5 มิ.ย. 2021 เวลา 03:18 • ประวัติศาสตร์
เรื่องราวของ “ยุคกลาง (Middle Ages)”
ผมได้เคยเขียนเรื่องราวของ “ยุคกลาง (Middle Ages)” ไว้แล้ว หากแต่ก็เป็นเพียงการนำเสนอในด้านหนึ่งเท่านั้น
เรื่องราวและประวัติศาสตร์ในยุคกลางนั้นยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจและศึกษา ผมจึงได้ตัดสินใจเขียนเรื่องราวเด่นๆ ของยุคนี้อีกครั้ง
“ยุคกลาง (Middle Ages)” เป็นยุคสมัยตั้งแต่ศตวรรษที่ 5-ศตวรรษที่ 15 โดยเริ่มนับตั้งแต่การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปีค.ศ.476 (พ.ศ.1019)
การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก (Fall of the Western Roman Empire)
ในศตวรรษที่ 14 เหล่านักคิด นักเขียน และศิลปินทั่วทั้งยุโรป เริ่มจะมองย้อนกลับไปยังอดีต และให้ความสนใจในศิลปะของกรีกและโรมัน
เหล่าผู้มีปัญญา ต่างนับเหตุการณ์หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกว่าเป็นช่วงเวลาที่ “มืดมิด” เป็น “ยุคมืด” คือเป็นช่วงเวลาที่ไม่เกิดความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ไม่เกิดงานศิลปะชั้นยอด และไม่เกิดผู้นำที่ยิ่งใหญ่
แต่ในปัจจุบัน นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ให้การยอมรับว่ายุคกลาง เป็นยุคที่สำคัญไม่แพ้ยุคใด
ภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ไม่มีดินแดนหรือรัฐบาลใด จะสามารถรวบรวมผู้คนและแผ่นดินในยุโรปให้เป็นปึกแผ่นได้
1
สถาบันที่ขึ้นมามีอำนาจมากที่สุดคือ “คริสตจักรคาทอลิก (Catholic Church)”
ทั้งกษัตริย์และผู้นำดินแดนต่างๆ ต่างก้าวขึ้นมามีอำนาจจากการสืบเชื้อสาย การสนับสนุนของพันธมิตรจากดินแดนต่างๆ และความคุ้มครองจากคริสตจักร แม้แต่กษัตริย์ก็ต้องยำเกรงคริสตจักร
1
ประชาชนทั่วยุโรปต้องเสียภาษีให้คริสตจักรปีละ 10% ของรายได้ ในขณะที่คริสตจักรได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้คริสตจักรมีทั้งเงินและอำนาจ
1
ในขณะเดียวกัน ศาสนาอิสลามก็ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
ภายหลังการสิ้นของ “มูฮัมหมัด (Muhammad)” ผู้นำทางศาสนาอิสลามในปีค.ศ.632 (พ.ศ.1175) กองทัพมุสลิมก็ได้บุกยึดครองดินแดนในตะวันออกกลางเป็นจำนวนมาก
ในช่วงที่รุ่งเรือง อาณาจักรของอิสลามในยุคกลางมีขนาดใหญ่กว่าดินแดนของชาวคริสต์กว่าสามเท่า
ภายใต้การนำของอิสลาม เมืองใหญ่เช่นกรุงไคโร หรือกรุงแบกแดด ก็รุ่งเรืองและเกิดการพัฒนาทางสติปัญญา
กวี นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ ต่างเขียนหนังสือนับพันเล่ม มีงานแปลจากภาษากรีก และอินเดียออกมามากมาย อีกทั้งวงการวิทยาศาสตร์ ก็ได้มีการประดิษฐ์คิดค้นวิทยาการใหม่ๆ รวมทั้งระบบตัวเลขที่ใช้กันในปัจจุบัน และยังมีการเผยแพร่ศาสนาไปทั่วตะวันออกกลาง
1
ช่วงปลายศตวรรษที่ 11 คริสตจักรคาทอลิกได้เริ่มจัดทัพ ออกศึก หรือก็คือ “สงครามครูเสด (Crusades)” เพื่อขับไล่พวกมุสลิมออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์
อัศวินครูเสดต่างเชื่อว่าการเข้าร่วมสงคราม จะเป็นการล้างบาปและทำให้ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขบนสรวงสวรรค์
สงครามครูเสดเริ่มต้นในปีค.ศ.1095 (พ.ศ.1638) และดำเนินมาจนสิ้นสุดศตวรรษที่ 15
ในปีค.ศ.1099 (พ.ศ.1642) กองทัพชาวคริสต์ได้ยึดเมืองเยรูซาเลมคืนจากพวกมุสลิม และทำให้ผู้แสวงบุญจากยุโรปตะวันตก เริ่มมาเยือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
หากแต่ผู้แสวงบุญจำนวนมากก็ถูกปล้นและฆ่าขณะเดินทางผ่านดินแดนของมุสลิม
ผลของสงครามครูเสดนั้น แสดงให้เห็นว่าไม่มีผู้ชนะในสงครามนี้อย่างแท้จริง ทั้งสองฝ่ายต่างเสียชีวิตทหารและไพร่พลเป็นจำนวนมาก และกลายเป็นหนึ่งในสงครามที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดสงครามหนึ่งในประวัติศาสตร์
นอกจากเข้าร่วมในสงครามศาสนาแล้ว อีกวิธีหนึ่งในการแสดงความอุทิศตนให้แก่คริสตจักร ก็คือการสร้างโบสถ์และอารามต่างๆ
ในยุคกลาง โบสถ์คืออาคารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป สามารถพบเห็นได้ในเมืองใหญ่ทั่วยุโรป
ระหว่างศตวรรษที่ 10-ศตวรรษที่ 13 โบสถ์ส่วนมากในยุโรป จะเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์ (Romanesque)
ลักษณะเด่น ๆ ของสถาปัตยกรรมแบบโรมาเนสก์คือความเทอะทะ ความหนาของส่วนต่างๆ ของอาคาร มีเพดานโค้ง
ในศตวรรษที่ 13 เริ่มมีการใช้สถาปัตยกรรมแนวใหม่ในการก่อสร้างโบสถ์ นั่นคือการใช้สถาปัตยกรรมแบบกอธิค (Gothic)
สถาปัตยกรรมกอธิค พัฒนาขึ้นจากปัญหาทางโครงสร้าง โบสถ์ในสมัยนั้น โดยได้เปลี่ยนแปลงมาใช้โครงสร้างหลังคาโค้งแหลม ภายในอาคารมักใช้เสารายเป็นแนวเพื่อดึงความสนใจไปยังจุดเดียว เป็นการแสดงลักษณะการก่อสร้างอันมีพลัง ลักษณะรูปทรงของสิ่งก่อสร้างจะเป็นลักษณะที่ก่อให้เกิดความสะเทือนทางอารมณ์
1
นอกจากศิลปะทางด้านสถาปัตยกรรมแล้ว แม้แต่หนังสือก็คืองานศิลปะชนิดหนึ่ง
ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ในสมัยศตวรรษที่ 15 เหล่าช่างฝีมือในอารามจะคัดลอกหนังสือสอนศาสนา โดยหนังสือที่ทำ จะตกแต่งอย่างสวยงาม ประดับด้วยสีต่างๆ
ต่อมา ระหว่างค.ศ.1347-1350 (พ.ศ.1890-1893) ก็ได้เกิดการระบาดของกาฬโรค ซึ่งช่วงเวลานี้ ก็เป็นที่รู้จักในนามของ “กาฬมรณะ (Black Death)”
1
ช่วงเวลาของกาฬมรณะ โรคระบาดได้คร่าชีวิตชาวยุโรปไปประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเท่ากับจำนวนประชากรยุโรปกว่า 30% ในเวลานั้น
ในเมืองใหญ่ๆ นั้นมีการระบาดมากที่สุด เนื่องจากมีคนอยู่เยอะ การติดต่อจึงเป็นไปได้ง่าย
กาฬมรณะ (Black Death)
การระบาดได้เริ่มต้นขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ.1347 (พ.ศ.1890) เมื่อเรือจำนวน 12 ลำซึ่งเดินทางมาจากทะเลดำ ได้มาเทียบท่ายังเมืองเมสซินา เกาะซิซิลี
ลูกเรือจำนวนมากได้เสียชีวิตแล้ว คนที่รอดชีวิต บนร่างกายก็เต็มไปด้วยฝี มีเลือดและน้ำหนองไหลออกมาตลอด
2
อาการของโรคร้ายนี้ เริ่มตั้งแต่มีไข้ หนาวสั่น อาเจียน และท้องเสีย ตามมาด้วยอาการปวด และเสียชีวิตในที่สุด
ไม่เพียงแค่มนุษย์ที่เสียชีวิต หากแต่สัตว์ต่างๆ ทั้งวัว หมู แกะ ไก่ ก็ล้มตายเช่นกัน ทำให้ยุโรปในเวลานั้นขาดแคลนขนแกะ
เมื่อสถานการณ์แย่ลงเรื่อยๆ บางคนก็คิดว่าโรคระบาดที่เกิดขึ้น เกิดจากการลงโทษของพระเจ้า และเพื่อจะให้พระเจ้ายกโทษ หลายคนเลือกที่จะเฆี่ยนตีตนเอง ทรมานตนเองเพื่อขอให้พระเจ้าให้อภัย
2
แต่ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะทรมานตนเอง อีกหลายคนก็เลือกที่จะโทษผู้อื่นว่าเป็นต้นเหตุ โดยผู้ที่ตกเป็นเป้าคือ “ชาวยิว”
1
ระหว่างค.ศ.1348-1349 (พ.ศ.1891-1892) ชาวยิวนับพันในยุโรปถูกฆ่า อีกเป็นจำนวนมากต้องหนีไปยังยุโรปตะวันออก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีคนน้อยกว่า
2
ในทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าโรคระบาดนี้เกิดจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง สามารถเดินทางผ่านอากาศ และสามารถติดได้จากการถูกตัวหมัดหรือหนูที่มีเชื้อกัด
ทางด้านเศรษฐกิจ ชาวบ้านธรรมดา เหล่าชาวนาชาวไร่ ต่างถูกปกครองโดยระบบที่เรียกว่า “ระบบฟิวดัล (Feudalism)”
ระบบฟิวดัล กษัตริย์จะพระราชทานที่ดินให้ขุนนางและหัวหน้าบาทหลวง ส่วนเหล่าแรงงาน เกษตรกรที่ไม่ได้ถือครองที่ดินจำนวนมาก ก็จะเข้ามาใช้แรงงานในที่ดินของขุนนาง
แรงงานเหล่านี้ต้องทำทุกอย่าง ทั้งปลูกพืชและเก็บเกี่ยว แต่ก็ต้องมอบพืชผลจำนวนมากให้เจ้าของที่ดิน โดยแรงงานเหล่านี้ จะได้ค่าตอบแทนเป็นการอนุญาตให้พักอาศัยบนที่ดิน และได้รับความคุ้มครองจากเจ้าของที่ดิน
ในช่วงศตวรรษที่ 11 ได้เริ่มมีการพัฒนานวัตกรรมการเก็บเกี่ยว ทำให้การทำไร่นั้นง่ายและสะดวกกว่าเดิม แรงงานจึงไม่จำเป็นมากเท่าแต่ก่อน ผลผลิตก็เยอะขึ้น ทำให้ประชากรเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้น
ผู้คนเริ่มย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ และที่ผ่านมา สงครามครูเสดก็ได้ทำให้เกิดเส้นทางใหม่ๆ ไปยังตะวันออก ทำให้การค้าเติบโต และทำให้ชาวยุโรปได้ลิ้มลองสินค้าใหม่ๆ จากแดนไกล ไม่ว่าจะเป็นไวน์ น้ำมันมะกอก รวมทั้งผ้าที่สวยงาม
1
เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว จึงเกิดเมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางการค้าหลายแห่ง โดยในศตวรรษที่ 14 มีเมืองใหญ่ที่เป็นเมืองท่าไม่ต่ำกว่า 15 เมือง มีประชากรมากกว่า 50,000 คน
1
และในเมืองใหญ่เหล่านี้เอง ยุคสมัยใหม่ก็ได้เกิดขึ้น นั่นคือ “ยุคเรเนสซองส์ (Renaissance)” ซึ่งผมจะเขียนเรื่องราวของยุคนี้ในโอกาสต่อๆ ไป
1
ยุคเรเนสซองส์ เป็นยุคสมัยที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในด้านต่างๆ ซึ่งก็มีรากฐานมาจากยุคกลางนี้เอง
1
โฆษณา