16 มิ.ย. 2021 เวลา 13:00 • หนังสือ
'SHOE DOG PHIL KNIGHT'
ปกติแล้วหนังสืออัตชีวประวัติไม่ใช่หนังสือที่เราอ่านบ่อยนัก แต่ประวัติของ Phil Knight ผู้เป็นเจ้าของ Nike ในหนังสือเล่มนี้ ทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังอ่านนิยายสนุกๆเล่มนึง เมื่ออ่านจบแล้วนอกจากจะได้แรงบันดาลใจแล้วยังรู้สึกประทับใจแบรนด์ Nike มากขึ้นอีกด้วย วันนี้เพจรีวิวทุกอย่างที่อ่านออกจะมาเล่าเรื่องหนังสือเล่มนี้ให้ฟังค่ะ
ความเพลิดเพลินจนวางไม่ลงคือการเล่าเรื่องแบบนิยายสนุกๆ ถึงจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตแบบผู้ประกอบการคนหนึ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความหลงใหลในรองเท้าเพราะเบื้องหลังเขาคือนักวิ่งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา บทแรกเปิดตัวด้วยบันทึกการท่องเที่ยวในวัย 24 ปีหลังเรียนจบปริญญาโท Knight ออกเดินทางไปหลาย ๆ ประเทศเพื่อค้นหาชีวิต ทั้งประเทศไทย อินเดีย จีน ญี่ปุ่น และอีกหลาย ๆ ที่แค่เปิดเรื่องมาก็ทำให้เราได้เพลิดเพลินเหมือนได้ทาน Appitizer ก่อนลิ้มรสชีวิตที่ไม่ง่ายของจริง ในหนังสือเล่มนี้จะเล่าเรื่องราวชีวิตของ Phil ผ่านเส้นชีวิตของเขา ซึ่งหลังจากที่เราอ่านเรื่องนี้แล้ว มีตัวอย่างชีวิตของ Phil ที่อยากยกตัวอย่างให้ดูซัก 3 เรื่องค่ะ 🙂
(1) บทเรียนที่หนึ่ง ปฐมบทของชีวิตผู้ประกอบการ
จิตวิญญาณของผู้ประกอบการถูกปลุกขึ้นด้วยการเดินทางรอบโลกในครั้งเมื่อเรียนจบ เขาจึงตัดสินใจขอทุนตั้งต้นกับครอบครัวเพื่อไปแหล่งกำเนิดรองเท้ากีฬาที่ดีที่สุดในตอนนั้น Knight เดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในยุคที่ไม่ค่อยมีใครเดินทางยังยากลำบากกว่าตอนนี้มาก เพื่อขอทำธุรกิจกับแบรนด์ Onitsuka Tiger เพราะเชื่อว่ารองเท้าญี่ปุ่นจะตีตลาดอเมริกาได้เหมือน ๆ กับสินค้าญี่ปุ่นอื่น ๆ
1
เขาตัดสินใจสั่งสินค้าล็อตแรกให้ส่งที่อเมริกา หลังจากนั้น Knight ก็เริ่มต้นงานแรกด้วยการเป็นพนักงานบัญชี บริษัท BIG4 แห่งหนึ่ง เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจ นี่คืออีกจุดที่สื่อถึงสภาวะที่บีบคั้น ในฐานะผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ Knight ก็ดำเนินธุรกิจผู้แทนขายรองเท้าภายใต้บริษัท Blue Ribbon แม้ธุรกิจจะดำเนินไปด้วยดี เมื่อสินค้านี้ยิ่งจะหมุนเวียนเร็วเท่าไหร่ เขาจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อกักตุนสินค้า ซึ่งในแต่ละครั้งที่ของหมด เขาจะซื้อใหม่จำนวนเพิ่มอีก ทำให้มีปัญหาในการกู้ธนาคาร สิ่งที่ลำบากคือเขาต้องทำธุรกิจควบคู่กับงานประจำตลอดระยะเวลาห้าปี
ครั้งที่เจ็บหนักสุดคือ Knight เปิดบิลใหม่กับรองเท้าแบรนด์ญี่ปุ่นนี้แต่ของยังไม่ทันขายก็โดนฉีกสัญญาจากเจ้าของแบรนด์ Onitsuka Tiger สัญญาถูกเปลี่ยนมือให้นักกีฬามวยปล้ำที่ได้ลิขสิทธิ์ในการขายรองเท้าแบรนด์นี้แต่เพียงผู้เดียวแทน ใช่ค่ะ! บทเรียนความเจ็บปวดของผู้ประกอบการหน้าใหม่คือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หรือ คนที่มีชื่อเสียงกว่าย่อมได้เปรียบคน No Name
(2) บทเรียนที่สอง เริ่มต้นธุรกิจในวันที่ไม่พร้อม
หลังจากที่ Phil ตัดสินใจว่าจะเลิกซื้อแบรนด์ Onitsuka Tiger จากญี่ปุ่นและมาทำแบรนด์ของตัวเอง ก็ได้ชักชวน Bill Bowerman และ Jeff Johnson มาเป็นพนักงานรุ่นแรก แม้เหตุการณ์ที่เลวร้ายนี้จะเกิดขึ้นกะทันหัน แต่เพราะมองเห็นศักยภาพของทีมงานทั้งสองทำให้ Phil ไม่ลังเลที่จะมอบหมายงานให้เหมาะกับคนจนพลิกสถานการณ์ให้เป็นไปได้ด้วยดี
Bowerman อดีตครูสอนวิ่งที่หลงใหลการประดิษฐ์รองเท้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่ง เขาชอบที่จะศึกษาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้ลูกศิษย์วิ่งได้ดี ครั้งหนึ่ง Phil ก็เคยเป็นหนูทดลองสวมใส่รองวิ่งที่ครูผู้นี้ออกแบบให้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นคุณครูท่านนี้จึงรับหน้าที่เป็น “ผู้ออกแบบรองเท้า” อีกคนก็คือ Johnson เขาคือเพื่อนร่วมชมรมสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่มีความมุ่งมั่นขั้นสุด แต่ชีวิตก็เป๋ ๆ ตอนเลิกกับแฟน Phil จึงรีบชวนให้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลร้านรองเท้า เขารับหน้าที่ดูแลความต้องการของลูกค้ารายคนจนสร้างฐานแฟน ๆ จากการใส่ใจรูปทรงและขนาดของเท้าลูกค้าในทุกขั้นตอน นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ NIKE เรื่องราวของทีมงานก็หนักหนาพอสมควรเพราะทุกคนล้วนมีความคิดของตัวเองที่มักสวนทางกันกว่าจะก่อร่างสร้างตัวเป็นร้านห้องแถวก็บอกเลยว่าผ่านการทะเลาะอย่างหนัก ตั้งแต่การตั้งชื่อแบรนด์ยันหน้าที่ในการดูแลร้าน
สิ่งสำคัญที่ทำให้ดำเนิน NIKE ได้คือ Mission หรือเป้าหมายธุรกิจร่วมกัน บทเรียนที่ Phil ได้รับคือการบริหารทีมงาน ข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่มักพบในผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จคือการลงไปสัมผัสด้วยตัวเองอย่างการคัดเลือกทีมงานก็เพราะเขาแน่ใจเพราะรู้ใจกันมาอย่างดี คนหนึ่งก็เป็นคุณครูที่มีจิตวิญญาณรักในรองเท้าอย่างเปี่ยมล้น อีกคนก็เป็นเพื่อนที่เห็นความมุ่งมั่น เอาจริงมานาน จึงมองขาดว่าตัวเองเชี่ยวชาญด้านไหนและขาดความเชี่ยวชาญเรื่องอะไรและใครที่จะเข้ามาเต็มเติม แต่บทเรียนที่สามกำลังจะเข้ามาพร้อมกับโจทก์เก่าอย่าง Onitsuka Tiger จะกลับมาสร้างความเร้าใจอีกครั้งหนึ่ง
(3) บทเรียนที่สาม ข้อได้เปรียบทางธุรกิจอาจจะเป็นการหาคู่ค้าคนสำคัญ ( Key Partnership) ให้ถูกคน
บริษัท Blue Ribbon ดำเนินการมาแล้ว 5 ปี ยอดขายโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่สถานการณ์ทางการเงินไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะธนาคารเริ่มไม่ยอมปล่อยกู้แล้วเท่ากับว่าเงินหมุนเวียนในธุรกิจก็มาจากเงินเดือนของ Phil เขาจึงตัดสินใจกลับไปหาคู่ค้าคนดีคนเดิมเพื่อขอเจรจาธุรกิจอีกครั้ง ครั้งนี้เขาได้พบกับผู้จัดการคนใหม่ช่วงแรกเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีเพราะ Phil ใช้วิธีติดสินบน ดังนั้น Phil จึงวางตำแหน่งสายสืบให้กับผู้จัดการคนใหม่เพื่อช่วยให้เขาได้รู้การตัดสินของคนในเพื่อประเมินข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบแต่อีกนัยหนึ่งก็เพื่อให้ผู้จัดการช่วยจัดการผลประโยชน์ให้ ในระยะหลังความสัมพันธ์เริ่มแย่ลง ในจุดนี้เหมือนการอ่านนิยายมากกว่าเพราะเรื่องราวทำให้จินตนาการถึงบทบาทผู้ดี-ผู้ร้ายในวงการธุรกิจเลยทีเดียว
แต่จุดแตกหักคงเป็นการมาเยือนของผู้จัดการ Tiger แล้วพบรองเท้าที่ติดโลโก้ NIKE ที่ถือเป็นการละเมิดสัญญาตัวแทนจำหน่าย สุดท้าย Blue Ribbon ต้องลาขาดกับ Tiger เสียทีทำให้เขาในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์ต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาการขาดเงินทุนหมุนเวียนดี เรื่องราวหลังจากนี้มีทั้งความท้าทายในการหาแหล่งเงินทุนใหม่ ปัญหาโรงงานผลิตรองเท้าที่ชวนหงุดหงิดใจ
1
บทเรียนครั้งนี้ที่ Phil จะได้รับคือการเลือก Key Partnership ที่เหมาะสมกับธุรกิจจะช่วยลดความเสี่ยงและช่วยงานในสิ่งที่ไม่ถนัดได้ แต่การเลือกคู่ค้ากับแบรนด์ที่มีโครงสร้างบริษัทไม่เหมาะสมจะเป็นปัญหาเหมือนกับที่เคยเจอ เมื่อ Phil ลองเปลี่ยนเส้นทางด้วยการมองหาโรงงานผลิตรองเท้าแทน ถ้าเป็นคำตอบที่ถูก Phil จะได้ตัวช่วยในการทำสิ่งที่ไม่ถนัดและประหยัดต้นทุนได้ ส่วนการมองหาแหล่งเงินทุนใหม่ ถ้าเป็นคำตอบที่ใช่ Phil จะลดความเสี่ยงทางธุรกิจด้วยการเพิ่มสภาพคล่องของทุนหมุนเวียนในธุรกิจไปได้ ถ้าอยากรู้ว่า Phil จะตัดสินใจยังไงต้องลองอ่านในหนังสือเล่มนี้นะคะ 🙂
หนังสือถูกเขียนโดยเจ้าของอาณาจักร NIKE ที่มีความฝันในการแต่งนิยายสักครั้งในชีวิต แน่นอนว่าเขาต้องเล่นบทเป็นพระเอกของเรื่อง สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากคือการเรียบเรียงเนื้อหาให้อ่านสนุก เข้าถึงรายละเอียดตัวละครเหมือนเราไปนั่งอยู่ในเหตุการณ์ ร่วมลุ้นไปกับชะตาที่พลิกผันตลอด มีทั้งผู้ร้าย พระเอก เพื่อนพระเอก ครบเครื่องนอกจากผู้อ่านจะถูกปลุกประกายความเป็นผู้ประกอบการแล้วยังช่วยสร้างฐานแฟนคลับให้แบรนด์ได้อีก ในหนังสือเล่มนี้มีความครบรสทั้งเรื่องเศร้าของหุ้นส่วนที่ต้องเสียน้ำตา และฉากที่สวยงามที่สุดคือ NIKE ได้เป็นส่วนหนึ่งในโอลิมปิกครั้งแรก และนักกีฬาที่สวมใส่รองเท้าคนแรกออกสื่อที่เป็นที่รักระดับตำนานของ NIKE คือใครกัน ? เชื่อว่าคนที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้จะรักในเรื่องราว ผู้คน รวมถึงความสำเร็จที่อิ่มเอมหัวใจได้อีกนาน
โดยสรุปขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับ NIKE หรือไม่ใช่ก็ตาม โดยเฉพาะผู้ประกอบการรุ่นใหม่เพราะว่า Nike นั้นเป็นแบรนด์ใหม่ ที่เข้ามาตีตลาดนำรุ่นพี่อย่าง Adidas, PUMA, Reebok ได้ทำให้ลบล้างความเชื่อเรื่องโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจกับแบรนด์ที่มีฐานลูกค้าเยอะ ๆ ไปได้เพราะกว่าจะเป็นแบรนด์ที่แมสขนาดนี้ Nike ก็เคยอยู่ในจุดเริ่มต้นธุรกิจด้วยการมุ่งไปที่ความต้องการของลูกค้า (Customer Needs) เป็นสำคัญและยังมีรองเท้ารุ่นแรก ๆ ที่เสมือนเป็น Minimum Variable Product (MVP) เพื่อทดสอบตลาดก่อน แล้วค่อยขยายตลาดไปในกลุ่มที่กว้างขึ้น ดังนั้นเลยความประทับใจของหนังสือเล่มนี้สามารถเกิดได้ในทุก ๆ มุมมองไม่ว่าจะเป็นผู้อ่านที่ชื่นชอบความบันเทิง ผู้อ่านที่อยากรู้เรื่องราวของ NIKE ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน หรือผู้ที่อยากลิ้มลองเข้ามาอยู่ในโลกธุรกิจก็อินไปได้ด้วยกันค่ะ 🙂
ชื่อหนังสือ: Shoe Dog: A Memoir by the Creator of Nike
นักเขียน: Phil Knight
ความยาว: 386 หน้า
ราคา: 395 บาท
Overall (ภาพรวม): 4.5/5
โฆษณา