24 พ.ค. 2021 เวลา 11:18 • ประวัติศาสตร์
เรื่องน่ารู้ในยุคกลาง:
ค่านิยมเรื่องความงามบนใบหน้า
ผู้หญิงไม่ว่าจะสมัยไหนต่างก็รักสวยรักงาม และพยายามสรรหากรรมวิธีต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองสวยงามขึ้น ซึ่งในแต่ละสมัยค่านิยมความงามจะแตกต่างกัน และสิ่งที่นำมาใช้เพื่อเสริมความงามก็ต่างกันออกไปเช่นกัน
อย่างในรูปคือภาพวาดของอีลิซาเบธ วู้ดวิลล์ หญิงสามัญชนผู้มีชื่อเสียงเลื่องว่ามีความงามเป็นเลิศ และถูกเรียกว่าเป็น ‘English Beauty’ จนกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 ของอังกฤษยอมแหกธรรมเนียมที่ต้องแต่งงานกับสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงในยุโรปด้วยกันเท่านั้นและยอมเสี่ยงความมั่นคงของราชบังลังก์เพื่อมาแต่งงานกับนาง มิหนำซ้ำนางยังเป็นแม่ม่ายลูกติดอีกเป็นโขยง แสดงว่าอีลิซาเบธต้องมีความงามเป็นเลิศจนถึงขั้นกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 4 หลงใหลจนยอมแต่งงานด้วย
แต่ถ้าจากสายตาของคนในยุคปัจจุบันเมื่อดูภาพวาดนี้แล้วก็คงสงสัยข้องใจว่านี่คือสวยแล้วใช่ไหม หัวเถิกขึ้นไปจนจะแทบอยู่ตรงกลางหัวขนาดนี้แล้วยังเรียกว่าสวยอีกหรือ แต่สิ่งที่เห็นอยู่นี้คือแฟชั่นความงามในสมัยนั้น ซึ่งเป็นมาตรฐานความงามที่ออกจะดูประหลาดสำหรับเราในยุคปัจจุบัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าในยุคกลางของยุโรปนั้นค่านิยมเรื่องความสวยความงามบนใบหน้าที่ดูแสนจะประหลาดสำหรับคนในยุคปัจจุบันอย่างเรานั้นเป็นเช่นไรและมีความเป็นมาอย่างไร
ภาพวาดอีลิซาเบธ วู้ดวิลล์ หญิงงามแห่งยุค Photo: Queens’ College Collection
•ขนตา ขนคิ้ว ขนหน้าผาก คือสิ่งไม่พึงประสงค์
ในช่วงปี 1400 ผู้หญิงในเวลานั้นนิยมการมีหน้าผากที่สูง ๆ มีใบหน้ารูปไข่ แล้วมีปากนิดจมูกหน่อยเล็ก ๆ ดูเหมือนเด็กที่มีความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ เส้นไรผมจะเอาแหนบมาดึงออกเพื่อให้หน้าผากอยู่สูงที่สุด ขนคิ้วก็จะถูกโกนหรือดึงออก ขนตาก็ดึงออก ดังนั้นใบหน้าของสาวยุคกลางตอนนั้นจะเป็นใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาว่างเปล่าที่สุด สีสันเดียวที่มีบนใบหน้าคือสีตาซึ่งก็ออกจะดูซีด ๆ
แต่ถ้าต่อไปสาวคนไหนไม่อยากตามแฟชั่นแบบนี้แล้ว แต่ขนคิ้วเจ้ากรรมที่ได้พยายามกำจัดไปก่อนนี้แต่ทีต้องการดันขึ้นมาหร็อมแหร็มบางตา ก็ต้องหาขนคิ้วใหม่ ซึ่งถ้าเป็นยุคเราก็เพียงแต่ใช้ดินสอเขียนคิ้วระบายเข้าไปให้ดูหนาขึ้นหรือไม่ก็ไปสักคิ้วเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ความนิยมในเวลานั้นคือเอาขนสัตว์มาติดเป็นคิ้วปลอม ซึ่งเอามาจากขนของสัตว์ฟันแทะ... คือขนหนู หรือไม่ก็ขนจากสัตว์ฟันแทะชนิดอื่น ขนของสัตว์พวกนี้จะถูกนำมาทำเป็นช่อคิ้วแทนที่ขนคิ้วที่หายไปจากการที่ใช้แหนบดึงออกจนขนคิ้วไม่ขึ้นอีก ต่อมามีการใช้ขนของคนแทน (เป็นโชคดีของหนูจริง ๆ)
1
โดยทั่วไปแล้วในยุคกลางจะนิยมหญิงสาวที่มีหน้าผากสูง คอยาว ผิวหนังซีดเซียว และมีขนคิ้วบาง ๆ แทบจะมองไม่เห็น จึงอย่าแปลกใจถ้าเห็นภาพวาดผู้หญิงในยุคกลางที่มีลักษณะเช่นนี้เพราะเขามองกันว่าสวย แต่ถ้าเห็นภาพวาดหญิงในยุคกลางที่ปล่อยผมก็ขอจงรู้ไว้ว่าผู้หญิงพวกนี้เป็นหญิงชาวบ้านชาวนา โสเภณี หรือไม่ก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ยังเล็กอยู่ที่ยังไม่แต่งงาน
ภาพหญิงสาวในยุคกลาง ผู้หญิงหน้าผากสูงคือคนสวยสำหรับยุคนั้น Photo: Quora
•การกำจัดขน
วิธีการกำจัดขนและผมที่ไม่เป็นที่ต้องการที่ง่ายที่สุดและทำกันทั่วไปในตอนนั้นคือการถอนโดยใช้แหนบ แหนบสมัยนั้นทำมาจากทองแดง โลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก หรือไม่ก็ทำมาจากเงิน
แต่ถ้าผู้หญิงจะถอนขนและผมจำนวนมากโดยใช้แหนบอย่างเดียวก็แลดูจะกลายเป็นกระบวนการที่สร้างความเจ็บปวดและยากลำบากจนเกินไป ดังนั้นมีอีกวิธีการในการกำจัดขนคือการใช้ครีมกำจัดขน
ผู้หญิงในยุคกลางใช้อะไรกำจัดขนได้บ้าง ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้นั้นได้แก่ น้ำพาร์สลีย์ ยางเถาไอวี่ และต้น milk thistle โดยนำเอาไปจุ่มในน้ำมันหรือน้ำมันวอลนัท ซึ่งวัตถุดิบพวกนี้เชื่อว่าจะทำให้ขนไม่ขึ้นโดยเฉพาะเอาไปทาโดยกดแรง ๆ ข้อแนะนำสำหรับการใช้ในส่วนไรผมคือเอาไปถูให้ทั่วบริเวณที่ต้องการ หรือเอาไปพันไว้กับผ้าและเอาไปแปะทิ้งไว้ ซึ่งวิธีนี้ค่อนข้างไม่เป็นอันตรายเพราะส่วนผสมทำมาจากพืช
อีกวิธีการหนึ่งในการทำวัตถุดิบกำจัดขนคือ บดเปลือกไข่ให้ละเอียด แล้วจากนั้นนำไปต้มในน้ำเพื่อทำเป็นแป้งเปียก แล้วเหล่าผู้หญิงจะนำมันไปถูบริเวณไรผมเพื่อขัดผมออก แต่อีกวิธีที่ดูแล้วคนสมัยปัจจุบันไม่น่าจะรับได้คือใช้ขี้แมวผสมกับน้ำส้มสายชู สมัยนั้นมีข้อแนะนำว่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรใช้ขี้แมวที่แห้งและแข็งแล้ว จากนั้นเอาวัตถุดิบนี้ไปบดเป็นแป้งก่อนที่จะนำไปผสมกับน้ำส้มสายชูแล้วนำไปทาบริเวณที่ต้องการกำจัดขน วิธีนี้นอกจากจะดูน่าขยะแขยงแล้วความเป็นกรดของน้ำส้มสายชูน่าจะไม่ได้เอาไรผมไปด้วยอย่างเดียว แต่น่ากลัวว่าจะมีหนังหัวได้เป็นของแถมติดไปด้วย
ต้น milk thistle หนึ่งวัตถุดิบที่ใช้ทำครีมกำจัดขนของผู้หญิงในยุคกลาง Photo: Thinkstock
•ตัวช่วยอื่นที่ทำให้หน้าผากสูงแถมยังถูกหลักศีลธรรมของคริสตจักร
มีผู้อธิบายสาเหตุว่าทำไมในยุคกลางจึงมีค่านิยมให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ เป็นเพราะว่าหน้าตาที่แท้จริงของผู้หญิงคือหน้าอก ดังนั้นจึงต้องทำใบหน้าให้เรียบเข้าไว้แล้วสายตาคนมองจะได้มองต่ำลงไปกว่านั้น
การทำใบหน้าให้เปิดกว้างและมีหน้าผากสูง ๆ มีตัวช่วยอีกวิธีคือการดึงผมไปเก็บไว้ในหมวกหรือผ้าคลุมผมดังที่เห็นได้จากภาพวาดของอีลิซาเบธ วู้ดวิลล์ และอิสซาเบลล่าแห่งโปรตุเกส ที่ไม่มีเส้นผมโผล่ออกมาจากหมวกคลุมสักเส้น ซึ่งการเก็บผมให้มิดชิดนี้เป็นนโยบายด้านศีลธรรมของคริสตจักรด้วย เพราะผมคือสิ่งยั่วราคะสำหรับคริสตจักรในยุคกลาง เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการผิดบาป ผู้หญิงจึงต้องเก็บผมไว้ในหมวกหรือที่คลุมผมให้มิดชิด
แต่ถึงแม้ว่าคริสตจักรจะต้องการให้คลุมผมให้มิดชิด แต่คริสจักรก็ไม่พึงใจที่จะให้ผู้หญิงในเวลานั้นกำจัดขนและผมบนใบหน้าเพื่อแฟชั่นที่สร้างความดึงดูดใจทางเพศ เวลาไปโบสถ์ถ้าพระมองเห็นถึงสัญญาณของการจำกัดผมบนใบหน้าแล้วล่ะก็ พระจะปฏิบัติต่อเหล่าผู้หญิงที่ยั่วราคะเหล่านี้ด้วยการเทศนาเรื่องบาปของมนุษย์ว่าด้วยเรื่องไร้สาระ แต่คริสตจักรจะยอมกัดฟันยอมรับการกำจัดขนและเส้นผมบนใบหน้าบนพื้นฐานเหตุผลเพื่อ “รักษาการเสียโฉมรุนแรงอะไรเทือก ๆ นั้นเพื่อมิให้ถูกดูถูกโดยสามีของนาง” แต่การดึงส่วนไรผมก็ไม่ได้จัดอยู่ในข้อยกเว้นเรื่องนี้ แต่ผู้หญิงไม่ว่าจะยุคไหนเป็นเหมือนกันหมดคือแหกกฎทุกอย่างได้เพื่อความงามของตนเอง
ภาพวาดของอิสซาเบลล่าแห่งโปรตุเกส จะเห็นว่ามีหน้าผากที่สูง และผมทั้งหมดถูกเก็บไว้ในที่คลุมผม Photo: Wikipedia
ในคราวต่อ ๆ ไปจะมาเล่าถึงค่านิยมเรื่องการแต่งหน้า ทำผม ผิว และส่วนอื่น ๆ ที่น่าสนใจมาก ๆ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา