24 มิ.ย. 2021 เวลา 01:09 • ธุรกิจ
Billion Dollar Loser ตอนที่ 10 : Game of Thrones
ในปี 2017 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง IBM จำเป็นต้องหาสำนักงานในนิวยอร์กอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับพนักงาน 600 จากแผนกการตลาด ซึ่งหลังจากพิจารณาตัวเลือกต่าง ๆ แล้ว จึงตัดสินใจเช่าพื้นที่ในอาคาร 11 ชั้น ที่ University Place ใน Greenwich Village ซึ่งอาคารแห่งนี้ดำเนินการโดย WeWork
2
Billion Dollar Loser ตอนที่ 10 : Game of Thrones
WeWork ได้พยายามโน้มน้าวให้บริษัทใหญ่ ๆ ใช้ข้อเสนอแบบ Space as a service แต่มันก็พบกับจุดจบอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องสัญญาณ Wi-Fi ที่ขาด ๆ หาย ๆ ลิฟต์ของอาคารก็มีปัญหาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้พนักงาน IBM ต้องใช้บันไดอยู่หลายเดือน
ในอาคารส่วนใหญ่ที่ WeWork เช่าช่วงมาต่อนั้น เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ เช่น การบำรุงรักษาลิฟต์ แต่เงื่อนไขของสัญญาเช่ากับ อาคารหลังนี้มีความผิดปรกติ และโยนให้ WeWork รับหน้าที่ในการซ่อมแซมแทน
1
มันเป็นผลจากการที่ Adam นั้นเป็นเจ้าของอาคารแห่งนี้เสียเอง เขาซื้อมันด้วยเงิน 70 ล้านเหรียญจาก Elie Tahari นักออกแบบแฟชั่นที่เขารู้จักจาก Kabbalah Center
1
โดยก่อนที่จะให้ WeWork เข้ามาเช่าพื้นที่นั้น Adam ไม่ได้เปิดเผยสัดส่วนการถือหุ้นของเขาในอาคาร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสัยทางจริยธรรม ซึ่งดูเหมือนเขากำลังหารายได้โดยเก็บค่าเช่าจากบริษัทของตัวเอง
2
University Place กับอาคารเจ้าปัญหาที่ Adam เป็นเจ้าของเสียเอง (CR:TheRealDeal.com)
ต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ Adam และผู้บริหาร WeWork กลุ่มเล็ก ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ได้กระทำการในลักษณะนี้มาก่อนแล้ว โดยการหารายได้เข้ากระเป๋าจากการเก็บค่าเช่าจาก WeWork เสียเอง
Adam , Mark Lapidus และ Ariel Tiger เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของอาคารใน Varick Street ของ WeWork ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่าแห่งที่ 4 ในนิวยอร์กของบริษัท
3
ในปี 2013 คณะกรรมการของ WeWork ได้คัดค้านความพยายามของ Adam ที่จะซื้อส่วนหนึ่งของอาคารในชิคาโกที่ WeWork วางแผนที่จะเช่า มันเป็นเรื่องขัดแย้งทางผลประโยชน์ของบริษัทอย่างชัดเจน
1
ซึ่งการคัดค้านดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นใหญ่ แต่เมื่อ Adam เข้ามาควบคุมคณะกรรมการได้แบบเบ็ดเสร็จ เขาก็สนองตัณหาส่วนตัวได้สำเร็จ โดยในฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 WeWork ได้จ่ายค่าเช่าให้ Adam มากกว่า 12 ล้านเหรียญสหรัฐ
1
Adam นั้นยืนยันมานานแล้วว่า WeWork ไม่ได้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของอาคาร “เราไม่ซื้ออสังหาริมทรัพย์อย่างแน่นอน” เขากล่าวในปี 2015
แต่เมื่อถึงช่วงปลายปี 2017 WeWork ได้เปิดตัวบริษัทชื่อ WeWork Property Advisors ซึ่ง WeWork จ่ายเงินประมาณ 850 ล้านดอลลาร์เพื่อซื้อพื้นที่ของ Lord & Taylor ในแถบมิดทาวน์
2
มันเป็นสิ่งที่ Adam จินตนาการไว้สำหรับอาคารของตัวเองที่พร้อมด้วย โรงยิม โรงเรียน และ คลินิคทันตกรรม สำหรับพนักงานของห้างสรรพสินค้า
แผนสำหรับ WeWork Property Advisors เรียกร้องให้ระดมเงินจากนักลงทุนเพื่อช่วย WeWork ซื้ออาคาร ทีมจัดตั้งกองทุนหวังว่าจะระดมทุนได้ 1 พันล้านดอลลาร์
1
แต่ Adam มีความคิดที่ดีกว่า : ทำไมไม่ระดมทุนให้ได้ แสนล้านดอลลาร์ไปเลยล่ะ ? ซึ่งมันจะเป็นกองทุนวิสัยทัศน์สำหรับสิ่งปลูกสร้างและเป็นกองเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกทันที
2
แน่นอนว่า หาก Adam ระดมทุนได้ แสนล้านดอลลาร์ มันก็จะตอบแทนให้กับเขาได้สูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์นั่นเอง มันเป็นความคิดที่บัดซบมาก ๆ ที่ผู้ก่อตั้งบริษัท กลับมาคิดหากำไรจากบริษัทของตัวเองอย่างที่ Adam ทำ
1
เรื่องจัดการคนก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับ Adam เช่นกัน ในปี 2017 Adam ได้มือดีอย่าง Rich Gomel ที่เข้ามาร่วมงานกับ WeWork ในตำแหน่งประธานของบริษัท ซึ่ง Gomel เองมีประสบการณ์กว่าทศวรรษที่ Starwood Hotels และอีก 5 ปีในบริษัทการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของ JPMorgan
2
Gomel ถูกดึงตัวมา และได้รับการดูแลอย่างดีเพื่อเป็นซีอีโอคนต่อไปของ WeWork ซึ่ง Adam จะก้าวลงจากตำแหน่ง หลังจากนำบริษัทผ่านช่วงการสเกลแบบสายฟ้าแลบ และจะขึ้นไปเป็นประธานคณะกรรมการของบริษัท WeWork ซึ่งเขาสามารถผลักดันวิสัยทัศน์ของเขาต่อไปได้ในขณะที่ Gomel จะนำ WeWork เข้าสู่ยุคใหม่ในฐานะบริษัทมหาชน
Gomel นั้นได้รับตำแหน่งแทน Artie Minson ซึ่งได้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นผู้สืบต่อตำแหน่งซีอีโอของ Adam ในช่วงก่อนหน้านี้
การก้าวเข้ามาของ Gomel มีสาเหตุเนื่องมาจาก Minson เองนั้นไม่เชื่อในในเรื่องการผลักดันให้ WeWork กลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีอย่างที่ Adam ฝันใฝ่ รวมถึงการที่ไปแสดงความสงสัยเกี่ยวกับเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ที่ Adam ใช้จ่ายในการซื้อกิจการ นั่นเป็นเหตุให้เส้นทางอนาคตของ Minson ดับมอดลงไป
1
มีการทะเลาะวิวาทระหว่างผู้บริหาร ซึ่งมีการถูกสับเปลี่ยนเข้าออกจากผู้บริหารระดับสูงที่มีความใกล้ชิดกับ Adam อยู่ตลอดเวลา
“เขาทำให้พวกเราทุกคนทะเลาะกัน” ผู้บริหารคนหนึ่งกล่าว เขาเปรียบชีวิตตัวเองที่อยู่ใน WeWork ว่าเหมือนกำลังอยู่ในบทละครของ Series ชื่อดังอย่าง “Game of Thrones”
Adam มักจะใช้ตารางงานที่ล้นเกินไปของเขาเป็นเครื่องมือในการควบคุมบังคับให้ผู้บริหารประชุมกันทุกชั่วโมงทั้งคืน ที่บ้านคนใดคนหนึ่ง หรือต้องนั่งเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวข้ามประเทศร่วมประชุมแบบทันทีหาก Adam ต้องการ
3
ในช่วงฤดูร้อนของปี 2017 Adam ก็ทำการสับเปลี่ยนทีมผู้บริหารอีกครั้ง โดยปรับให้ Minson จากซีโอโอของบริษัทให้กลายมาเป็นซีเอฟโอแทน และ ผลักดันคนใหม่อย่าง Jennifer Berrent ให้เข้ามาแทนที่ในตำแหน่งซีโอโอ
Berrent มีภาพลักษณ์ต่อหน้าสาธารณะชนในแง่มุมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และตำแหน่งของเธอในฐานะผู้บริหารหญิงระดับสูงของบริษัท เป็นที่มาของแรงบันดาลใจสำหรับพนักงาน WeWork หลายคน
1
แต่เธอกลายเป็นที่รู้จักในหมู่คนที่ทำงานใกล้ชิดกับเธอในฐานะ ลูกสมุนของ Adam ซึ่งไม่เพียงแค่งานด้านกฏหมายเท่านั้น เธอยังได้รับโอกาสจาก Adam เข้ามาดูแลด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลของบริษัทอีกด้วย
1
Jennifer Berrent ผู้บริหารหญิงคนใหม่ที่ถูกใจ Adam เป็นอย่างมาก (CR:law.com)
เธอมักจะสะท้อนเป้าหมายที่ Adam ตั้งไว้สำหรับบริษัท คือการปลดพนักงาน 20% ของ WeWork ในทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นแนวความคิดที่เลียนแบบมาจาก Jack Welch ในเวอร์ชั่นแบบสายฟ้าแลบที่ว่าคนงาน 10% ที่มีผลงานต่ำที่สุดของบริษัทควรถูกคัดออกอย่างสม่ำเสมอ
1
Adam ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับ Berrent ไม่เพียงแต่เรื่องความสามารถทางด้านกฏหมายเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความภักดีของเธอซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ Adam แสวงหามานานในเหล่าผู้บริหารของเขา
1
ส่วนบทบาทของ Miguel นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในช่วงต้นของบริษัท Miguel เป็นคนกำหนดความสวยงามของ WeWork แต่เมื่อ Adam ต้องสเกลบริษัทเพื่อให้รองรับความต้องการของนักลงทุน บทบาทของ Miguel ก็จางหายไปตามกาลเวลา
2
เมื่อ WeWork กลายเป็นบริษัทที่มีพนักงานหลายพันคน Miguel ได้ปล่อยให้ใบอนุญาตทางสถาปัตยกรรมของเขาหมดอายุลง และบทบาทของเขาในกระบวนการออกแบบก็ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ
การจัดการกับสถาปนิกกลุ่มใหม่ ๆ ที่เข้ามาทำงานที่เติบโตขึ้นจนมีคนมากกว่า 100 คน ก็ไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของเขา ที่สำคัญ Miguel ยังคงเป็นนักออกแบบที่ขี้อายที่สุดที่สวมหูฟังและคอยสเก็ตช์แบบที่อยู่ตรงหน้าเขา
นอกจากนี้เขายังไม่เคยรู้สึกสบายใจเลยกับบทบาทในที่สาธารณะที่ Adam หวังให้ Miguel มีมากขึ้น เขาชอบยืนอยู่นอกเวทีในขณะที่ Adam กำลังร่ายมนต์ให้กับคนฟังกลุ่มใหญ่ในห้องประชุม Miguel แทบจะไม่กระตือรือร้นกับคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจใด ๆ ของ Adam เลย
แม้ Adam จะมอบอำนาจให้กับ Miguel หรือ Minson หรือใครก็ตาม แต่ดูเหมือน WeWork ยังคงเป็นบริษัทของ Adam เสมอ ทุกสิ่งที่ WeWork หมุนรอบตัวเขา และเสน่ห์ที่เขาปรับใช้กับการแสวงหานักลงทุนก็ส่งผลเช่นเดียวกันกับพนักงานของเขา
2
นั่นเองที่ทำให้เหล่าพนักงานเริ่มรู้จักวงจรชีวิตที่แท้จริงใน WeWork พนักงานใหม่จะเข้ามาด้วยความตื่นเต้นเป็นเวลา 6-9 เดือน
เมื่อทำงานไปจนถึง 18 เดือนพวกเขาจะพบกับความเหนื่อยล้าและท้อแท้ ซึ่งมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาต้องถูกแทนที่ หรือต้องลาจากบริษัทไปเอง
ในช่วงท้ายของปี 2018 WeWork มีพนักงานมากกว่า 1 หมื่นคนอย่างรวดเร็ว ครึ่งหนึ่งของพวกเขาอยู่กับบริษัทน้อยกว่า 6 เดือน พนักงานหลายคนเริ่มมองว่า WeWork มีความเป็นบริษัทน้อยกว่าความเป็นลัทธิสนองตัณหาของ Adam ไปเสียแล้วจริง ๆ
ดูเหมือนเรื่องร้ายแรงอย่างปัญหาเรื่องจริยธรรมที่ Adam หาผลประโยชน์จากบริษัทเข้ากระเป๋าตัวเองนั้น เป็นสิ่งที่คณะกรรมการหลายคนคงรับไม่ได้ แถมเรื่องการจัดการคน ก็ดูเหมือนว่า Adam จะไม่มีทักษะทางด้านนี้เลย เขาเป็นแค่คนที่มีสเน่ห์และคอยร่ายมนต์ให้กับเหล่านักลงทุนหลงใหลคล้อยตามความฝันของเขาได้เท่านั้น
4
สถานการณ์ในตอนนี้ดูเหมือนจะมาใกล้ถึงจุดสิ้นสุดเต็มทีแล้ว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อกับ Adam และ WeWork โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม
อ่านตอนที่​ 11 : Code Name Fortitude
ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
=========================
ร่วมสนับสนุน ด.ดล Blog และ Geek Forever Podcast
เพื่อให้เรามีกำลังในการผลิต Content ดี ๆ ให้กับท่าน
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog ผ่าน Line OA เพียงคลิก :
=========================
ฟัง PodCast เรื่องเกี่ยวเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ที่ Geek Forever’s Podcast
——————————————–
ฟังผ่าน Podbean :
——————————————–
ฟังผ่าน Apple Podcast :
——————————————–
ฟังผ่าน Google Podcast :
——————————————–
ฟังผ่าน Spotify :
——————————————–
ฟังผ่าน Youtube :
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา