Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ดูก่อนนอน
•
ติดตาม
31 พ.ค. 2021 เวลา 14:36 • นิยาย เรื่องสั้น
เรื่องสั้น ขวัญผวา ตอน ครูที่ดีที่สุดของผม
เมื่อตอนที่ผมอายุสิบสองขวบ ผมได้ข้อสรุปว่าทุกคนบนโลกรวมทั้งครอบครัวของผมไม่ชอบผม ผมไม่ใช่เด็กมีปัญหา แต่พ่อแม่ของผมทำเหมือนผมเป็นแบบนั้นมาตลอด
เช่น ผมเคยต้องกลับบ้านก่อน 17.00 น. ทุกวัน มันเหมือนการกักบริเวณอีกแบบนึง ผมแทบไม่มี "เวลาเล่น" เลยด้วยซ้ำ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้มีเพื่อนมาเล่นที่บ้านและผมไม่ได้รับอนุญาตให้ไปคุยกับคนอื่น หลังจากกลับบ้านมา ผมต้องทำการบ้านให้เสร็จ ไม่ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม พ่อแม่ของผมไม่ยอมเสียเงินไปกับการซื้อวิดีโอเกมให้ผมและบังคับให้ผมอ่านหนังสือแล้วเขียนสรุปเกี่ยวกับหนังสือที่อ่าน เพื่อพิสูจน์ว่าผมอ่านมันจริงๆ
แม้ว่ากฎเหล่านี้จะค่อนข้างน่าหงุดหงิดสำหรับผมเมื่อตอนเป็นเด็ก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกผิดหวังและเศร้ามากเท่ากับการขาดความรักความเอ็นดูของพ่อแม่เลย แม่ของผมเป็นผู้หญิงที่ชอบโยนความผิดให้ผมแทบทุกครั้ง เวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นภายในบ้าน พ่อของผมก็มีเพียงอารมณ์เดียวเท่านั้น คือความหงุดหงิด พ่อจะคุยกับผมก็ต่อเมื่อ ผมได้คะแนนสอบไม่ดีหรือตอนที่ผมทำผิด จะเรียกว่าพูดคุยคงจะไม่ได้ เพราะเขาเอาแต่ด่าผมอย่างเดียว
ผมขอพอกับเรื่องของพ่อแม่ก่อน เรามาพูดถึงนักจิตวิทยาในโรงเรียนของผมกัน เพื่อความเป็นส่วนตัวของเขาเราจะเรียกเขาว่า ดร. แทนเนอร์ เขาเป็นเหมือนครูของผมคนนึงเลย เช่นเดียวกับโรงเรียนมัธยมต้นส่วนใหญ่มักมีนักจิตวิทยาคอยให้คำปรึกษาในช่วงนอกเวลาเรียนเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่ต้องการคำปรึกษา ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์ วิชาการ สังคม พฤติกรรม ฯลฯ
พูดตามตรง ผมไม่เคยเห็นนักเรียนคนไหนคุยกับ ดร.แทนเนอร์เลย ทุกวันผมจะเดินผ่านห้องทำงานของเขาระหว่างทางไปโรงอาหารและแอบมองผ่านหน้าต่างบานเล็กในห้องเขา เขามักจะอยู่คนเดียวที่นั่นและนั่งทำงานเอกสารบางอย่าง
ผมเดาว่าเด็กส่วนใหญ่กลัวเกินกว่าที่จะพูดถึงปัญหาของพวกเขากับผู้ใหญ่ที่เป็นคนแปลกหน้า ด้วยเหตุนี้ผมจึงใช้เวลาสามสัปดาห์ในการรวบรวมความกล้าพอที่จะเดินเข้าไปในห้องทำงานของเขา วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2536 เป็นวันที่ผมตัดสินใจเล่าเรื่องปัญหาที่ผมเจอให้กับ ดร.แทนเนอร์ ในช่วงพักเที่ยง ผมยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของเขาแล้วเคาะ
ผมเห็นเขาเงยหน้าขึ้นและยิ้ม กวักมือเรียกให้ผมเข้าไป
เขาทักทายผมด้วยการแนะนำตัวและขอชื่อผม ดร. แทนเนอร์เป็นคนพูดจานุ่มนวลและผมเห็นความเมตตาของเขาได้อย่างชัดเจน ไม่ถึงสามสิบนาที ผมคุยกับ ดร.แทนเนอร์ว่าพ่อแม่ใจร้ายกับผมแค่ไหน หลังจากนั้นไม่นานเสียงของผมก็เริ่มสั่นและผมก็หยุดพูด ดร.แทนเนอร์รับฟังอย่างอดทน เขากอดอกและพยักหน้าทุกครั้งตอนที่ผมพูดจบประโยค ผมแอบคิดว่าดร.แทนเนอร์คงจะบอกผมว่าทุกสิ่งที่ผมเพิ่งพูดไปนั้นไม่เป็นความจริง จริงๆแล้วพ่อแม่ของผมก็รักผม แต่ดร.แทนเนอร์ไม่ได้ทำแบบนั้น
ดร. แทนเนอร์โน้มตัวมาหาผมพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาและพูดว่า “เธอรู้ไหม…ครูเป็นนักจิตวิทยาที่ดีที่สุดในโลก ครูสัญญาว่าครูจะแก้ไขปัญหานี้ให้เธอเอง”
“โอเคครับ แต่จะทำยังไงล่ะ” ผมถาม
“ครูมีวิธีของครู!” เขาตอบว่า “ครูพูดคำไหนคำนั้น ครูสัญญาว่าภายในหนึ่งเดือนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อแม่ของเธอจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตลอดไป”
หลังจากหยุดชั่วครู่เขาก็พูดต่อ “แต่ครูต้องการให้เธอสัญญากับครู”
“เธอต้องสัญญากับครูว่า พรุ่งนี้เธอจะกลับมาที่ห้องของครูหลังเลิกเรียน และเธอจะไม่บอกใครว่าวันนี้เราคุยกัน มันจะเป็นความลับเล็ก ๆ ของเรา”
ผมสัญญา
วันต่อมาผมกลับไปหาดร. แทนเนอร์หลังเลิกเรียน เป็นเวลาประมาณ 16.00 น. เมื่อผมเข้าไปในห้องทำงานของเขา หลังจากต้อนรับผมอย่างอบอุ่นเขาก็ขอให้ผมไปนั่งที่โต๊ะ
ตอนนั่งลงผมดู ดร. แทนเนอร์ปิดมู่ลี่ของหน้าต่างบานเล็ก ๆ “เอาล่ะ” เขาเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ไม่มีใครมากวนเราได้แล้ว!”
เราเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ผมชอบและความสนใจ วิชาที่ผมชอบในโรงเรียน ครูที่ผมชอบน้อยที่สุด ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
ดร. แทนเนอร์หยิบเครื่องดื่มให้ผม
ผมรับมาอย่างดีใจ เนื่องจากพ่อแม่ของผมไม่เคยอนุญาตให้ผมดื่มโซดาเลย ดร. แทนเนอร์เอื้อมมือไปที่ตู้เย็นขนาดเล็กของเขา และวางโซดาที่เปิดอยู่สองกระป๋องลงบนโต๊ะทำงาน หลังจากนั้นเราก็คุยกันต่อเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม แต่ไม่นานผมหลับไป น่าจะเพราะยาอะไรไม่รู้ ที่ดร. แทนเนอร์ผสมไว้ในเครื่องดื่ม
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีผมก็ตื่นขึ้น ตาของผมพร่ามัว ... พอลืมตาได้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ดี
ผมถูกใส่กุญแจมือไว้กับเตียงและปิดปากด้วยเทปพันสายไฟ ผมเริ่มตกใจทันที ผมพยายามดิ้น แต่ก็ต้องยอมแพ้ไป
ไม่นานหลังจากนั้น ดวงตาของผมเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อหลังจากมองไปรอบ ๆ ห้อง มีโปสเตอร์ฮีโร่ติดอยู่ตามผนังและรูปถ่ายของนักกีฬาชื่อดังบนชั้นวางของ ตรงกลางห้องมีทีวีเครื่องเก่าและ Nintendo ตลับเกมต่างๆวางเรียงซ้อนกัน
ผมไม่รู้ว่าจะคิดยังไง ที่นี่ผมอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งของที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่อยากเล่นด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ถูกใส่กุญแจมือติดกับไว้เตียง ผมคงร้องไห้ด้วยความดีใจไปแล้ว
ท้องของผมปั่นป่วนเมื่อประตูเปิดออก และดร.แทนเนอร์ก็เดินเข้ามา เขานั่งลงบนขอบเตียง
“ฟังครูนะ” เขาพูด “จำไว้ว่าครูมาที่นี่เพื่อช่วยเธอและครูจะไม่ทำร้ายเธอ” ดร.แทนเนอร์ค่อยๆแกะเทปออกจากปากของผมแล้วปลดออกจากมือของผม
สัญชาตญาณแรกของผมคือการร้องไห้ แต่มีบางอย่างเกี่ยวกับดร. แทนเนอร์ที่ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย เขายิ้มให้ผม
“เธอจะต้องอยู่ที่นี่สักพักนะ” เขาพูดต่อ“ และเธอสามารถเล่นของเล่นอะไรก็ได้ในห้องนี้ ในตอนที่ครูอยู่ที่นี่”
“แต่เมื่อครูไม่ได้อยู่ที่นี่ ครูจะต้องใส่กุญแจมือของเธอไว้ เธอยังดูโทรทัศน์ได้ แต่ครูอยากให้เธอดูเฉพาะช่องข่าวนะ ในตอนที่ครูไม่อยู่”
ผมนั่งอยู่ในความเงียบยังคงพยายามประมวลผลข้อมูลที่เขาให้มา
"เพราะฉนั้น!" ดร.แทนเนอร์ตบเข่าผม “ เธอเล่นให้เต็มที่เลย ทำสิ่งที่เธออยากทำมาตลอด ครูจะกลับเข้ามาพร้อมอาหารในตอนเย็น”
เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปและล็อคประตู
หลายนาทีผ่านไป ก่อนที่ผมจะรู้ว่าดร. แทนเนอร์ไม่ได้ล้อเล่น ผมเปิดเครื่อง Nintendo และเล่น Mario จนถึงค่ำ
เวลาประมาณ 19.00 น. ดร. แทนเนอร์กลับมาที่ห้องพร้อมกับมันฝรั่งบดและไก่สองจาน ในที่สุดผมก็รวบรวมความกล้าถามเขาว่า ผมจะต้องอยู่ห้องนี้นานแค่ไหน “ประมาณหนึ่งเดือน” เขาตอบ “ขอเวลาสองสามสัปดาห์ พอดีครูมีงานบางอย่างที่ต้องทำ”
เช้าวันรุ่งขึ้นผมถูกปลุกโดย ดร. แทนเนอร์ “เฮ้ คู่หู ถ้ายังไม่อยากตื่นเดี๋ยวค่อยนอนต่อก็ได้ แต่ครูจำเป็นต้องใส่มันคืน” เขากระซิบและหยิบกุญแจมือเหล็กเย็น ๆ ล็อคข้อมือข้างนึงของผมติดไว้กับเตียง
ผมมองขึ้นไปที่เขา เขาสวมเสื้อเชิ้ตคอปกและกางเกงสแล็ค เสื้อคลุมพาดไหล่และมีกระเป๋าเดินทางอยู่ข้างๆ ผมดูว่าเขาทำอะไรอยู่เสมอ ก่อนออกไปเขาวางรีโมททีวีไว้ข้างๆผมแล้วบอกให้ผมเปิดดูข่าว
สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อเปิดทีวีคือ "ข่าวด่วน" เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนึงยืนอยู่กับผู้คนพร้อมไมโครโฟนล้อมรอบ ผมบังเอิญเริ่มดูคำพูดของเขาได้สักพักนึง
“ มีการแจ้งความเด็กหายเมื่อเช้านี้ ทางเราคาดว่าจะเป็นการลักพาตัว เรากำลังพยายามอย่างหนักในการหาตัวคนร้าย แต่ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานมากนัก มีผู้พบเห็นเด็กชายคนนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณสี่หรือห้าโมงเย็นในวันที่ -“
ผมเริ่มรู้สึกคลื่นไส้เมื่อมีรูปถ่ายของผมปรากฏขึ้นบนหน้าจอ คำบรรยายภาพแสดงชื่อและอายุ โรงเรียนและเมืองของผม ด้านบนภาพของผมมีชื่อเรื่องสลับกัน เอฟบีไอเริ่มค้นหาและยังไม่พบผู้ต้องหาที่ก่อเหตุ
วิดีโอถ่ายทอดสดยังคงดำเนินต่อไป และจากนั้นไม่นานผมก็เห็นพ่อกับแม่ก้าวขึ้นไปบนโพเดียม ทั้งสองดูเหมือนจะมีดวงตาสีแดง น้ำตาไหลอาบใบหน้าของแม่ขณะที่เธอถือไมโครโฟนอยู่
ผมไม่เคยเห็นแม่ของผมมีอารมณ์มากขนาดนี้มาก่อน เธอร้องไห้ในรายการทีวีโดยพูดติดอ่างกับประโยคต่างๆเช่น “ได้โปรด ปล่อยลูกผมเถอะ” และ“ ฉันขอโทษจริงๆ” และ“ ปล่อยลูกเราด้วย ได้โปรด”
เมื่อพ่อของผมหยิบไมโครโฟน ผมนึกว่าเขาจะมีท่าทีเย็นชาเหมือนที่เป็นมาตลอด แต่เขาก็มีน้ำตาคลอด้วยเช่นกัน เขาวิงวอนต่อโลกให้พาลูกชายกลับบ้านอย่างปลอดภัยและสุดท้ายขอร้องให้ผมให้อภัยเขา! “ผมรู้ว่าผมเป็นพ่อที่แย่ แต่ผมหวังว่าตอนนี้จะเป็นพ่อที่ดีที่สุดให้กับลูกได้ ช่วยพาลูกของผมกลับมาด้วย”
ผมปิดทีวี หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มสับสนเพราะไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้เลยสักครั้ง
ผมรู้สึกเป็นทุกข์ที่พ่อแม่ของผมถูกกดดันมากมาย แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกโล่งใจ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อกับแม่รักผมมากแค่ไหน
เวลาผ่าไปเกือบสี่สัปดาห์ ดร. แทนเนอร์ยังคงดูแลผมอย่างดี เขาหายไปในตอนเช้า แต่กลับมากินข้าวกลางวันและข้าวเย็นกับผม คุยและเล่นเกมกันในตอนบ่าย
แต่เช้าวันหนึ่งตอนที่ ดร. แทนเนอร์ ปลุกผมก่อนออกไปทำงาน ผมสังเกตเห็นใบหน้าของเขาดูเคร่งขรึม เขาปลุกผมเร็วกว่าปกติประมาณสามชั่วโมง
“เธอต้องดูข่าววันนี้ให้ได้นะ ครูอยากให้เธอเปิดทีวีไว้ทั้งวัน เธอจะต้องทำตามที่ครูบอก” เขาพูดอย่างน่ากลัว
แน่นอนผมทำตามที่ครูบอกทุกอย่าง
ประมาณสองชั่วโมงต่อมา ข่าวด่วนขึ้นมาขัดจังหวะโฆษณายาสีฟันที่ผมกำลังดูอยู่ หัวข้อข่าวคือ พบศพมนุษย์
ชายสองคนที่ดูแข็งกร้าวในชุดสูทยืนอยู่ข้างๆกันและเริ่มพูด “เราขอแสดงความเสียใจ ที่ต้องแจ้งข่าวร้ายเกี่ยวกับคดีเด็กหายเมื่อต้นเดือนนี้” เขาพูดต่อ “ศพถูกพบในถุงขยะใต้สะพานลอยทางหลวง ร่างกายดูเหมือนจะเป็นของเด็กแม้ว่าจะเหลืออยู่ไม่มากนัก ร่างกายถูกตัดหัวและถูกเผาไปมาก”
หน้าจอเลื่อนไปยังมุมมองเฮลิคอปเตอร์ของทางด่วน รถตำรวจหลายสิบคันรวมตัวกันใกล้ๆด้านล่างของสะพานลอยสูง และยังคงได้ยินเสียงของผู้ชายในทีวี “ในกระเป๋า ตำรวจพบบัตรประจำตัวนักเรียนมัธยมต้น”
หน้าจอทีวีแสดงบัตรประจำตัวโรงเรียนของผม มันคือบัตรประจำตัวของผม ที่ผมเก็บไว้ในกระเป๋าเป้เสมอ พลาสติกละลายไปหมดแล้ว แต่รูปถ่ายและชื่อของผมยังไม่บุบสลาย
หลังจากที่ชายในทีวีพูดจบ กล้องก็แพนไปที่พ่อแม่ของผม พวกเขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้สื่อข่าว ใบหน้าของแม่ของผมซีดและดูเจ็บปวด พ่อของผมก็นั่งซบหน้าลงที่เข่าของเขา
ผมปิดทีวี
ดร.แทนเนอร์กลับมาดึกมาก เขารีบเข้ามาในห้องปลดกุญแจที่ข้อมือของผมและวางขวดน้ำที่มีฟองไว้ในมือของผม
เขาวางมือลงบนไหล่ของผมแล้วยิ้ม
“ครูสัญญากับเธอไว้ไม่ใช่เหรอ”
ผมพยักหน้ารับ น้ำตาไหลอาบหน้า
“เอาล่ะ เธอต้องให้สัญญากับครูอีกครั้ง” เขากระซิบ
เขาบอกผมว่า ผมต้องดื่มน้ำในขวดให้หมดมันจะช่วยให้ผมนอนหลับ และจากนี้ไปผมจะต้องไม่บอกใครเลยว่าผมเคยเจอเขา
“ครูบอกเธอแล้วไงว่า ครูเป็นนักจิตวิทยาที่ดีที่สุดในโลก” เขาพูดถูก ผมไม่มีอะไรจะเถียงเลยในเรื่องนี้
คืนนั้นผมตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่กลางสวนสาธารณะ ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน ผมจำสวนสาธารณะนี้ได้ มันอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนของผม
ผมเดินไปตามถนนประมาณหนึ่งไมล์ ผมเห็นบ้านของผม บ้านปิดไฟมืดสนิท แต่ผมก็ยังมองเห็น พ่อของผมนั่งอยู่หน้าประตูบ้าน
ผมเรียกหาเขาอย่างลังเล เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นผมเขาก็วิ่งมาหาผมกอดอกตะโกนเรียกชื่อผม แม่ของผมได้ยิน ก็รีบวิ่งออกมาจากบ้าน
ดร. แทนเนอร์พูดถูก ครอบครัวของผมเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง พ่อแม่ของผมยิ้มบ่อยขึ้นและดูแลผมด้วยความรัก ผมไม่สามารถขอตอนจบที่สมบูรณ์แบบกว่านี้ได้แล้ว
ทุก ๆ ครั้งที่ผมเห็น ดร. แทนเนอร์ เราแทบไม่ได้มองหน้ากันเลย เพราะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและเราไม่ค่อยได้เจอกัน แต่บางครั้งเขาก็จะกระพริบตาและยิ้มให้ผม
ผมจะรักษาสัญญากับเขาและแสร้งทำเป็นว่าผมไม่เคยเจอเขามาก่อน แต่จะมีคำถามหนึ่งที่ลอยอยู่ในใจของผมไปตลอดชีวิต นั่นก็คือ ดร. แทนเนอร์เอาศพของใครไปทิ้งที่สะพาน
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
เรื่องสั้น ขวัญผวา
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย