23 มิ.ย. 2021 เวลา 00:39 • ธุรกิจ
Billion Dollar Loser ตอนที่ 9 : Winner Loses All
ไม่กี่สัปดาห์หลังจากมีการประกาศข้อตกลงกับ Softbank อันยิ่งใหญ่ของ WeWork Jame Hodari ได้พบกับ Adam ในเช้าวันหนึ่งที่สนามบิน Francis S.Gabreski ซึ่งให้บริการเครื่องบินไอพ่นส่วนตัวที่ Long Island
2
Billion Dollar Loser ตอนที่ 9 : Winner Loses All
Hodari เป็นซีอีโอของ Industrious ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ WeWork ซึ่ง Adam มองว่า ทั้งสองบริษัทควรที่จะร่วมมือกันมากกว่าการต้องมาแข่งกันเอง ซึ่งจะทำให้เจ็บตัวทั้งคู่
Adam มองว่า มันจะทำให้ทั้งสองบริษัทแข็งแกร่ง และ ทำเพื่อลูกค้าทั้งใน แอตแลนตา เซนต์หลุยส์ หรือ ฟีนิกซ์ Adam สัญญาว่าเขาจะจัดการข้อตกลงใด ๆ กับ Hodari เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ร่วมก่อตั้งของเขามากกว่านักลงทุนของ Hodari
แต่หาก Hodari ไม่ต้องการมาร่วมมือกัน Adam ก็เสนอทางเลือกง่าย ๆ ให้กับ Hodari
2
“ผมมีทีมงาน 150 คนและเงินทุนจำนวนมหาศาลที่จะฝังคุณลงหลุม” Adam กล่าว
1
WeWork จะเสนอค่าเช่าฟรีหนึ่งปีให้กับผู้เช่าของ Hodari แต่หากยังไม่คิดเข้าร่วม WeWork จะเสนอเพิ่มเป็น 2 ปี แน่นอนว่าทั้งหมดได้รับเงินทุนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์จาก Softbank นั่นเอง
ภายในปี 2017 Adam ขู่ว่าจะบดขยี้หรือซื้อคู่แข่งแทบทุกราย ซึ่งในสหราชอาณาจักรคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ WeWork คือ Office Group (TOG)
1
แต่ TOG ไม่แคร์เพราะพวกเขาเป็นเจ้าตลาด และเพิ่งได้รับเงินทุนจาก Blackstone ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน TOG มูลค่า 640 ล้านดอลลาร์ นั่นทำให้ Adam รู้สึกโกรธมาก ๆ
1
และทีมกฏหมายของ WeWork ยังเดินหน้ายื่นฟ้อง บริษัทที่เลียนแบบ WeWork สามแห่งได้แก่ UrWork , We Labs และ Hi Work โดยอ้างว่ามีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในชื่อทางการค้าของ WeWork
2
แน่นอนว่า Masayoshi Son ไม่ได้ลงเงิน 4.4 พันล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริษัทเติบโตแบบปรกติ Adam ต้องทำให้ได้มากกว่านั้น “เครือข่ายสังคมออนไลน์” ที่เขาสัญญาไว้กับ Son นั่นทำให้เขาต้องการพื้นที่ทุกหนทุกแห่งให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
มันทำให้แผนการของบริษัทต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทีมการตลาดของ WeWork มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 3 เท่า Son บอก Adam ว่า ควรมีพนักงานขายให้ได้อย่างน้อย 1 หมื่นคน
2
WeWork ได้จ้างพนักงาน 30 คนต่อสัปดาห์ และเพิ่มขึ้นเป็น 50 คน จนในที่สุดมีพนักงานใหม่กว่า 100 คนในทุก ๆ วันจันทร์ ในเดือนธันวาคม 2017 เพียงหนึ่งปีหลังจากเปิดสาขาที่ 100 ที่เบอร์ลิน WeWork ได้เปิดเพิ่มจนมีสำนักงานแห่งที่ 200 ที่สิงคโปร์
2
ความต้องการพื้นที่ลุกลามบานปลายอย่างรวดเร็ว จนทีมอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ต้องมีการทำข้อตกลงการจ่ายเงินที่มากโข เพื่อครอบครองพื้นที่ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าโมเดลของ WeWork นั้นจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ
1
นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันมากมายในตลาด WeWork เริ่มเสนอค่านายหน้าด้วยค่าคอมมิชชั่นที่น่าตกใจ : 100% ของค่าเช่าปีแรกที่ผู้เช่ารายใหม่จ่ายให้ สำหรับข้อตกลง 2 ปี อีกทั้ง WeWork นั้นยังแถมให้ฟรีอีก 1 ปี นั่นหมายความว่า บริษัทจะไม่มีรายได้เลยตลอด 24 เดือนแรก
2
หุ้นส่วนหลายคนเริ่มกังวลกับสถานการณ์ของบริษัท โดยเฉพาะจากทางฝั่ง Benchmark Capital ที่เพิ่งมีปัญหากับ Travis Kalanick ผู้ก่อตั้ง Uber ที่กำลังโดนขับไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งขึ้นมา
Travis Kalanick ที่กำลังถูกขับไล่จาก Uber ที่เขาตั้งขึ้นมากับมือ (CR:Vox.com)
Bill Gurley ซึ่งดูแลการลงทุน Uber ของ Benchmark เริ่มกลัวว่า Adam อาจจะสร้างปัญหาแบบเดียวกับที่ Kalanick ทำ Gurley จึงได้บินไปนิวยอร์กเพื่อเผชิญหน้ากับ Adam ที่สำนักงานใหญ่ของ WeWork
Gurley ได้ตำหนิ Adam ที่ขายหุ้น WeWork ของเขาจำนวนมาก แม้ว่า Benchmark จะมีปัญหากับ Kalanick แต่เขาก็ไม่ได้ขายหุ้น Uber ออกไปเลยแม้แต่หุ้นเดียว
2
ทีม Benchmark ยังวิจารณ์กลยุทธ์ของ Adam และความจริงที่ว่า WeWork พลาดการคาดการณ์อีกครั้ง ในปี 2014 Adam บอกกับนักลงทุนว่า WeWork จะทำกำไรมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 แต่บริษัทกำลังจะขาดทุนเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากต้นทุนของการขยายตัวอย่างรวดเร็วมากจนเกินไป
หลังจากนั้นไม่นาน Adam ก็ได้เริ่มเสนอแนวคิดใหม่โดยพยายามทำให้ WeWork กลายเป็นธุรกิจ SaaS (Space as a Service)
โดยมีแนวคิดก็คือ บริษัทุกขนาดจะไม่จัดการพอร์ตการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของตนเองอีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนการบริหารพื้นที่ทางกายภาพของตนเองไปที่ WeWork โดยจะมีการเปลี่ยน WeWork ให้เปรียบเสมือนระบบ Cloud ของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งนั่นจะทำให้ WeWork เป็น “แพล็ตฟอร์ม” ตามความฝันทางด้านเทคโนโลยีของ Adam
2
การพยายามผลักดัน WeWork ให้กลายเป็นธุรกิจ SaaS นั้นเป็นเพียงวิธีการล่าสุดที่ Adam และผู้บริหารคนอื่น ๆ ของ WeWork พยายามที่จะผูกบริษัทของพวกเขากับยักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ ในซิลิกอน วัลเลย์
WeWork ต้องการอาคารสำนักงาน เฉกเช่นเดียวกับ Uber ต้องการรถยนต์ และ Airbnb จำเป็นต้องมีอพาร์ตเมนต์ WeWork จะกลายเป็นเครือข่ายสมาชิกมืออาชีพที่ดีกว่า LinkedIn รวมถึงข้อมูลที่มีการรวบรวมจากแต่ละสถานที่จะทำให้กลายเป็น Google Analytics สำหรับพื้นที่สำนักงาน หรือแม้กระทั่งการจินตนาการให้ WeWork เปรียบเสมือน คลังสินค้าของ Amazon ที่มีจิตวิญญาณมากกว่า
1
โดย Dave Fano ผู้ก่อตั้ง Case ซึ่งเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเติบโตของ WeWork กล่าวว่าเป้าหมายของ WeWork คือ การกำจัดตัวเองไม่ให้เป็นเหมือนบริษัททางด้านอสังหาริมทรัพย์เหมือนในอดีต
ในขณะที่ WeWork นั้นมีเหล่าบริษัท Startup มากมายที่เป็นสมาชิกในสำนักงานให้เช่าของพวกเขา แต่ยังไม่มีใครใน Silicon Valley เชื่อว่า WeWork เป็นหนึ่งในพวกเขา Adam แทบใช้คอมพิวเตอร์ไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ
1
ซึ่งในการสร้างทีมเทคโนโลยี Adam ได้ว่าจ้าง Shiva Rajaraman ซึ่งเคยเป็นวิศวกรที่ Youtube , Spotify และ Apple ซึ่ง Adam ได้บอกกับ Rajaraman ว่า เขาควรจะออกจาก Apple เพราะสิ่งที่ WeWork กำลังสร้างนั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า iPhone มาก
1
Shiva Rajaraman มือดีด้านเทคโนโลยีที่ Adam ได้มาร่วมทีม (CR:CTech.com)
ทีมเทคโนโลยีของ WeWork เติบโตขึ้นจากจำนวนครึ่งโหลในปี 2013 เป็นมากกว่า 200 คน งานแรกที่ Rajaraman ต้องทำคือโปรเจค Space Man ซึ่งเป็นการสร้างและดูแลระบบภายในองค์กรแทนที่จะ outsource ไปยังบริษัทอื่น
โดย Space Man ที่ Rajaraman ต้องเข้ามาดูแลนั้น ไม่สามารถประมวลผลการชำระเงินที่เข้ามา ในตอนที่บริษัทได้ทำการเปิดตัวที่ Mexico เมื่อ WeWork เปิดให้บริการในอินเดีย ซึ่งผู้เช่าส่วนใหญ่ต้องการชำระเป็นเงินสด ทีมวิศวกรต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อหาวิธีในการนำเงินสดเข้าสู่ระบบ
2
ในส่วนของเทคโนโลยีในสำนักงานนั้น WeWork ได้ติดตั้งเซ็นเซอร์ใต้โต๊ะในห้องประชุมเพื่อระบุจำนวนคนที่ใช้ในระหว่างวัน พวกเขาทดลองใช้กล้องและไมโครโฟนที่สามารถติดตามการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงได้
บริษัทกำลังใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในโลกกับปัญหาภายในสำนักงาน มีทีมหนึ่งใช้ Machine Learning เพื่อคาดการณ์การใช้งานห้องประชุม ซึ่งให้ความแม่นยำ 80% และสามารถแนะนำพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการประชุมแต่ละประเภทได้
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของ WeWork คือการใช้อัลกอริธึมที่สามารถสร้างเค้าโครงคร่าว ๆ ของพื้นที่สำนักงานใหม่ได้เร็วกว่าสถาปนิกที่เป็นมนุษย์ของบริษัท
2
แต่ต้องบอกว่าสิ่งที่พวกเขาทำทั้งหมดนั้นดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรใหม่ เป็นการนำสิ่งต่าง ๆ มาประกอบกันเท่านั้น
1
การก่อสร้างเป็นธุรกิจที่สกปรก และเป็นการยากที่จะเชื่อมโยงข้อตกลงระหว่างผู้รับเหมาช่วงกับอัลกอริธึมได้ บริษัทได้ปรับปรุง supplychain ของเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน แต่นั่นหมายความว่าพวกเขาได้เพียงแค่ส่วนลดเท่านั้น ไม่ใช่การคิดค้นอุตสาหกรรมใหม่แต่อย่างใด
1
ซึ่งนอกเหนือจากการทำให้ธุรกิจหลักของ WeWork มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ความหวังก็คือเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ อย่างน้อยต้องช่วยให้ WeWork หาวิธีในการสร้างรายได้ในโมเดลรูปแบบใหม่ ๆ
เซ็นเซอร์ในห้องประชุมอาจตรวจจับเมื่อสมาชิกใช้ห้องโดยไม่จ่ายเงิน Son และ Adam นั้นได้พูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดของ “การเป็นสมาชิกเสมือน” โดยผู้คนจะเข้าร่วมชุมชนของ WeWork โดยไม่ต้องเช่าโต๊ะทำงาน
3
WeWork ได้สัญญากับเหล่านักลงทุนอีกครั้งว่าจะเปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็นคนกลางที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ซอฟต์แวร์ Salesforce ไปจนถึงส่วนลดบริการอย่าง Lyft
ในปี 2017 Adam พยายามซื้อบริษัท Comfy ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่มีแอปเพื่อจัดการระบบต่าง ๆ ที่จำเป็นในการสร้างอาคารซึ่งเหมาะกับ WeWork และผู้ก่อตั้ง Comfy ก็ให้ความสนใจ
แต่การเจรจาก็ดำเนินไปหลายเดือน ผู้ก่อตั้งทั้งสามของ Comfy ต้องการเงินสดนอกเหนือจากหุ้นของ WeWork แต่ Adam ปฏิเสธ โดยยืนยันว่าทั้งสามเป็นคนโง่ที่ไม่รับหุ้นที่มูลค่าจะเติบโตได้ในอนาคตอย่าง WeWork
มีหลากหลายกิจการที่ Adam ต้องการซื้อ หลังจากได้เงินจำนวนมหาศาลจาก Softbank เขามีความคิดที่จะซื้อแม้กระทั่ง Slack และ Zoom ซึ่งตอนนั้นยังเป็นบริษัทที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
แต่ผู้บริหาร WeWork หลายคนต่างสับสนกับท่าทีของ Adam กับความสนุกสนานในการเข้าซื้อกิจการต่าง ๆ เหล่าผู้บริหารหลายคนต้องการให้ Adam เข้าหาบริษัทอื่น ๆ เพื่อสร้างพันธมิตรที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยส่งเสริมธุรกิจของ WeWork
2
แต่ต้องบอกว่าท่าทีของ Adam นั้น แค่ต้องการซื้อ ๆ ๆ ไม่ใช่การหาพันธมิตรแต่อย่างใด ซึ่งการเจรจามักจบลงไม่สวยทุกครั้ง Adam นั้นคิดว่าถ้าเขาควบคุมบริษัทเหล่านี้ได้มันจะทำได้ดีกว่านี้ ซึ่งเป็นความคิดที่ไร้สาระเอามาก ๆ
Adam ทุ่มเงินอย่างดุเดือดจนเมื่อคู่แข่งในธุรกิจสำนักงานและพื้นที่สำนักงานได้รับคำถามจากนักลงทุนว่าเขาวางแผนที่จะเอาชนะ WeWork อย่างไร บริษัทคู่แข่งต่างขยาด เพราะเงินของ Softbank และความกระหายที่อยากซื้อกิจการของ Adam นั้นสูงลิบลิ่ว
แต่สิ่งที่เหลือเชื่อคือ การซื้อบริษัทของ Adam นั้นบางครั้งดูเหมือนคนโง่ และดูจะไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของ WeWork เลย ตัวอย่างเช่น เขาใช้เงิน 13.8 ล้านดอลลาร์ เพื่อเข้าถือหุ้นใหญ่ใน Wavegarden บริษัทสัญชาติสเปนที่ผลิตสระว่ายน้ำในทะเลสำหรับนักเล่นเซิร์ฟ
Adam อ้างว่าเขาเห็น Wavegarden เป็นยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพสำหรับองค์กรที่ WeWork จะช่วยเหลือในอนาคต แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันดูเหมือนการเล่นของเด็กน้อยมือเติบ ที่เพิ่งเห็นเงินมหาศาลอยู่ในมือเสียมากกว่า
ในห้องประชุมผู้บริหารที่สำนักงานใหญ่ของ WeWork มีรูปถ่ายขนาดใหญ่ของ Adam กำลังโต้คลื่น และนั่นเองทำให้เหล่าผู้บริหารระดับสูงรวมถึงพนักงานต่างสับสนกับการกระทำในครั้งนี้ของ Adam เป็นอย่างมาก
2
ต้องบอกว่า มาถึงตอนนี้ สถานการณ์ของ WeWork หลังจากได้รับเงินทุนนั้น ดูจะสับสนกับทิศทางของบริษัทเป็นอย่างมาก
Adam ดูเหมือนคนที่ไม่เคยจับเงินจำนวนมากขนาดนี้ ทำให้ความคิดของเขานั้น เพียงแค่จะไล่ซื้อกิจการ หรือซื้อธุรกิจเพื่อมาตอบสนองตัณหาส่วนตัวเพียงเท่านั้น ไม่ได้ใส่ใจถึงยุทธศาสตร์ของบริษัทเลย และที่สำคัญความควาดหวังของ Softbank นั้นสูงลิบลิ่วกับเงินลงทุนจำนวนมหาศาลขนาดนี้
1
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หลังจากนี้ Adam จะแบกรับความกดดันจากการลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลได้หรือไม่ WeWork จะเดินไปในทิศทางไหนต่อ โปรดอย่าพลาดติดตามต่อในตอนหน้านะครับผม
1
อ่านตอนที่ 10 : Game of Thrones
ย้อนไปอ่านตั้งแต่ตอนแรก & Credit แหล่งข้อมูลบทความ
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
=========================
ร่วมสนับสนุน ด.ดล Blog และ Geek Forever Podcast
เพื่อให้เรามีกำลังในการผลิต Content ดี ๆ ให้กับท่าน
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog ผ่าน Line OA เพียงคลิก :
=========================
ฟัง PodCast เรื่องเกี่ยวเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ที่ Geek Forever’s Podcast
——————————————–
ฟังผ่าน Podbean :
——————————————–
ฟังผ่าน Apple Podcast :
——————————————–
ฟังผ่าน Google Podcast :
——————————————–
ฟังผ่าน Spotify :
——————————————–
ฟังผ่าน Youtube :
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา