3 มิ.ย. 2021 เวลา 03:20 • นิยาย เรื่องสั้น
4.1. ขบวนการต้านทรราชย์
ฮัวหิม น้ำค้างพราว - ซุนต่ำ วาตะโชย - กากุ๋ย ประกายดาว
ภาพรวมฝั่งฟากตะวันออกแผ่นดินฮั่น ทางเหนือ ฝ่ายโจโฉ มีสุมาอี้ เต่าสมถะ กับ ตันฮก กิเลนพิสดาร ทางใต้ ฝ่ายซุนกวน มีลกซุน พยัคฆ์คะนอง ตรงกลาง ฝ่ายเล่าปี่ มี ขงเบ้ง มังกรซ่อน กับ บังทอง หงส์ผงาด ห้าทายาทมังกรต่างก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือแถวหน้าพร้อมกันหมดแล้ว ตามแผนการของเครือข่ายสุมาที่เคยวางไว้อย่างสวยงาม
หากแบ่งแยกโดยละเอียด ถึงแม้สุมาอี้กับตันฮกจะสามารถกุมความลับเรื่องขบถตังสินสามารถควบคุมพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ แต่ฝ่ายนี้คนเก่งมีมาก เชื่อมโยงซับซ้อน จนยากยึดครอง จึงจำต้องมองแผนระยะยาว ค่อยๆแทรกซึมฐานอำนาจ ขยับมาสร้างอิทธิพลในสกุลโจรุ่นลูกแทน
สุมาอี้สนิทสนมใกล้ชิดกับโจผี ทายาทคนโต และดำรงสถานะผู้นำลัทธิเต๋าแทนสุมาเต๊กโชผู้บิดา ในขณะที่ตันฮก ตันกุ๋น ถือหางอยู่ฝ่ายสองพี่น้องโจเจียง โจสิด และช่วงหลังถึงกับคุ้นเคยกับพวกสำนักหอสมุดใต้หล้าที่เป็นสายขงจื้อ
ที่จริง สุมาอี้คือผู้นำเครือข่ายแล้ว แต่ตันกุ๋นผู้อาวุโสสูงสุดมิเคยยอมศิโรราบ แต่ยังมีตันฮก ผู้บุตร เป็นตัวประสานกลาง ทำให้ความบาดหมางของคนทั้งสามแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจน แต่ก็ดูจะเริ่มมีความแตกแยกทางความคิด เพราะยิ่งสนับสนุนคนละขั้วการเมือง ก็คล้ายแทงพนันคนละกอง จึงไม่อาจสนิทใจกันเหมือนแต่ก่อน
ทางด้านขงเบ้ง เคยเป็นที่โปรดปรานของเจ้านครเล่าปี่ และมีจูกัดกุ๋ย บิดา เป็นตัวเชื่อมโยง แต่เมื่อเล่าปี่เห็นพฤติกรรม และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระยะหลังนี้ อาจเกิดความระแวงแคลงใจอยู่บ้าง แต่ยังหวั่นเกรงอิทธิพลของจูกัดกุ๋ย ซึ่งไร้ร่องรอยมาเนิ่นนาน จึงมิถึงกับหักหาญน้ำใจ ตำหนิคาดโทษต่อขงเบ้ง เพียงหันมาพึ่งพาให้น้ำหนักกับบังทองแทนตามคำแนะนำของเตียวหุยมากขึ้นเท่านั้น
กุนซือขงเบ้งจึงโดนแยกไปทำงานสายบุ๋น โดดเดี่ยวจากอำนาจทางทหาร มีชะตากรรมเช่นเดียวกันกับกวนอู ที่ไม่ถูกทิ้งขว้างห่างเหิน แต่ก็ไม่เชิดชูเต็มที่เหมือนแต่เดิม จนถูกลูกน้องคนสนิท อันได้แก่ บิต๊ก บิฮอง ซุนเขียน กันหยง อิเจี้ย ดูแคลนอยู่บ้าง ในขณะที่ บังทอง เตียวหุย กลับถูกให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร
ยามนี้ เล่าปี่มีอาณาเขตครอบครองมากขึ้น กลุ่มคนสนิทที่เดิมที ไร้พื้นที่แสดงฝีมือ จึงมีโอกาสสร้างชื่อทำผลงานบ้างแล้ว พวกบิต๊กจึงเร่ิมมีชื่อเสียง และจับมือกับเล่าฮองอีกคน เป็นกลุ่มการเมืองที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อปกป้องตัวเองจากผู้ทรงอิทธิพลคนอื่นๆในขุมกำลังเดียวกัน โดยเฉพาะกวนอูและขงเบ้งที่ถูกหมายหัวไว้ตั้งแต่ต้น
กลับกลายเป็นลกซุนที่ยืนข้างกายเข้าขากับโลซก นักการเมืองวานิช ได้อย่างสนิทสนม และยังได้รับความไว้วางใจจากเจ้านครซุนกวนผ่านทางสายสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์-อาจารย์ของจิวยี่ จึงเป็นตัวประสานเชื่อมโยงขุมกำลังในแดนใต้ได้อย่างมั่นคงกว่าคนอื่นๆ
สำหรับคนรุ่นเดียวกัน ลกซุน เล่งทอง นับว่า โดดเด่นเหนือกว่าผู้ใด เพียงแต่คนในสังกัดกังตั๋งมีไม่น้อย และล้วนแต่อายุไม่มากนัก ทำให้ทั้งสองยังคงต้องแสวงหาช่องทางเติบโตอีกมากนัก โดยเฉพาะกับขุมกำลังที่มากด้วยเครือญาติสกุลซุนด้วยกันเอง
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กระถางสามขายังไม่ถึงกับชัดเจนนัก และทำอะไรกันไม่ได้ ด้วยต่างก็มีพันธะสัญญาค้ำคออยู่หลายปี ภาพสงครามครั้งสำคัญจึงกลับไปฉายไปที่ดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ม้าเฉียว อาชาคะนองศึก ขุมกำลังรุ่นใหม่ที่เตรียมจะลั่นกลองรบทำศึกสำคัญกับโจโฉ จอมทรราชย์บ้างแล้ว
หลังจากทำสัญญาสงบศึกกับพันธมิตร ซุนกวน - เล่าปี่ สามปี ตามความประสงค์ของอดีตหญิงคนรัก ไต้เกี้ยว แล้ว เจ้าพระยาปราบอุดร โจโฉ ก็ตัดสินใจครั้งสำคัญตามคำแนะนำของกาเซี่ยง เรียกตัวกุนซือน้อยใหญ่ ให้กลับเข้ามารายงานตัวที่ส่วนกลาง เพื่อระดมสมอง เตรียมการปฏิรูปพลิกฟื้นแผ่นดินครั้งสำคัญในช่วงเวลาสามปีทองนี้
ปัญหาเฉพาะหน้าที่กำลังก่อตัวขึ้น ก็คือ ภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลในการก่อสร้างปราสาทนกยูงทองแดง และเมืองใหม่สกุลโจที่ท้ายสุดแล้ว ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบโครงสร้างให้เขตปราสาทใหญ่ครอบคลุมเมืองใหม่บางส่วน ราวกับเป็นป้อมค่ายปราการทหาร เพื่อเพิ่มกำลังคุ้มกันให้กับคนในตระกูลทั้งหลาย โดยครั้งนี้ ถึงกับยอมอนุญาตให้ครอบครัวของขุนนางนายทหารระดับสูงได้เข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด
โครงการดังกล่าวจะนำพาให้ขุนนางนายทหารไม่อาจเคลื่อนไหวต่อต้านโดยสะดวก ด้วยติดขัดในเรื่องตัวประกันครอบครัว ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการควบคุมอำนาจในระยะยาว แต่ก็ลงทุนในทรัพย์สินเงินทอง และเสบียงกรัง จนทำให้ท้องพระคลังทั้งสองส่วนนั้นเบาบางลงไปอย่างสาหัสจริงๆ
โจโฉได้รับฟังรายงานเรื่องนี้มาโดยตลอดทั้งสามสี่ปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่ไม่อาจบอกกล่าวผู้คนได้ นั่นคือ การตัดภาระค่าใช้จ่ายทางทหารด้วยการส่งกองทัพไร้คุณภาพหลายสิบหมื่นที่เปรียบเสมือนหอกข้างแคร่นั้น ให้ไปตายในศึกเซ็กเพ็ก และการตัดสินใจชะลอศึกแดนใต้ชั่วคราว เพื่อหันกลับมาทุ่มเทจัดการสมรภูมิฝั่งเหนือ-ตะวันตกให้เด็ดขาดก่อน
โจโฉประเมินแล้วว่า พันธมิตรซุน-เล่า ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับพี่น้องสกุลอ้วน นั่นคือ ร่วมกันต่อต้านโจโฉซึ่งหน้า แต่พร้อมจะหักหลังกันเองทุกเมื่อ นี่เป็นอีกครั้งที่มันกำลังใช้กลยุทธ์เดิม “จะจับ แสร้งปล่อย” ที่เคยได้ผลในแดนเหนือมาแล้ว อย่างน้อย การล้มล้างขุมกำลังเกงจิ๋วของเล่าเปียวได้นั้น ก็ถือเป็นผลงานโดดเด่นมากในระดับหนึ่งแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องรุกคืบไปในแดนใต้
โจโฉประเมินแล้ว ศึกนอก ต้องนับให้ม้าเฉียวเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่ง เพราะรุกคืบกินสามมณฑลฝั่งซ้าย สามารถกระหนาบกินเมืองหน้าด่านเตียงอันได้ในลำดับถัดไป ดังนั้น การหันกลับไปต่อสู้ให้เด็ดขาดกับพวกสกุลม้าจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว
ส่วนศึกใน คือ กลุ่มเชื้อพระวงศ์ กลุ่มอำนาจเก่า และกลุ่มบัณฑิตขงจื้อ ที่ยังรอคอยจังหวะและโอกาสกลับมายิ่งใหญ่เช่นเดิม หากศึกนอกศึกในเชื่อมโยงกันขึ้นมาได้แล้ว คงเป็นปัญหาหนักของพวกมันเป็นแน่แท้
ตันกุ๋น กุนซือจอมโหด แม้จะติดขัดวุ่นวายอยู่กับการคุมงานก่อสร้างปราสาทเมืองใหม่ ยังเสนอให้รีบเร่งพัฒนากองกำลังทหารที่มีให้ทำงานประสานกัน โดยเฉพาะทัพเกลียวคลื่น ทัพม้าเหล็ก และทัพฟ้าลั่น ตั้งเป็นกองกำลังทำลายล้างที่มีประสิทธิภาพสูงของกองทัพพยัคฆ์เสือดาวของฝ่ายโจโฉ เมื่อผนวกกับผู้นำกองทัพที่เข้มแข็งอย่าง สี่เทวะ ห้าพยัคฆ์ จึงนับว่า สถานการณ์ด้านกองกำลัง ไม่เป็นที่น่ากังวลใจแล้ว
ตันฮก กุนซือกิเลนพิสดาร ที่เปลือกนอก ย้ายมาด้วยความจำใจ ยังไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการสงครามให้เกิดคำครหา จึงอาสานำกำลังพลทหารที่ว่างศึก ให้ออกไปจัดการทางด้านเสบียงอาหาร ที่มักจะเป็นปัญหาใหญ่ของกองทัพโดยทั่วไป พัฒนาแนวความคิดของเล่าจิน ปราชญ์แดนดิน ทำเป็นระบบต้นแบบทำนา “ถุนเถียน” อันโด่งดังให้กับฝ่ายโจโฉ ด้วยการปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องมือ เปลี่ยนแปลงระบบการทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และประมงให้ดียิ่งขึ้น ใช้ระบบโครงข่ายเชื่อมโยง ปันส่วนผลผลิตจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และเมือง ส่งต่อมายังยุ้งฉางที่เมืองใหญ่ต่างๆ พื้นที่อันกว้างใหญ่ของแผ่นดินฮั่น
เมื่อคนมีความรู้ระดับอัจฉริยะ ยอมทุ่มเทสติปัญญาให้กับอุปกรณ์เครื่องมือและระบบการจัดการทรัพยากรเช่นนี้ จึงสร้างผลผลิตขึ้นมากเป็นทวีคูณ จนคลังเสบียงแน่นล้นทุกหัวเมือง ไม่ขาดแคลนเหมือนแต่ก่อน กลับเป็นคุณอนันต์อันยิ่งใหญ่ต่อประชาชนและแผ่นดินได้ยาวนาน และพร้อมที่จะนำมาใช้ในการสงครามได้แล้วเช่นกัน
สุมาอี้ กุนซือเต่าสมถะ เลือกให้ความสนใจในด้านความเป็นอยู่ของประชาชน ผ่านทางเศรษฐกิจการค้า ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงการสื่อสาร การขนส่งสินค้าทางบก ทางน้ำ และแก้ไขระบบแลกเปลี่ยนเงินตราด้วยตั๋วแลกเงิน จนเมืองฮูโต๋ ลกเอี๋ยง ทั้งสองเมืองหลัก มีความเจริญเติบโตขึ้น เศรษฐกิจการค้าเฟื่องฟู ไม่อ่อนด้อยไปกว่าเมืองกิจิ๋ว เสเหลียงทางเหนือ หรือเมืองต๋องง่อ ห้อยเขทางใต้ จนสามารถเปิดเส้นทางการค้าสายใหม่ข้ามทะเลทรายออกไปดินแดนนอกด่านฟากตะวันตกได้อีกครั้ง
แต่หมากที่สำคัญ กลับเป็นการลอบสร้างเครือข่ายสนิทสนมกับพวกพ่อค้าคหบดีสำคัญ เชื่อมโยงเจ้าสัวจงฮิว ผู้นำสหพันธ์การค้าหมาป่าเงินที่ครอบคลุมกิจการสื่อสารด้วยจดหมาย การขนส่งทางบก ทางเรือ ตั๋วแลกเงิน ประกันภัย เข้ากับเจ้าสัวเกียงกวง เจ้าพ่อการค้าสีเทา ประเภทโรงเตี๊ยม บ่อนพนัน ซ่องโสเภณี และสินค้าผูกขาดทั้งหลาย เช่น เกลือ โลหะ และสุรา ทำให้มีทรัพย์สินเงินทองหลั่งไหลเข้ากระเป๋ามากมาย
ธุรกิจดั้งเดิมของจงฮิวย่ำตามรอยเท้าของเจ้าพ่อการค้าเกียวชวน พึ่งพิงกิจการแดนใต้มากจนเกินไป จนบางคนถึงกับตั้งฉายานามให้เป็นสหพันธ์เทียมเจ้าสัว (เกียวชวน) ทำให้สุมาอี้ช่วยหาทางออกให้กับสหายรัก เชื่อมสัมพันธ์กับเกียงกวง ชักนำธุรกิจสายเทาออกจากเงามืด ล้างตัวให้เป็นเจ้าพ่อการค้าคนดังที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลฮั่นแทน
ส่วนกาเซี่ยง กุนซือปีศาจ ที่มีเบื้องหลังเป็นคนของหน่วยปักษาสวรรค์ค้ำคออยู่ ไม่กล้าแทรกแซงเรื่องราวตามห้วงเวลาประวัติศาสตร์ จึงขอดูแลงานด้านการศึกษา โดยเข้าไปตัดตอนกลุ่มขงจื้อสายการเมือง เสริมส่งสายปรัชญา และเรียกตัวพวกนักปราชญ์เจี้ยนอานที่ยังเหลืออยู่ ให้กลับมาพัฒนาสำนักหอสมุดใต้หล้าแห่งใหม่ในเมืองหลวงฮูโต๋ร่วมกัน เพื่อให้เป็นสถาบันแกนนำทางวิชาการต่อไป โดยเน้นหนักไปในเรื่องระบบการศึกษา ปรัชญา วรรณคดี และบันทึกประวัติศาสตร์ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายทางการเมืองอีก
นักปราชญ์เจี้ยนอานผู้อาวุโส ยามนี้ หลงเหลือเพียง อองลอง อ้วนยู เล่าจิน เคาก้าน อิ๋นฉาง ล้วนแต่ชราสูงวัยมากแล้ว จึงยินยอมลดทอนทิฐิลง ถึงกับเสนอความร่วมมือกับคนสายเต๋า เพื่อพัฒนาสังคมคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทน คัดเลือกเหล่าบัณฑิตชื่อดังให้เป็นเจ็ดนักปราชญ์แห่งแผ่นดินรุ่นที่สอง นามว่า เจ็ดเมธีสัจธรรม อันประกอบด้วย
กวานหนิง ใช้ชีวิตเรียบง่าย จิตใจใสบริสุทธิ์ ตั้งให้เป็น หิมะขาว
ฮัวหิม เข้าใจจารีตประเพณี จดจำได้แม่นยำ ตั้งให้เป็น น้ำค้างพราว
ปิงหยวน ยุติธรรม กล้าขัดแย้งกับผู้มีอำนาจ ตั้งให้เป็น พิรุณพรำ
ซุนต่ำ รอบรู้วิชาการ มีความมานะพยายาม ตั้งให้เป็น วาตะโชย
ซุยเป๋ง ละเอียดรอบคอบ แยกแยะเรื่องราวชัดเจน ตั้งให้เป็น ฟ้ากระจ่าง
โจ๊ะกงหงวน จิตใจเปิดเผย ชอบช่วยเหลือผู้คน ตั้งให้เป็น สุรีย์ส่อง
เบงคงอุย นิสัยอ่อนโยน แต่มั่นคงในหลักการ ตั้งให้เป็น จันทร์ผันแปร
นักปราชญ์สี่คนแรกเป็นคนสายขงจื้อที่มีแนวความคิดก้าวหน้า ไม่ยึดติดหลักการโบราณ สามคนหลังเป็นคนรุ่นใหม่สายเต๋า พร้อมยืดหยุ่นตามกระแสสังคม บ้างมีตำแหน่งราชการ บ้างเป็นคนปลีกวิเวก น่าเสียดาย เรื่องราวดีงามประกาศไปแล้ว แต่กวานหนิงยึดมั่นปณิธานเดิม ไม่ยอมรับทำงานให้ราชการ พวกปราชญ์อาวุโสพิจารณาแล้ว จึงพร้อมใจกันยกตำแหน่งที่ว่างให้กากุ๋ย บุตรชายกาเซี่ยงวัยสามสิบกว่าปี ขึ้นมาเป็น ประกายดาว รั้งลำดับสุดท้าย แทนที่ลำดับแรกที่แจ้งสละสิทธิ์
สำนักหอสมุดใต้หล้า จึงเป็นจุดกำเนิดความผสมผสานกันระหว่างความรู้สายขงจื๊อกับสายเต๋าอย่างเป็นทางการ เพื่อพัฒนาการศึกษาให้กับประชาชน ทดแทนองค์ความรู้ที่ขาดหายตกหล่นไปในช่วงศึกสงครามหลายสิบปีที่ผ่านมา
กาเซี่ยงเข้าไปจัดการระบบการศึกษาอย่างรวบรัด เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อโครงสร้างในอนาคต ที่ลัทธิขงจื้อกับลัทธิเต๋า จะอยู่ได้ยั่งยืน เคียงคู่กับศาสนาพุทธในเมืองจีน และเหล่านักปราชญ์พวกนี้ ก็จะกลายเป็นอาจารย์สืบทอดความรู้ รวมทั้งเป็นต้นแบบให้กับเจ็ดปราชญ์ป่าไผ่ ที่มี บัณฑิตจีคัง เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในภายหน้าด้วย
จากการเคลื่อนไหวเชิงโครงสร้างต่างๆที่ดูเหมือนไม่สลักสำคัญเช่นนี้ กลับส่งผลกระทบโดยตรงต่อพวกต่อต้านทรราชย์โจโฉ พวกอำนาจเก่า และพวกบัณฑิตขงจื้อสายการเมือง เพราะภาพลักษณ์ที่บ้านเมืองดูคล้ายเจริญรุ่งเรือง มีเงินใช้ มีความสุขถ้วนทั่ว ทำให้ราษฎรเริ่มเปลี่ยนท่าที ไม่รังเกียจชิงชังรัฐบาลทรราชย์เหมือนแต่ก่อน ด้วยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเก่า จนกลายเป็นการเร่งเร้าให้กลุ่มต่อต้านต้องรีบเร่งเคลื่อนไหวออกมา ก่อนที่อำนาจเก่าและเสียงสนับสนุนที่หลงเหลืออยู่ จะหมดสิ้นไป
การกวนน้ำให้ขุ่นเช่นนี้ นับเป็นการกระตุ้นที่แยบยลของกาเซี่ยง กุนซือปีศาจ ผู้ช่ำชองทางด้านการเมือง ที่ไม่ต้องการให้โจโฉอยู่ว่างเกินไป และในขณะเดียวกัน ยังต้องรักษาบัลลังค์ของพวกตระกูลโจเอาไว้ด้วย จึงต้องจัดสรรศัตรูตัวแคระแกรนให้โจโฉได้วุ่นวายใจเล่นๆ แต่ไม่ถึงกับกระทบกระเทือนต่อรากฐานอำนาจของมัน
นอกจากนี้ กาเซี่ยง ในฐานะหัวหน้าคณะกุนซือใหญ่ ยังเปิดทางชักนำเด็กใหม่อีกคนหนึ่งให้เข้าสู่วงการขุนนาง โดยจัดให้เข้าไปเป็นกุนซือพี่เลี้ยงของโจสิด ซึ่งด้วยนิสัยความประพฤติที่ใกล้เคียงกันในเรื่องสุรานารี และโคลงกลอน ทั้งสองจึงสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว แต่กลับทำให้โจโฉยิ่งรำคาญใจ เพราะเหมือนโจสิดจะยิ่งหลงระเริงในความสนุกสนานรื่นรมย์มากขึ้น จึงขัดเคืองกุนซือหน้าใหม่ที่มีชื่อว่า เอียวสิ้ว อยู่ไม่น้อย หากแต่สติปัญญาของคนผู้นี้ กลับไม่เลวเลยจริงๆ
เอียวสิ้ว เป็นเพียงปลาน้อยรอดร่างแห กล่าวคือ เขาเป็นลูกของพี่สาวของอ้วนเสี้ยว จึงมีศักดิ์เป็นหลานของขบถแผ่นดินตระกูลอ้วน ที่จริง สมควรถูกประหารล้างโคตรไปในศึกกัวต๋อด้วยเช่นกัน หากแต่เอียวปิด ผู้เป็นลุง คือทหารเอกในสังกัดลิฉุยกุยกี และเอียวปิว ผู้เป็นพ่อ ก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ระดับสูง ทั้งสองมีความจงรักภักดีต่อราชสำนัก และมีส่วนช่วยในการปราบลิฉุยกุยกีในอดีต ซึ่งโจโฉเองก็เคยรู้จักมักคุ้นกันอยู่ก่อนแล้ว โจโฉจึงยอมละเว้นโทษให้ทั้งแม่ลูกในสายตระกูลสาแหรกนี้เป็นกรณีพิเศษ
นับจากที่เกิดเรื่องราวสองพี่น้องสกุลเอียวฆ่าตัวตายอย่างมีเงื่อนงำนั้น เอียวสิ้ว ก็วางมือจากการเมือง กลายเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญคนหนึ่ง หากแต่สติปัญญา และความรอบรู้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป ดังนั้น การที่กาเซี่ยงชักนำมาให้เป็นกุนซือคู่ใจของโจสิด หนึ่งในทายาทของโจโฉ จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง และดูจะถูกจริตกันมากกว่าโจผีที่เคยถูกจัดการให้เป็นพี่เลี้ยงร่วมเรียนหนังสือในอดีต
ด้วยความที่กาเซี่ยงเคยมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรสหายกับเอียวปิด เอียวปิว ขุนนางสองพี่น้องผู้ล่วงลับ มาเนิ่นนาน จึงบังเอิญทราบว่า บุคคลสำคัญที่เชื่อมโยงกับขบวนการต่อต้านทรราชย์นั้น ที่แท้ ก็คือ เอียวสิ้ว หนุ่มน้อยที่งำประกาย คนนี้นี่เอง
มันจึงหาทางเคลื่อนย้ายหมากสำคัญให้เข้ามาอยู่ในกระดานเสียเลย แทนที่จะปล่อยให้โลดแล่นอย่างอิสระอยู่ภายนอกไกลห่างสายตา จนควบคุมดูแลไม่ได้ อย่างน้อย ก็อาจทำให้สืบพบว่า ใครกันที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ที่อยู่เบื้องหลังขบวนการลึกลับครั้งนี้
ในที่สุด ปราสาทนกยูงทองแดง ณ มณฑลกุนจิ๋ว ริมฝั่งแม่น้ำฮวงโห ตำแหน่งนอกเมืองหลวงฮูโต๋ทางเหนือ ที่ใช้เวลาก่อสร้างนานถึงสี่ปีกว่าก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ สามารถเดินทางได้สะดวกทั้งทางบกและทางน้ำ ความโอ่อ่าสวยงามย่อมไม่อาจบรรยายได้หมดสิ้น บทกลอนของสามยอดนักกวีสกุลโจถูกประดับตกแต่งตามจุดต่างๆ เน้นถึงรสนิยมสูงส่งลุ่มลึก นับว่า ฝีมือของตันกุ๋นที่ทุ่มเทเวลาให้กับงานใหญ่ตั้งหลายปี ไม่เสียเปล่าจริงๆ
จวนที่พักของโจโฉเอง นอกเหนือจากส่วนพักผ่อนตามปกติแล้ว ยังถูกจัดสรรให้มีพื้นที่การประชุมกว้างใหญ่ มีห้องพักเรียงรายด้านข้าง คล้ายย่อส่วนมาจากท้องพระโรงว่าการของฮ่องเต้จนแยกแยะความแตกต่างแทบไม่ออกแล้ว แสดงว่า หากโจโฉต้องการใช้ปราสาทเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการประชุมสั่งการ ก็สามารถทำได้ในทันที
ครอบครัวของโจโฉย่อมเป็นประธาน ยึดครองพื้นที่หลักของปราสาท ส่งมอบการดูแลให้กับนางเปียนสี ผู้เป็นภรรยาหลวง แทนที่สามีเจ้าบ้าน ครอบครัวของคนสกุลโจและแฮหัวของกลุ่มสี่เทวะเป็นกลุ่มรอง ได้รับการจัดสรรอยู่พื้นที่ชั้นใน มอบให้แฮหัวป๋า ลูกแฮหัวเอี๋ยน ซึ่งเป็นพี่ใหญ่ในรุ่นที่สองเป็นคนดูแลทั่วไป
จากนั้น วงรอบนอกถัดไปเป็นพื้นที่ของครอบครัวขุนนางและนายทหารระดับสูง โดยมอบให้กากุ๋ย ลูกชายกาเซี่ยง ที่มีอาวุโสสูงสุดในรุ่นลูก เป็นคนดูแลเช่นกัน และวงรอบนอกสุดท้าย ย่อมเป็นพื้นที่ของเหล่าคนรับใช้ คนงาน และพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปที่ช่วยขับเคลื่อนให้ชุมชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
สุดท้าย โจโฉยังคงไม่ลืมเลือนโจซุน น้องชายคนเล็กที่ตาบอด และยังไม่หายขาดจากอาการกระทบกระเทือนทางประสาท จึงส่งตัวให้มารักษาอยู่ในพื้นที่ชั้นในด้วยเช่นกัน โดยจัดเวรให้หมอหลวงในราชสำนัก ผลัดกันเข้ามาดูแลอย่างใกล้ชิด
ยังมี กองกำลังองครักษ์ประจำปราสาทรายล้อมดูแลอยู่อีกหลายพันนาย ช่วงแรก ถึงกับให้เป็นเทียลิด พ่อบ้านใหญ่ และ ลิเตียน องครักษ์ขวาเป็นผู้เข้ามาวางมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด โดยให้ความสำคัญต่อการป้องกันเปรียบเสมือนถ้ำเสือแดนมังกรไปแล้ว
กุนซืออันดับหนึ่งกาเซี่ยงจึงเสนอให้จัดงานทำบุญเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ หวังใช้โอกาสนี้ในการผสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำคนสำคัญของสายพุทธ เต๋า และขงจื้อ เข้าด้วยกันให้เป็นแบบอย่างสืบเนื่องต่อไป แต่ในมุมมองของโจโฉกลับเห็นเป็นการแสดงอำนาจบารมีของตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ต่อแผ่นดิน งานมงคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ ไม่เคยปรากฏมานานมากแล้ว
ในที่สุด วันสำคัญก็มาถึง โจโฉและคนชั้นสูงทั้งหลายกำลังเข้าร่วมพิธีทำบุญครั้งใหญ่ โดยมีหลวงจีนเภาเจ๋งแห่งวัดป่าน้อยที่สองเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เพื่อเสริมสร้างดวงชะตาให้เป็นฤกษ์ยามในการโยกย้ายครอบครัวเข้าไปยังที่อยู่แห่งใหม่กัน นับว่า เป็นรูปแบบผสมผสานพิธีการสายเต๋าให้เข้ากับสายพุทธเป็นครั้งแรก นอกจากขุนพลสำคัญที่ยังคงต้องตรึงกำลังตามชายแดนยุทธศาสตร์แล้ว เหล่าบุคคลสำคัญของเมืองหลวงล้วนพร้อมหน้ากันที่นี่ แม้แต่กุนซือสุมาอี้ ตันฮก ยังได้รับเชิญให้กลับมาร่วมงานด้วย
มิทันคาดคิดมาก่อน สายข่าวได้เข้ามารายงานว่า กองซุนของ เจ้าเมืองคนใหม่ที่ขึ้นมาครองเมืองกิจิ๋ว แทนกองซุนอวดที่ป่วยตายกระทันหัน ได้ชักชวนชนเผ่าซงหนู เซียนเปย อูหวน ก่อตั้งขึ้นเป็นกองทัพพันธมิตรชนเผ่านอกด่านอีกครั้ง และนำกองกำลังม้าเร็วจำนวนมาก บุกผ่านกำแพงใหญ่ตรงมายังเมืองหลวงแล้ว
สายข่าวยังแจ้งเพิ่มเติมอีกว่า พวกแฮหัวเอี๋ยนทั้งหลายที่ตั้งรับศึกตะวันตกที่เมืองเตียงอัน ได้รับทราบข่าวการศึกแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องรีบด่วน เทพเหี้ยมหาญ แฮหัวเอี๋ยนร้อนใจ จึงตัดสินใจนำกองทัพกึ่งหนึ่ง ไปกับขุนพลเตียวคับที่มีชื่อเสียงในศึกล้างชนเผ่าอูหวน แยกไปปราบปรามกองซุนของ และกองทัพชนเผ่าให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ปล่อยให้โจหอง ซิหลงอยู่เฝ้าด่านทางนี้ก่อน เมื่อเสร็จศึกฝั่งนั้นแล้ว ค่อยรีบกลับมาสมทบกันเช่นเดิม
ไม่ทันที่โจโฉจะแสดงความเห็น ม้าเร็วก็นำข่าวสารจากโจหองมาเพิ่มเติมว่า ม้าเฉียว หันซุยฉวยโอกาสเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ชายแดน คล้ายจะรุกตีมาจากฝั่งตะวันตกแล้วเช่นกัน ทำให้โจหองทั้งสาม เริ่มกังวลใจ เพราะจำนวนพลถูกแบ่งแยกออกไปจนน้อยลงกว่าเดิมมากนัก จึงต้องส่งข่าวกลับมาแจ้งมายังโจโฉในทันที
มาถึงตอนนี้ โจโฉกับเหล่าบุคคลสำคัญยังไม่ทันเคลื่อนไหวอันใด ข่าวร้ายกลับแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก กองทหารจากหัวเมืองทางเหนือ และกองทหารชนเผ่า ที่ยังคงเหลือรอดจากการสังหารครั้งใหญ่ในศึกผาแดง เร่ิมมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มๆ คล้ายจะมีความเคลื่อนไหวใหญ่ในค่ายทหารที่ประจำอยู่นอกเมืองหลวง ส่วนกลุ่มกองหน่วยงานอื่นๆภายในเมืองหลวงเอง ก็มีท่าทีแปลกประหลาด จนล่าสุด ยังมีข่าวร่ำลือกันว่า มีกลุ่มคนลึกลับกระจายตัวกันออกมาเป็นหมวดหมู่ มุ่งหน้ามาทางปราสาท และจุดยุทธศาสตร์สำคัญ หรือว่า พวกขบวนการต่อต้านทรราชย์ จะเริ่มก่อการใหญ่แล้ว
เพียงชั่วข้ามคืน โจโฉกลับเหมือนตกเข้าไปในสมรภูมิรบ แต่ปราสาทนกยูงและเมืองใหม่ ถูกสร้างขึ้นให้พร้อมเป็นศูนย์กลางในการบัญชาการทัพอยู่แล้ว จึงสั่งให้เคาทู ลิเตียน องครักษ์ซ้าย-ขวา และกาเซี่ยง กุนซือคนสนิทจัดเตรียมองครักษ์ประจำปราสาทให้พร้อมรับมืออย่างเต็มอัตราศึก
ส่วนสุมาอี้ และงักจิ้น ให้นำทหารกลับเข้าไปควบคุมดูแลสถานการณ์ทางด้านวังหลวงและพระเจ้าเหี้ยนเต้ จุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการเมือง และให้ขุนพลแฮหัวตุ้น โจหยิน กับตันกุ๋น ตันฮก แยกย้ายกันไปคุมกองกำลัง และรักษาประตูเมือง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร รวมทั้งเตรียมเคลื่อนกำลังมาช่วยเหลือด้านปราสาทด้วย โดยทุกคนได้รับป้ายประกาศิตสามารถสั่งการกองทัพได้อย่างฉุกเฉิน มีแฮหัวตุ้นเป็นผู้ควบคุมสั่งการ
แผ่นดินราชวงศ์ฮั่นที่มีความมั่นคงแข็งแกร่งประดุจป้อมปราการ จู่ๆ กลับเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในเมืองหลวงครั้งใหญ่ขึ้นอีกแล้ว ความเคลื่อนไหวของผู้คนเป็นกลุ่มก้อนเกิดขึ้นตามทางหลวงสำคัญ สร้างความแตกตื่นสับสนให้กับประชาชนทั่วไปอย่างยิ่ง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา