7 ก.ค. 2021 เวลา 19:27 • ประวัติศาสตร์
• เรื่องผี ๆ เกี่ยวกับสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
2
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงมีประสบการณ์เจอผีหลอกด้วยพระองค์เอง และเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ก็ทรงกลายเป็นผีมาหลอกผู้คนเช่นเดียวกัน แม้เรื่องผีที่เกี่ยวกับพระองค์นี้จะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากมาย คงไม่น่าถึงอกถึงใจบรรดาคนชอบเรื่องลึกลับ แต่ก็น่าสนใจมากพอให้นำมาเล่าให้อ่านกันสนุก ๆ
3
สมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย (Image: National Geographic)
• เมื่อราชินีเจอผีที่ปราสาทเครธีส
เมื่อครั้งที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์มีประสบการณ์เจอผีด้วยสายพระเนตรของพระองค์เอง ซึ่งทำให้พระราชินีผู้มีชื่อเสียงในด้าน ‘ไม่เห็นขัน’ ได้ง่าย ๆ เกิดความหวาดกลัว
พระองค์ได้เจอ ‘หมอกสีเขียว’ ลอยไปลอยมาในห้องต่าง ๆ ที่ปราสาทเครธีส (Crathes Castle) ที่สก็อตแลนด์ โดยพระองค์ทรงเห็นวิญญาณรูปร่างเหมือนเด็กหายตัววับไปตรงเตาผิงติดผนังด้วย
ผีที่พระองค์เห็นนี้มีคนเห็นอีกจำนวนมาก และถูกเรียกขานกันว่าเป็น ‘ผีสุภาพสตรีสีเขียว’ (The green lady) เหตุที่เรียกเช่นนี้เป็นเพราะวิญญาณตนนี้สวมเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นสีเขียว และมาปรากฏตัวให้เห็นด้วยลักษณะที่ยืนอุ้มลูกที่ยังเป็นทารกอยู่ในอ้อมแขนข้างเตาผิง (ทำไมคิดถึงผีแม่นากของบ้านเราที่ยืนอุ้มลูกรอพี่มากอยู่ริมท่าน้ำก็ไม่รู้)
4
ที่มาของวิญญาณตนนี้คือหญิงรับใช้ในปราสาท เธอตั้งท้องโดยที่ไม่ได้แต่งงาน จากนั้นหญิงรับใช้ผู้นี้กับลูกก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครรับรู้เรื่องของเธออีกเลย
3
ต่อมา มีการปรับปรุงซ่อมแซมปราสาทในราวทศวรรษที่ 1800 คนงานเจอซากโครงกระดูกผู้หญิงกับเด็กทารกอยู่ในช่องเตาผิง จึงเชื่อกันว่าหญิงรับใช้ผู้นั้นพบจุดจบด้วยการกลายเป็นศพถูกซ่อนไว้ใต้เตาผิง เธอน่าจะท้องกับคนในตระกูลเจ้าของปราสาท แต่ถูกฆ่าเพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลนี้ไว้
1
เรื่องราวของวิญญาณตนนี้เป็นที่จับใจผู้คน จึงมีผู้พยายามถ่ายรูปวิญญาณของเธอ และมีรายหนึ่งที่อ้างว่าสามารถถ่ายรูปวิญญาณของเธอได้
2
ปราสาทเครธีส (Image: Martin Coventry/The Castles of Scotland)
• เมื่อราชินีทรงไล่ผีที่พระราชวังวินเซอร์
1
ที่พระราชวังวินเซอร์ มีผีตนหนึ่งคอยหลอกหลอนผู้คนมานับหลายร้อยปีแล้ว ตำนานเล่าว่าผีตนนี้เป็นนายพรานในป่าสมัยพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ผู้ถูกเรียกว่านายพรานเฮิร์น (Herne the Hunter) เขากลายเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์เพราะเขาช่วยชีวิตพระองค์จากการถูกกวางจนตรอกหันกลับมาทำร้ายพระองค์ ในขณะที่เขาบาดเจ็บโดนกวางแทงจนเกือบตาย
1
แต่มีข่าวลือว่าเขารักษาอาการบาดเจ็บโดยใช้คุณไสยของแม่มด แถมความสนิทสนมของเขากับกษัตริย์จึงทำให้ผู้คนริษยา จึงใส่ความว่าเขาเป็นขโมย ด้วยความอับอายเพราะถูกใส่ร้ายเขาจึงแขวนคอตายบนต้นโอ๊ก พยานผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเห็นชายผู้นี้สวมหนังกวางและหมวกที่ประดับด้วยเขากวาง
1
ต้นไม้ที่เขาแขวนคอตายนั้นถูกตั้งชื่อว่า ‘Herne’s Oak’ ซึ่งอยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Home Park เรื่องของเขาถูกนำไปเล่าในบทประพันธ์ของวิลเลียม เชกสเปียร์ เรื่อง The Merry Wives of Windsor ซึ่งเล่าว่าวิญญาณของชายผู้นี้จะออกมาหลอกหลอนที่ต้นโอ๊กในยามเที่ยงคืนของฤดูหนาว วิญญาณของเขาสวมเขากวาง และจะสั่นโซ่เสียงดังจนทำให้ฝูงวัวให้น้ำนมออกมาเป็นเลือด
2
นอกจากนี้ เชื่อกันว่าใครที่เห็นผีตนนี้จะประสบความโชคร้าย เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทราบเรื่องผีตนนี้พระองค์จึงทรงไม่เห็นขัน ในช่วงทศวรรษที่ 1860 พระองค์สั่งให้ตัดต้นโอ๊กนี้ทิ้งแล้วนำท่อนไม้ของต้นโอ๊กนี้มาใช้เป็นฟืนเพื่อกำจัดผีตนนี้ไป แล้วทรงสั่งให้ปลูกต้นโอ๊กต้นใหม่ทดแทนอีกด้วย แต่ไม่สำเร็จ เพราะยังมีผู้เจอกับวิญญาณของเขามาจนกระทั่งทุกวันนี้ในบริเวณที่เรียกว่า Great Park วิญญาณนายพรานตนนี้ยังคงเร่ร่อนหาวิญญาณตนอื่นมาร่วมล่าสัตว์ด้วยกัน
ภาพวาดต้นโอ๊กที่ตำนานเล่าว่าเฮิร์นมาแขวนคอตาย จากหนังสือ A Picturesque Tour of the River Thames in its Western Course; including particular descriptions of Richmond, Windsor, and Hampton Court, etc. ตีพิมพ์ปี 1862 (Image: Wikipedia)
• เมื่อราชินีคุยกับพระสวามีผู้สิ้นพระชนม์ผ่านคนทรง
เป็นที่รู้กันว่าสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงคลั่งรักในตัวเจ้าชายอัลเบิร์ต (Prince Albert) พระสวามีมากอย่างสุดสวาทขาดใจ เมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันเมื่อปี 1861 จึงนำความวิปโยคโศกศัลย์อย่างแสนสาหัสมาสู่พระองค์ จนเหล่าข้าราชบริพารพากันกริ่งเกรงว่าพระองค์จะเสียสติวิปลาสไปเสียแล้ว เพราะพระองค์หมดอาลัยตายอยากจนอยากตามพระสวามีไปสู่ปรโลก ทรงเอาแต่สวดมนต์อยู่ข้างที่ฝังพระศพเจ้าชายอัลเบิร์ต และเชื่อว่าพระองค์ได้ยินเสียงพระสวามี ครั้งหนึ่งในระหว่างที่ทรงหารือกับเหล่าองคมนตรีจู่ ๆ พระองค์ก็ตรัสว่าจะออกไปปรึกษากับวิญญาณของเจ้าชายอัลเบิร์ต เมื่อกลับมาก็แจ้งกับบรรดารัฐมนตรีว่าเจ้าชายอัลเบิร์ตต่อต้านการกระทำใด ๆ ที่เป็นการทำสงครามโดยอังกฤษ
1
ด้วยความรักและโหยหาต่อพระสวามี พระองค์อยากได้ยินเสียงเจ้าชายอัลเบิร์ต จึงทรงพยายามติดต่อกับพระสวามีผู้ล่วงลับผ่านคนทรง คนทรงคนแรกของพระองค์เป็นเด็กชายวัย 13 ปีชื่อว่าโรเบิร์ต เจมส์ ลีส์ (Robert James Lees) โดยข้าราชสำนักได้ปลอมตัวไปทดสอบ และต้องตื่นตะลึงที่เสียงที่เปล่งออกมานั้นเป็นเสียงของเจ้าชายอัลเบิร์ต แถมยังตรัสเรียกชื่อจริงพวกเขาได้ และยังสามารถบอกรายละเอียดเกี่ยวกับสมเด็จพระราชินีที่เฉพาะเจ้าชายอัลเบิร์ตเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ได้
2
ด้วยเหตุนี้ ลีส์จึงถูกเชิญไปทำพิธีเข้าทรงที่พระราชวังถึง 9 ครั้ง สมเด็จพระราชินีดีใจมากที่ได้ยินเสียงของพระสวามีผู้ล่วงลับ จึงตรัสเชิญให้เขาอยู่ที่พระราชวังในฐานะคนทรงประจำพระองค์ แต่เจ้าชายอัลเบิร์ตในร่างคนทรงปฏิเสธ และบอกว่ามีตัวแทนอีกคนที่สามารถใช้เป็นคนทรงได้ นั่นคือ “เด็กชายที่เคยถือปืนให้กับฉันตอนที่อยู่พระตำหนักบัลมอรัล”
3
และเด็กชายที่คนทรงระบุคือจอห์น บราวน์ (John Brown) ผู้ที่อยู่ในวัยสามสิบตอนปลายแล้ว เล่ากันว่าชายผู้นี้มีญาณหยั่งรู้ เพราะก่อนที่สมเด็จพระราชินีจะเสด็จกลับจากสก็อตแลนด์เมื่อปี 1861 เขาได้ทักว่าขออย่าให้มีใครในราชวงศ์ของพระองค์สิ้นพระชนม์ และเจ้าชายอัลเบิร์ตก็สิ้นพระชนม์ พอได้รับคำบอกกล่าวจากคนทรงเช่นนั้น จอห์น บราวน์ จึงถูกย้ายมาอยู่ที่พระราชวังวินเซอร์ และกลายเป็นข้ารับใช้ที่สมเด็จพระราชินีโปรดปรานมาก ความโปรดปรานเป็นพิเศษนี้ได้กลายเป็นข่าวลืออื้อฉาวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ว่าพระองค์มีความสัมพันธ์กับข้ารับใช้คนนี้
3
เมื่อจอห์น บราวน์กลายเป็นร่างทรง พิธีสื่อสารกับวิญญาณเจ้าชายอัลเบิร์ตกระทำขึ้นที่ห้องบรรทมของเจ้าชายอัลเบิร์ตในพระราชวังวินเซอร์ ซึ่งเป็นห้องที่พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วย และเป็นห้องที่ยังคงสภาพทุกอย่างไว้เสมือนตอนที่เจ้าชายอัลเบิร์ตยังคงพระชนม์ชีพอยู่ เหยือกน้ำร้อน ดอกไม้สด และชุดนอน ถูกจัดเตรียมไว้เหมือนเดิมทุกวัน สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเชื่อว่าวิญญาณของเจ้าชายอัลเบิร์ตไม่ได้เสด็จไปไหนยังคงประทับอยู่ที่นี่
ในห้องนี้ พระองค์มาประทับรอเวลาที่วิญญาณของเจ้าชายอัลเบิร์ตเสด็จมาประทับรับทรงในร่างจอห์น บราวน์ พร้อมมีข้าราชบริพารที่ทรงไว้พระทัยเพียงบางคนอยู่ในห้องนั้นด้วย ในพิธีวันนั้น จอห์น บราวน์ เปล่งเสียงที่เหมือนกับเจ้าชายอัลเบิร์ตออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
3
เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงทำให้สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเชื่อว่าจอห์น บราวน์ สามารถเป็นสื่อกลางให้กับเจ้าชายอัลเบิร์ตได้ จึงทรงติดหนึบกับข้ารับใช้ผู้นี้อย่างแยกไม่ออก เขามีห้องส่วนตัวติดกับห้องบรรทมขององค์ราชินี และสามารถเข้านอกออกในห้องบรรทมของพระองค์โดยที่ไม่ต้องเคาะประตู เขามีอำนาจเหนือพระองค์จนข้าราชบริพารคนอื่น ๆ ซุบซิบนินทาและตั้งฉายาเขาอย่างหยามเหยียดว่า ‘พ่อม้าผสมพันธุ์ขององค์ราชินี’ แม้กระทั่งพระโอรสธิดาของพระองค์ยังเรียกเขาว่า ‘คู่รักของแม่’ หนังสือพิมพ์ในยุคนั้นยังตั้งฉายาให้กับพระองค์ว่า ‘นางบราวน์-Mrs Brown’ เพราะมีข่าวเล่าลือว่าจริง ๆ แล้วพระนางแอบอภิเษกสมรสกับจอห์น บราวน์แล้ว
2
สมเด็จพระราชินีวิกตอเรียกับจอห์น บราวน์ (Image: POPPERFOTO/GETTY IMAGES)
• เมื่อองค์ราชินีกลายเป็นผี
ในสมัยของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 (King Edward VIII) เป็นกษัตริย์อังกฤษในช่วงเวลาสั้น ๆ พระองค์มีแผนจะปรับปรุงพระราชวังวินเซอร์ใหม่ และแผนการนี้ทำให้วิญญาณของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียทรงไม่พอพระทัย
คู่รักของพระองค์คือนางวอลลิส ซิมป์สัน (Wallis Simpson) มีแผนจะถอนเหล่าต้นสนสปรูซในพระราชวงศ์วินเซอร์ออกไป ซึ่งกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 ก็ทำตามความต้องการของคนรักของพระองค์อย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาคือต้นสนเหล่านั้นปลูกขึ้นมาโดยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียกับพระสวามีคือเจ้าชายอัลเบิร์ต
การกระทำของนางวอลลิส ซิมป์สัน คงทำให้วิญญาณของสมเด็จพระราชินีทรงไม่เห็นขัน จึงทรงมาปรากฏกายให้บรรดาคนงานทำสวนที่มาตัดต้นสนเห็น เหตุเกิดเมื่อปี 1936 เมื่อคนงานทำสวนพยายามดำเนินการตัดต้นไม้นั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้หลายอย่างที่มาขัดขวางไม่ให้ตัดต้นไม้ได้สำเร็จ
5
สาเหตุของเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ชัดแจ้งขึ้น เมื่อมีคนงานบางคนอ้างว่าเห็นวิญญาณของพระองค์ทรงวิ่งมาจากตัวพระราชวังข้ามสนามตรงมาหาพวกเขา พร้อมกับโบกแขนไล่คนงานไปมา และส่งเสียงร้องคร่ำครวญเสียงดัง จนคนงานขวัญหนีดีฝ่อไม่กล้าย้ายต้นไม้ออกไป ส่วนต้นไม้เหล่านี้เล่าว่ายังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
อนุสาวรีย์ของสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียที่พระราชวังวินเซอร์ (Image: Pbase.com)
อ้างอิง:
3

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา