20 พ.ค. 2021 เวลา 16:47 • ประวัติศาสตร์
เรื่องน่ารู้ในยุคกลาง:
การมีชู้
Photo: British Library
ในยุคกลางของยุโรปแม้คริสตจักรพยายามครอบงำการดำเนินชีวิตทุกด้านแม้กระทั่งชีวิตบนเตียง โดยเห็นว่าเพศสัมพันธ์ควรเป็นไปเพื่อการให้กำเนิดบุตรและหากมีก็ควรเกิดขึ้นภายใต้การแต่งงาน การมีเพศสัมพันธ์นอกการแต่งงานหรือการไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่สามีภรรยาของตนถือว่าเป็นบาปมหันต์ ซึ่งหลักการนี้การนอกใจไม่ว่าจะฝ่ายใดล้วนเป็นบาป แต่ในทางปฏิบัติผู้หญิงที่มีชู้จะถูกลงโทษอย่างหนัก
แต่ถึงคริสจักรจะพยายามควบคุมเช่นไร การนอกใจคู่สามีภรรยาของตนเองก็ยังเกิดขึ้นเป็นปกติไม่ต่างจากยุคปัจจุบัน มาดูกันว่ามีเรื่องน่ารู้อะไรบ้างที่เกี่ยวกับการมีชู้ในยุคกลางนี้
1
•การมีชู้ในหมู่คนทั่วไป
ในช่วงต้นของยุคกลางหากพบว่าผู้หญิงคนใดคบชู้สู่ชาย หญิงคนดังกล่าวจะถูกลงโทษหลายวิธี เช่น ถูกไล่ออกจากบ้าน ถูกริบสินสมรสไปเป็นของสามี ถูกโกนหัว ถูกตัดหูและจมูก หรือถูกนำไปแห่ประจานตามท้องถนน ที่ร้ายไปกว่านั้น หากฝ่ายภรรยาที่คบชู้สู่ชายวางแผนฆ่าสามีของตน เธออาจจะถูกเผาทั้งเป็นเพื่อลงโทษในอาชญากรรมนี้
พระหรือนักบวชจะเป็นผู้คอยสอดส่องความเป็นไปของพลเมืองในอาณาเขตทางศาสนาของตน ผู้ใดในชุมชนที่ประพฤติผิดจะถูกลากตัวไปดำเนินคดีที่ศาลศาสนา ซึ่งการลงโทษอาจจะเป็นการถูกปรับ หรืออาจจะถูกลงโทษให้สำนึกผิดในบาปที่กระทำด้วยการนำไปแห่ประจาน ดังรูปประกอบด้านล่าง
ผู้หญิงในยุคกลางจึงเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษหนักหากไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับชายอื่น แต่ถ้าสามีไปมีกับหญิงอื่นไม่ว่าจะเป็นสาวใช้ หญิงชาวไร่ชาวนา หรือโสเภณี ฝ่ายสามีจะไม่ได้รับโทษเช่นฝ่ายหญิง แถมศาลมักจะลังเลที่จะลงโทษสามีหากสามีไปฆ่าชู้รักของภรรยาของตนเอง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เพราะในยุคกลางต้องการรักษาเสถียรภาพของสังคมในด้านการสืบทอดมรดกโดยเฉพาะที่ดิน หากฝ่ายหญิงไปมีชู้แล้วให้กำเนิดลูกของคนอื่นจะส่งปัญหาต่อการสืบทอดมรดกที่ไม่มีความชอบธรรมที่แท้จริง นอกจากนี้ คริสตจักรมีทัศนะว่าการที่ผู้หญิงมีชู้นั้นเลวร้ายกว่าการที่ผู้ชายมี เพราะมองว่าผู้ชายนั้นเหมือนพระคริสต์ ส่วนผู้หญิงนั้นเหมือนโบสถ์ซึ่งมีพระคริสต์ได้แค่พระองค์เดียว (ส่วนพระคริสต์มีได้หลายโบสถ์ ฮ่า ๆ) แต่มุมมองเช่นนี้เริ่มเปลี่ยนไปในปลายศตวรรษที่ 15 ที่ผู้ชายก็เริ่มถูกดำเนินคดีในศาลมากขึ้น
การแห่ประจานผู้กระทำผิด Photo: The History Jar
•การมีชู้ในราชสำนัก
การลงโทษดังเช่นที่อธิบายไปก่อนหน้านี้ไม่เกิดกับบรรดากษัตริย์ สมาชิกราชวงศ์ และขุนนางในราชสำนัก (ไม่ว่าจะในสมัยใดคนกลุ่มนี้มักจะได้รับอภิสิทธิ์ข้อยกเว้นเสมอ) แถมในสังคมระดับสูงสุดนี้เต็มไปด้วยเรื่องฉาวคาวโลกีย์ กษัตริย์มีคู่รักจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งหลายรายเป็นภรรยาของขุนนางในราชสำนักนั่นเอง แถมขุนนางรู้ทั้งรู้ก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อผลประโยชน์ด้านเงินทองและตำแหน่งที่ภรรยาได้ไต่เตียงมาให้ แถมตัวขุนนางนั้นก็ยังมีชู้ด้วยเช่นเดียวกัน ชีวิตรักในราชสำนักจึงอลเวงมาก
แต่ถ้าขุนนางไปเป็นชู้กับมเหสีของกษัตริย์ หรือไปมีความสัมพันธ์กับพระธิดาของกษัตริย์ซึ่งถึงจะเต็มใจหรือไม่ก็ตามจะถูกเรียกว่าเป็น ‘การล่อลวง’ การกระทำนี้ถือว่าเป็นกบฏและมีโทษถึงตาย ซึ่งในระบบฟิวดัลหากข้าทาสบริวารของนายเหนือหัวไม่ว่าจะเป็นขุนนางของกษัตริย์หรือข้ารับใช้ของลอร์ดไปมีชู้กับภริยาหรือมีความสัมพันธ์กับลูกสาวของนายเหนือหัวของตนจะถูกลงโทษประหารชีวิตหมด ซึ่งโทษนี้ครอบคลุมถึงฝ่ายมเหสีของกษัตริย์หรือภริยาของขุนนางด้วยเช่นเดียวกัน (ถ้ามีกำเนิดเป็นสามัญชน) ดังเช่น แอนน์ โบลีน มเหสีคนที่ 2 ของกษัตริย์เฮนรีที่ 8 ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏเพราะไปคบชู้มีความสัมพันธ์กับบรรดาขุนนางในราชสำนักซึ่งหนึ่งในนั้นมีพี่ชายตัวเองอยู่ด้วย เธอถูกลงโทษด้วยการตัดคอ และแคทเธอรีน โฮเวิร์ด มเหสีคนที่ 5 ของกษัตริย์เฮนรีที่ 8 ถูกลงโทษด้วยการบั่นคอเพราะไปมีชู้กับขุนนางหนุ่มในราชสำนักเช่นกัน
อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องอื้อฉาวในราชสำนักฝรั่งเศส เมื่อบล็องซ์แห่งเบอร์กันดีกับมาเกอรีตแห่งเบอร์กันดีซึ่งทั้งคู่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ทั้งสองคนต่างก็เป็นลูกสะใภ้ของกษัตริย์ฟิลิปที่ 4 โดยไปลอบมีชู้กับขุนนางหนุ่มคู่หนึ่ง ชะตากรรมของขุนนางพี่น้องคู่นั้นคือถูกทรมานแล้วนำไปประหาร ส่วนบล็องซ์กับมาเกอรีตมีสถานะสูงส่งจึงถูกลงโทษด้วยการโกนหัวแล้วนำไปคุมขังตลอดชีวิต
การทรมานชายที่เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น Photo: British Library

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา