากอง ๆ ไว้บนหัว แล้วใช้เชือกร้อยให้มันอยู่กับที่ แล้วปล่อยให้มันเปื่อยเป็นเวลา 2 วันเพื่อให้น้ำสีที่ออกมาเปียกผม
1
• ต้น Black Henbane และสะระแหน่ก็สามารถเอามาย้อมผมให้ดำขึ้นได้
ต้น Black Henbane (Photo: Wikipedia)
💇‍♀️ ผมปลอมนั้นเป็นสิ่งผิดบาป
คิ้วปลอมจากขนหนูไม่ใช่สิ่งเดียวที่สาวยุคกลางทำ สำหรับสาว ๆ ยุคกลางก็มีลูกเล่นในการทำผมปลอมเช่นกัน แต่สิ่งนี้คริสตจักรไม่โปรดอีกแล้ว คริสตจักรมีปัญหากับผมปลอมและมองว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของคนชั่วร้าย ผมปลอมถูกประณามโดยคริสตจักรว่าเป็นการกระทำผิดต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างร้ายแรง
พระพยายามเทศน์สอนไม่ให้สตรียุคกลางใช้ผมปลอมโดยประกาศว่าผมปลอมนั้นเป็นบาปเรื่องความไร้แก่นสาร (หรืออาจจะเรียกว่าบาปเรื่องความยโสโอหัง หรืออัตตาก็ได้ แล้วแต่คนจะเรียก)
ไจลส์แห่งออเลอองส์ นักเทศน์ที่ปารีสยุคศตวรรษที่ 13 เตือนพลเมืองชาวคริสต์ว่าผมปลอมที่พวกผู้หญิงใช้กันนั้นทำมาจาก”ผมที่ไถออกมาจากหัวของพวกคนที่ตอนนี้ชดใช้บาปในนรกอย่างทุกข์ทรมานอยู่” คำเทศน์เช่นนี้น่าจะทำให้สาว ๆ บางคนอยากจะเอาผมปลอมออกจากหัวอยู่บ้างแหละ
มีเรื่องเล่าว่าคลีเมนส์แห่งอเล็กซานเดรียเทศนาสั่งสอนว่า ผู้หญิงคนใดก็ตามที่ใส่ผมปลอมมาโบสถ์จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่าในระหว่างการให้ศีลให้พรนั้น พรที่ให้จะอยู่ในผมปลอม พรจะไม่ผ่านไปสู่ตัวคนที่ใส่ผมปลอม ปรากฏว่าบรรดาสาว ๆ พอได้ฟังดังนั้นพากันเอาผมปลอมออกทันที
ผมสีบลอนด์ ยาว และเป็นลอน คืออุดมคติหญิงงามในยุคกลาง ถ้าปล่อยผมดังเช่นคนซ้ายมือซึ่งโตเป็นผู้หญิงเต็มตัวหรือแต่งงานแล้วจะเป็นสิ่งอื้อฉาวมาก (Photo: Bustle.com)
💇‍♀️ สาวยุคกลางนิยมผมยาว
ผมของผู้หญิงยุคกลางจะไว้ยาวมาก ถ้าไม่ยาวถึงเข่าก็ยาวกว่านั้นอีก ส่วนที่เห็นว่าโจน ออฟ อาร์ค มีผมสั้นเหมือนผู้ชายนั้นนางเคยมีผมยาวเหมือนคนอื่น ๆ แต่นางตัดสั้นเป็นเพราะนางเชื่อว่าได้ยินเสียงเทวทูตส่งสารมาบอกให้นางตัดผมให้สั้น
การปล่อยผมสยายยาวให้เห็นในที่สาธารณะทำได้เฉพาะสาวน้อยหรือหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานเท่านั้น พอโตมาถึงอายุที่สมควรถึงยังไม่แต่งงานก็ต้องเก็บผมด้วยผ้าคลุม ส่วนสตรีที่แต่งงานแล้วผมของพวกนางถือว่าเป็นสมบัติของสามี ต้องเก็บให้มิดชิดไม่ให้ชายอื่นเห็น
นอกจากผมต้องสีบลอนด์ ยาว เงางาม และตกแต่งอย่างดีแล้ว ความสวยตามอุดมคติของยุคกลางจะต้องมีผมเป็นลอน ๆ ด้วย สาวยุคกลางคนใดที่ผมตรงเลยพากันทำผมยักศกเป็นลอนด้วยการ
• ใช้ความร้อนหนีบผมให้เป็นลอน
• น้ำมันมะกอกก็ใช้กันทั่วไปเพื่อช่วยให้ผมยาวขึ้น เงางามขึ้น และช่วยให้ผมเป็นลอนสวยได้
• บดรากของต้น danewort ผสมกับน้ำมันแล้วนำไปประพรมศีรษะ แล้วผูกรากของต้นนี้กับผมด้วยใบไม้
• วิธีที่ง่ายที่สุดที่สาวยุคกลางนิยมทำกันคือเปียผมก่อนนอน ตื่นมาแล้วเมื่อคลี่ผมออกก็จะได้ผมที่เป็นลอนสลวย
ในกรณีผู้ชาย ในช่วงศตวรรษที่ 4 โดยทั่วไปผู้ชายจะมีผมยาวถึงคางและส่วนใหญ่จะหยักศก บางทีก็ไว้หน้าม้า แต่บางทีก็จะมีที่ผมสั้นหรือยาวกว่านี้บ้าง การสวมหมวกคือธรรมเนียมปกติสำหรับผู้ชายในยุคกลาง
ทรงผมของผู้ชายในยุคกลาง ในรูปคือเฮนรีที่ 7 และริชาร์ดที่ 3 กษัตริย์อังกฤษ (Photos: Wikipedia)
💇‍♀️ การดูแลเส้นผม
หวีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งชายและหญิงในยุคกลาง และช่วยกำจัดเหา หมัด และไข่เหาจากผมด้วย หวีในยุคนั้นจึงมีลักษณะเหมือนหวีเสนียดในบ้านเราที่สมัยเด็ก ๆ บรรดาแม่ ๆ เอามาใช้จำกัดเหาให้ลูก ๆ ซึ่งถ้าเป็นหวีชนชั้นสูงก็จะทำมาจากไม้เนื้อดี หรืองาช้างพร้อมสลักลวดลายสวยงาม หวียุคนั้นยังทำมาจากกระดูกอีกด้วย
หวีมักจะมี 2 ด้าน ด้านที่ซี่ห่างจะใช้แปรงผมที่พันกันก่อน จากนั้นใช้ด้านที่ซี่ถี่แปรงผมให้ฝุ่นหรือผงดินที่ติดตามเส้นผมออก แถมยังช่วยแปรงเอาน้ำมันจากหนังศีรษะจากโคนผมไปสู่ส่วนอื่น ๆ ช่วยให้ผมเงางาม ถ้าแปรงผมอย่างละเอียดจะช่วยทำให้ผมไม่มีกลิ่นไปวันสองวัน
เพื่อให้ผมมีกลิ่นหอม บรรดาหญิงชั้นสูงจะใส่น้ำมันที่ได้จากกวางชะมดที่ผม หรือไม่ก็ใช้กานพลู หรือจะใช้ทั้งสองอย่างใส่ผมเลยก็ได้ นอกจากนี้ยังมีลูกจันทน์ ที่เอามาใส่ในผมเพื่อให้มีกลิ่นหอม ซึ่งของพวกนี้มีผ้าคลุมผมปกปิดไว้ตามธรรมเนียมจึงไม่มีใครเห็นอยู่แล้ว แต่วัตถุดิบเหล่านี้หายากและมีราคาแพง หญิงชาวบ้านเข้าไม่ถึง
ในยุคกลางนั้นมีแป้งโรยผมด้วย ซึ่งส่วนผสมก็ไม่ต่างจากสูตรผมหอมข้างบน เพียงแต่นำมาบด โดยใช้กานพลู ลูกจันทน์ กลีบกุหลาบ น้ำกุหลาบ และน้ำมันจากกวางชะมด เอามาบดรวมกัน แล้วเอาไปลูบผมหรือใช้หวีจุ่มแล้วหวีผมก็ได้ แต่ถ้าผมพันกันสามารถใช้ไขมันจากเบคอนหรือสัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ มาใช้ได้
จากในรูปจะเห็นหญิงในยุคกลางสองคนแปรงผมด้วยหวีที่มีลักษณะเหมือนกัน คือมี 2 ด้าน (Photo: Rosalie Gilbert)
💇‍♀️ การสระผม
คนยุคกลางสระผมกันบ่อยแค่ไหนไม่มีใครรู้ แต่หลักฐานจากวรรณกรรมที่เขียนขึ้นในยุคกลางอันโด่งดังคือ ดีคาเมรอน ที่เขียนโดย Giovanni Boccacio ระบุว่าตัวละครในเรื่องนั้นสระผมกันในช่วงสุดสัปดาห์
เหา รังแค เป็นปัญหาของคนในยุคกลางเช่นเดียวกับเราในยุคนี้ ซึ่งคนยุคกลางก็มีสูตรในการกำจัดเหาและรังแคที่เขียนบันทึกไว้ให้คนยุคเรารู้
แชมพูสมัยนั้นทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะทำมาจากพืชชนิดต่าง ๆ เช่น เถ้าต้นองุ่นเผา ดอกโครคัส ผลเบอร์รี่จากต้นแคระ ผลต้นเมอร์เทิล ข้าวโอ๊ต หรือหญ้าฝรั่น แล้วเอามาผสมกับชะเอมเทศหรือสมุนไพรชนิดอื่น ๆ และผสมกับน้ำอุ่น เอามาใช้เป็นแชมพูสระผมและยังทำให้ผมเป็นสีทองขึ้นด้วย
การสระผมรอบสองนั้นจะใช้น้ำผสมกับน้ำส้มสายชูสักเล็กน้อย สระเสร็จแล้วก็ปล่อยผมให้แห้ง จากนั้นก็ค่อยหวี เคล็ดลับเหล่านี้สาว ๆ ในปัจจุบันลองนำไปลองใช้ได้นะ
ไม่เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายในยุคกลางก็พยายามดูแลผมและหนวดเช่นเดียวกัน โดยสรรหาวิธีให้ผมและหนวดสวยงาม และผู้ชายยุคกลางก็ไม่นิยมการมีหัวล้านเหมือนผู้ชายในปัจจุบันด้วย
ภาพหญิงยุคกลางสระผม จะเห็นได้ว่าผมยาวมากและมีสีทองหรือที่เรียกว่าบลอนด์ซึ่งเป็นที่นิยม (Photo: Pinterest)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา