6 มิ.ย. 2021 เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
ตำนาน “จอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail)”
1
“จอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Grail)” คือจอกที่เชื่อกันว่าเป็นจอกที่ “พระเยซู (Jesus)” ทรงใช้ดื่มเมื่อคราวเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้าย และเป็นจอกที่ “โจเซฟแห่งอาริมาเธีย (Joseph of Arimathea)” ใช้รองพระโลหิตของพระเยซู ขณะที่พระองค์ถูกตรึงกับไม้กางเขน
2
เรื่องราวของจอกศักดิ์สิทธิ์ ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน โดยเฉพาะกับคนที่ชื่นชอบเรื่องราวของประวัติศาสตร์และโบราณคดี และเรื่องราวของจอกนี้ก็ถูกกล่าวถึงและถ่ายทอดในภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง
แต่อะไรที่ทำให้จอกในตำนานนี้ดึงดูดใจของผู้คนทั่วโลก?
ลองไปหาคำตอบกันครับ
จอกศักดิ์สิทธิ์ คือสิ่งที่ถูกกล่าวถึงและมีอยู่ในตำนานต่างๆ มากมาย ทำให้ยากที่จะแยกระหว่างเรื่องจริงกับตำนาน
บทประพันธ์และนิยายหลายเรื่องต่างบรรยายว่าจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นมีสรรพคุณวิเศษ สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้
1
นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าต้นกำเนิดของจอกศักดิ์สิทธิ์นั้น สามารถย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยเทพนิยายของชาวเคลต์ อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงจอกศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของชาวคริสต์หลายเรื่อง
การออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกในนิยายรักของฝรั่งเศสเรื่องหนึ่งในสมัยศตวรรษที่ 12 ก่อนที่ในศตวรรษที่ 13 ได้มีกวีชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ได้แต่งบทกลอนที่กล่าวถึงจอกศักดิ์สิทธ์ โดยกล่าวว่าจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจาก “พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper)” และ “การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (Christ’s Death)”
1
จากนั้น เรื่องราวของจอกศักดิ์สิทธิ์ก็โด่งดังมากยิ่งขึ้น และเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกนำมาถ่ายทอดในบทประพันธ์สมัยยุคกลางหลายเรื่อง ได้รับการกล่าวถึงไปทั่วยุโรป
พระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper)
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (Christ’s Death)
นิทานบางเรื่องได้กล่าวว่า “โจเซฟแห่งอาริมาเธีย (Joseph of Arimathea)” เป็นผู้นำจอกศักดิ์สิทธิ์มายังเมืองกลาสตันเบอรี ประเทศอังกฤษ
ตามตำนานนั้น โจเซฟแห่งอาริมาเธียได้ทำการฝังจอกศักดิ์สิทธิ์ไว้ใต้พื้นดิน และน้ำบริเวณนั้นก็กลายเป็นสีแดงเนื่องจากน้ำได้ไปผสมรวมกับพระโลหิตของพระเยซู
โจเซฟแห่งอาริมาเธีย (Joseph of Arimathea)
บางคนก็เชื่อว่า เหล่าอัศวินเทมพลาร์ (Knights Templar) ซึ่งเป็นคณะทหารคริสตชนที่มีหน้าที่ปกป้องผู้แสวงบุญที่เดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ได้ทำการยึดจอกศักดิ์สิทธิ์ในช่วงสงครามครูเสด และนำไปซ่อนไว้
อัศวินเทมพลาร์ (Knights Templar)
แม้แต่กษัตริย์ในตำนานเรื่องเล่าของยุโรปอย่าง “กษัตริย์อาเทอร์ (King Arthur)” ก็มีตำนานเล่าว่าได้ทำการสำรวจหาจอกศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังเล่าว่าจอกศักดิ์สิทธิ์นั้นมีพลังอำนาจที่จะสามารถรักษาบาดแผลได้ ทำให้ผู้ที่ครอบครองคงความอ่อนเยาว์ได้ตลอดกาล และนำพาความสุขมาให้ไม่รู้จบ
กษัตริย์อาเทอร์ (King Arthur)
และเพราะมีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับจอกศักดิ์สิทธิ์นี้มากมายเกินกว่าที่จะกล่าวได้หมด ทำให้ทั้งนักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดี ต่างสนใจ ต้องการจะออกตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์
เมื่อปีค.ศ.2014 (พ.ศ.2557) ได้มีนักประวัติศาสตร์ชาวสเปนสองคน ได้อ้างว่าพวกตนได้ค้นพบจอกศักดิ์สิทธิ์แล้ว
จอกศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งสองกล่าวอ้างนั้น ทั้งคู่ได้กล่าวว่าพวกตนได้พบในโบสถ์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางเหนือของสเปน และยังกล่าวอีกว่าจอกนี้ได้อาศัยอยู่ในโบสถ์แห่งนี้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11
1
จากการตรวจสอบอายุของจอกที่พบ ก็พบว่าจอกที่ทั้งคู่พบนั้น เป็นจอกที่มีอายุระหว่าง 200 ปีก่อนคริสตกาล จนถึงศตวรรษที่ 2
แต่ถึงแม้จอกที่พบจะมีอายุเก่าแก่จริง และนักประวัติศาสตร์ชาวสเปนที่พบจะแสดงข้อมูลการค้นคว้าถึงสถานที่เก็บจอกศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่เป็นที่ยืนยันว่าจอกที่พบนี้คือจอกที่พระเยซูทรงเคยใช้ดื่มจริงหรือไม่
1
อันที่จริงแล้ว นักประวัติศาสตร์หลายคนยังตั้งคำถาม และเป็นคำถามที่สำคัญอีกด้วย นั่นก็คือ
“จอกศักดิ์สิทธิ์นี้มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงแค่นิทาน?”
3
ดูเหมือนคำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้
แล้วคุณล่ะครับ คิดว่ายังไง?
โฆษณา