25 พ.ค. 2021 เวลา 15:44 • ประวัติศาสตร์
เรื่องน่ารู้ในยุคกลาง:
การแต่งหน้าและเครื่องสำอาง
ในตอนที่แล้วเล่าถึงค่านิยมเรื่องความงามบนใบหน้าของสาว ๆ ในยุคกลาง ซึ่งเรื่องที่ทำให้สงสัยตามมาคือผู้หญิงในยุคนั้นแต่งหน้าหรือไม่ เพราะขนาดคิ้วกับไรผมยังพยายามกำจัดเพื่อให้ใบหน้าดูเกลี้ยงเกลาและหน้าผากสูง แต่ก็คิดว่าผู้หญิงสมัยนั้นน่าจะแต่งหน้ากันอยู่ เพราะในภาพวาดคนยุคกลางยังเห็นปากแดง ๆ ไม่ได้ซีดเซียวไปหมดทั้งหน้า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เกิดความสงสัยอีกว่าผู้หญิงยุคกลางใช้อะไรเป็นเครื่องสำอางแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า เพราะแน่นอนว่าผู้หญิงในยุคนั้นไม่มีเครื่องสำอางแบบที่สาว ๆ ในปัจจุบันใช้กันอยู่แน่นอน
Photo: Naked History
•แนวคิดเรื่องการแต่งหน้า
ในยุคกลางห้ามมิให้บรรดาผู้หญิงแต่งหน้า คำเทศน์ในโบสถ์ยังสอนถึงบาปของการใช้เครื่องสำอางอีกด้วย เหตุเพราะคริสตจักรเห็นว่า การแต่งหน้าคือรูปแบบหนึ่งของการล่อลวง เป็นกลฉ้อฉลบรรดาผู้ชายหรือสามีให้เข้าใจผิดในรูปลักษณ์ที่แท้จริงของหญิงที่แต่งหน้าผู้นั้น ดังนั้นการแต่งหน้าในยุคกลางจึงถือว่าเป็นอาชญากรรมประเภทหนึ่ง การแต่งหน้าในยุคกลางจึงเป็นเรื่องเสี่ยงมาก ผู้หญิงในยุคกลางค่อนข้างกลัวว่าจะถูกจับกุมไปคุมขังหรือฆ่าในข้อหาเป็นแม่มด ดังนั้นการใช้เครื่องเสริมความงามจึงลดลงเป็นอย่างมากในยุคกลาง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าในยุคกลางไม่มีการแต่งหน้าเลย เพราะสำหรับผู้หญิงแล้วความสวยความงามเป็นเรื่องใหญ่ที่ยอมไม่ได้ ดังนั้นจึงหาวิธีใดก็ได้ที่จะทำให้สวยขึ้นและนำมาซึ่งการแหกกฎบ้าง
นอกจากนี้ ในหมู่นักบวชในศาสนาคริสต์เองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของเครื่องสำอาง เพราะโดยทั่วไปแล้วการแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาสำหรับคริสตจักร แต่ผู้หญิงสามารถมีข้ออ้างในการแต่งหน้าได้โดยไม่ผิดต่อบาปเรื่องความไร้สาระแก่นสาร เช่น
- ผู้หญิงที่ล้มป่วยลงเพราะความป่วยไข้แล้วมีสภาพไม่น่าดึงดูดก็สามารถมีข้ออ้างในการใช้เครื่องสำอางได้
- ผู้หญิงที่อ้างว่าแต่งหน้าเพิ่มความงามเพื่อไม่ให้คนรังเกียจหรือสามีของตัวเองรังเกียจก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้
Thomas Aquinas ผู้เป็นทั้งพระ นักปรัชญา และนักเทววิทยาผู้เลื่องชื่อในเวลานั้นยังถูกท้าทายเรื่องนี้ โดยมีหญิงคนหนึ่งตั้งคำถามกับท่านเรื่องการใช้เครื่องสำอาง ท่านจึงกัดฟันยอมหญิงผู้นั้นให้สามารถทำตัวให้เป็นที่ดึงดูดแก่สามีของนางได้ เพื่อสามีจะได้ไม่ออกนอกลู่นอกทางไปทำบาปเรื่องการคบชู้ (แต่ทั้งนี้ผู้หญิงในยุคกลางก็ต้องระมัดระวังไม่ทำตัวเองให้สวยมากเกินไปเดี๋ยวจะไปดึงดูดสามีของหญิงอื่นเข้าด้วย)
ภาพวาดของ Thomas Aquinas นักบวชคนสำคัญในยุคกลาง Photo: Britannica
•วิธีการลบเลือนกระและร่องรอยบนใบหน้า
ก่อนจะแต่งหน้าได้ก็ต้องมีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาไร้ริ้วรอยฝ้ากระเสียก่อน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาคือค่านิยมความงามในยุคกลาง ดังนั้นบรรดาสาว ๆ ที่มีริ้วรอยและกระย่อมแสวงหาวิธีมาปกปิดหรือลบเลือนจุดบกพร่องเหล่านี้ ซึ่งในสมัยนั้นมีสารพัดสูตร แต่มีวิธีที่น่าสนใจที่สมควรนำมาเล่าอยู่ 2-3 วิธี
ผู้หญิงยุคกลางนั้นมาสก์หน้าเหมือนเราปัจจุบันเพื่อลดรอยอันไม่พึงประสงค์บนใบหน้า แต่ในสมัยนั้นไม่มีแผ่นมาสก์หน้าขายอยู่ทั่วไปเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นสาว ๆ จะนำเอาชามไม้ไปรองเลือดกระต่ายหรือเลือดวัวมา จากนั้นก็เอามาทาทั่วใบหน้า วิธีนี้อาจจะให้ความรู้สึกแบบชั่วร้ายสักหน่อย
1
แต่ถ้าสาว ๆ คนไหนเป็นคนกลัวเลือดเห็นเลือดแล้วจะเป็นลม ก็มีอีกวิธีให้เลือกใช้แทนแต่ต้องอาศัยความอดทนและพยายามมากสักหน่อย นั่นคือการไปเก็บเอาน้ำจากต้นวิลโลว์มาใช้เพื่อลบเลือนรอยบนผิวหน้า แต่ไม่ใช่ไปเก็บ ๆ มาแล้วเอามาทาก็จบ มันมีขั้นตอนกรรมวิธีการเก็บที่ซับซ้อนถึงจะได้ผล นั่นคือต้องรอจนต้นวิลโลว์ออกดอกก่อน จากนั้นจึงไปเฉือนเปลือกของต้นวิลโลว์เพื่อเก็บน้ำมันมา (ถ้านึกภาพไม่ออกให้นึกถึงการกรีดยาง น่าจะทำประมาณนั้น) พอได้น้ำจากต้นวิลโลว์มาแล้วก็เอามาต้มใส่ในไวน์ เสร็จแล้วก็เอามาดื่มได้เท่าที่ต้องการ แต่ดูแล้ววิธีนี้น่าจะเมาก่อนจะทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าจะลบเลือน
ยังมีอีกวิธีที่ดูไม่ค่อยเหมือนวิธีแม่มดอย่างวิธีก่อนหน้านี้ และสาว ๆ ยุคกลางน่าจะสะดวกใจใช้วิธีนี้มากกว่า แถมยังไม่ค่อยลำบากอีกด้วย เพราะเพียงแค่นำเอาข้าวโอ๊ตบดไปต้มใส่น้ำต้มสายชู แล้วก็นำมารับประทานเป็นอาหารมื้อเช้า ถึงรสชาติจะไม่น่าพิสมัยแต่สาว ๆ คงต้องทนทานกันสักหน่อยเพื่อให้กระและรอยหรือจุดบนใบหน้าลบเลือนไป ส่วนอีกวิธีให้หน้าขาวคือเอาไข่ทั้งลูกไปผสมกับน้ำส้มสายชูอย่างแรงทิ้งไว้จนไข่ลอก แล้วเอามัสตาร์ดขาวกับขิงมาผสมใส่แล้วคนจนให้ทั่วกัน จากนั้นก็เอามาทาหน้าได้
น้ำจากต้นวิลโลว์ที่ออกดอกช่วยเสริมความงาม Photo: Trees.com
•รองพื้นในยุคกลาง
แฟชั่นยุคกลางคนสวยต้องมีใบหน้าขาวแบบซีด ๆ ดังนั้นใครที่ไม่มีผิวแบบนั้นก็มีตัวช่วยมากมาย เป็นสูตรเครื่องสำอางแป้งทาหน้า ซึ่งการทารองพื้นหรือแป้งสามารถทำได้ ถ้าแป้งหรือรองพื้นไม่ทำมาจากพืช อีกอย่างก็ทำมาสารที่เป็นตัวช่วยในแป้งฟอกใบหน้าให้ขาวที่ว่านี้คือ กรด ปรอท และตะกั่ว แถมยังนำมาใช้เป็นยาพิษวางยาสามีได้อีกด้วยถ้าให้สามีมาจูบแก้มที่ฉาบด้วยแป้งผสมสารพิษนี้อยู่เรื่อย ๆ แต่คนทาก็จะตายด้วยเช่นกันเพราะสารพิษสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวกันเลยทีเดียว คือได้สวย ได้ฆ่าสามี และก็ตายตามสามีไปด้วย
4
ในอังกฤษ ผู้หญิงยุคกลางทาสีหน้าให้ขาวเพื่อที่จะได้ดูซีด ๆ สาวอังกฤษเลยทาหน้าด้วยแป้งข้าวสาลี หรือไม่ก็ทาด้วยเครื่องสำอางที่ผสมตะกั่ว เชื่อกันว่ารากของต้นมาดอนน่าลิลลี่จะทำให้หน้าขาวขึ้นด้วย (พื้นที่โฆษณา: ถ้าใครอยากรู้ว่าทำไมจึงเรียกดอกลิลลี่ว่ามาดอนน่าสามารถกลับไปอ่านเรื่องก่อนหน้านี้ที่เขียนไว้เกี่ยวกับกำเนิดของดอกลิลลี่กับทางช้างเผือกจากตำนานกรีกได้) รากของดอกลิลลี่บนพื้นดินสามารถนำมาทำเป็นแป้งทาหน้าได้ และรากของต้น cyclamen ซึ่งเป็นพืชตระกูลพริมโรสก็สามารถนำมาใช้ทำแป้งทาหน้าด้วยเช่นกัน
มีสูตรการทำแป้งทาหน้าที่ทำให้หน้าขาวสูตรหนึ่ง (ในบรรดาหลาย ๆ สูตร) มาแนะนำ ซึ่งเขียนไว้เมื่อศตวรรษที่ 13 และเป็นสูตรทำเครื่องสำอางเพื่อให้หน้าขาวที่ทำง่ายมาก ๆ สูตรมีอยู่ว่า “ให้นำเอาข้าวสาลีบริสุทธิ์ไปแช่ไว้ในน้ำเป็นเวลา 15 วัน จากนั้นบดและผสมมันในน้ำให้ทั่ว นำไปกรองในผ้าแล้วปล่อยให้น้ำระเหยจนกลายเป็นผง แล้วก็จะได้แป้งแต่งหน้าที่ทำให้หน้าขาวราวกับหิมะ เมื่อไหร่ที่จะใช้ก็ให้นำไปผสมกับน้ำกุหลาบ ก่อนจะทาให้ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นก่อนแล้วเช็ดหน้าให้แห้งโดยใช้ผ้า แล้วก็นำแป้งผสมน้ำกุหลาบนี้มาทาให้ทั่วไบหน้า”
ต้นไซคลาเมนกับราก Photo 123RF.com
•สาวยุคกลางทาแก้มแดงไหม
ในยุคกลางมีการใช้เครื่องสำอางสีแดงชาดทาแก้ม แล้วเรารู้ได้อย่างไร ก็รู้ได้จากบทเพลงที่ร้องกันในโบสถ์ช่วงศตวรรษที่ 12 ที่แต่งโดย monge de Montaudon หรือ ‘พระแห่ง Montaudon’ ซึ่งเนื้อหาเพลงไม่รู้ว่าตั้งใจให้ตลกหรือเสียดสี เพราะเล่าถึงการที่รูปปั้นในโบสถ์พากันบ่นว่ามีสีไม่พอตกแต่งรูปปั้นเพราะเหล่าบรรดาผู้หญิงเอาสีไปใช้สำหรับทาแก้มแดงหมดแล้ว
แล้วสาวยุคกลางเอาอะไรมาทาแก้มให้แดง ๆ ส่วนใหญ่แล้วทำมาจากพืชคลุมดินจำพวก angelica หรือ safflower นอกจากนี้ไม้สับจาก brazilwood เอาไปจุ่มในน้ำกุหลาบก็สามารถนำมาทาหน้าได้
รูปปั้นของ Saint Balbina ในยุคกลาง จะเห็นได้ว่ามีแก้มแดงปากแดง Photo: Metropolitan Museum of Art
ต้น angelica ดอกของต้น safflower และไม้ที่ได้จากต้น brazilwood Photo: Wikipedia, Cameo.mfa.org
•ริมฝีปากแดง ๆ มาจากไหน
ถึงคริสตจักรจะควบคุมเรื่องการแต่งหน้าทาปาก แต่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะเชื่องจนยอมเชื่อฟังทำตามคำสอนในเรื่องนี้ วิธีการแต่งแต้มสีสันบนใบหน้าของสาว ๆ ในยุคกลางก็จะใช้รากไม้หรือไม่ก็ดอกไม้ หัวบีท ผลเบอร์รี่ และรากไม้จำพวก alkanet นำไปผสมกับไขมันเพื่อใช้เป็นขี้ผึ้งทาปาก หรือจะใช้ของจำพวกนี้มาทาแบบสด ๆ เพื่อเพิ่มสีสันบนริมฝีปากเลยก็ได้
ในยุคกลางมีสูตรทำขี้ผึ้งทาปากที่ทำให้ริมฝีปากมันวาวชุ่มชื้นไม่แห้งแตกแถมนุ่มมีกลิ่นหอม วิธีทำคือนำเอาเนื้อเยื่อไขมันแข็งบริเวณไตของวัว หรือแกะ หรือสัตว์อื่น ๆ ที่ยังสดอยู่จำนวน 12 ออนซ์มาทุบบดรวมกับพืชล้มลุกที่นำมาใช้ทำครื่องหอมระเหยที่เรียกว่า marjoram จากนั้นปั้นให้เป็นลูกวงกลมแล้วประพรมด้วยไวน์ชั้นดี นำมันไปไว้ในภาชนะปิดมิดชิดเพื่อไม่ให้กลิ่นหอมระเหยออกไป วางไว้ในร่มเป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้วก็เอาไปใส่ลงน้ำ นำไปต้มให้เดือดช้า ๆ จากนั้นก็นำไปกรอง ขั้นตอนเหล่านี้ต้องทำซ้ำ 4-5 รอบและต้องเพิ่มเนื้อเยื่อไขมันแข็งจากไตสัตว์ครั้งละ 9 ออนซ์ สุดท้ายก็จะได้เครื่องสำอางที่เป็นขี้ผึ้งทาปาก
นอกจากนี้ หญิงในยุคกลางก็ยังพอมีอิสระที่จะเพิ่มความสวยความงามของตัวเองได้อยู่ สังคมในยุคนั้นพอจะยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับสีสันบนริมฝีปากของผู้หญิงบ้าง แต่ต้องเป็นเฉดสีดอกกุหลาบหรือลิลลี่เท่านั้นเพราะสีจำพวกนี้มีความหมายเกี่ยวพันถึงความบริสุทธิ์ ตราบใดที่ไม่ใช้สีฉูดฉาดมากเกินไปอย่างสีของผลเบอร์รี่หรือหัวบีทก็จัดว่ายังได้อยู่
แล้วถ้าหญิงยุคกลางอยากจะที่ทาริมฝีปากให้มีสีสันสดสวยจะต้องใช้อะไร วิธีการง่าย ๆ คือใช้ผลเบอร์รี่หรือมะนาวช่วยเพิ่มสีสันบนริมฝีปากได้ นำผลเบอร์รี่มาบดแล้วเอาสีมาทาที่ปาก ส่วนมะนาวก็เอามาถูที่ปากปากก็จะได้แดงขึ้น (วิธีหลังไม่น่าจะใช้กันในหมู่หญิงยุคกลางที่ปากแห้งแตก)
ส่วนไขมันรอบไตสัตว์ Photo: Wikipedia
ต้น alkanet และราก กับลิปทาปากที่ได้ Photo: healthbenefitstimes.com
•ที่กรีดตาหรือที่ทาตาล่ะมีไหม
การใช้เครื่องสำอางทาตามีมานานก่อนยุคกลางแล้ว (เห็นได้จากภาพเขียนสมัยอียิปต์โบราณ) แต่ในยุคกลางการทาสีสันบนเปลือกตาไม่เป็นที่นิยม ดังจะเห็นจากภาพวาดหรือรูปปั้นหญิงในยุคกลางที่ส่วนตาจะไม่ชัดไร้สีสันตกแต่งแถมมีคิ้วบางมากจนแทบมองไม่เห็น (เพราะถอนออกจนเกือบหมดแล้ว)
ถึงแม้กระนั้น ยุคกลางก็มีค่านิยมที่ทำให้ตาโตเหมือนเด็ก จะได้ดูสวยแบบบริสุทธ์ไร้เดียงสา ดังนั้นสาวยุคกลางจึงมีวิธีทำตาให้โตโดยใช้พืชอันตรายถึงตายหยดลงไปที่ตา พืชที่ว่านั้นคือต้น Belladonna ซึ่งแปลว่าหญิงสาวสวย ซึ่งชื่อนี้ก็มาจากการที่ผู้หญิงเวนิสในราชสำนักนิยมเอามาหยดใส่ม่านตาเพื่อให้ตาดูโตขึ้น
ต้น Belladonna Photo: Britannica

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา