Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
KidKorn คิดก่อน
•
ติดตาม
9 ก.ค. 2021 เวลา 10:39 • ประวัติศาสตร์
A Brief History of Witches : แมวในยุคกลาง
**เนื้อหามีความรุนแรงและการทรมานสัตว์ ผู้อ่านควรใช้ความระมัดระวังในการอ่าน
ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ยุคกลางของยุโรป แมวเป็นสัญลักษณ์ของแม่มดและความโชคร้าย ทำให้เกิดการสังหารแมวเป็นจำนวนมาก เรื่องนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรในประวัติศาสตร์ มาดูกัน
ย้อนกลับไปในช่วงยุคกลางของยุโรป ศาสนจักรคาทอลิกมีบทบาทมากในการควบคุมความเชื่อและศรัทธาของคน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าการสังหารแมวจำนวนมากมาจากความเชื่อมโยงระหว่างแมวกับสัญลักษณ์ของแม่มด ศาสตร์มืด พวกนอกรีต และลางร้าย
- พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 (Pope Gregory IX) และประกาศิต Vox in Rama
ส่วนใหญ่มักจะเชื่อและเข้าใจกันว่าการสังหารแมวเป็นจำนวนมากในยุโรป เกิดขึ้นจากประกาศิตของพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ที่สั่งให้ชาวคาทอลิกสังหารแมว เพราะแมวเกี่ยวข้องกับซาตานและพวกนอกรีต
จริงๆแล้วเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันสะทีเดียว และอาจจะเป็นความเข้าใจผิดที่มีมานาน
พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ในต้นฉบับที่รวบรวมจดหมายประกาศิตในปีค.ศ. 1482
พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ดำรงตำแหน่งพระสันตปาปาในช่วง ค.ศ. 1232 และได้เป็นผู้ที่ออกประกาศิต Vox in Rama ด้วยเล็งเห็นว่ามีกลุ่มผู้นอกรีตแพร่กระจายไปทั่วดินแดนของเยอรมัน
โดยส่งสารประกาศิตนี้ไปที่พระเจ้าไฮน์ริชที่ 7 แห่งเยอรมัน, จักรพรรดิฟรีดริชที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์, อาร์กบิชอปซิกฟรีดที่ 3 แห่งไมนซ์ และนักบวชอีกหลายรูปในเยอรมัน
เนื้อหาเป็นการประกาศทำสงครามกับพวกนอกรีต และประณามลัทธิความเชื่อในซาตาน หรือ ลัทธินิยมลูซิเฟอร์ (Luciferianisam) ที่กำลังแพร่ขยายอย่างมากในเยอรมัน
พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ได้รับแจ้งจาก คอนราด ฟอน มาร์บูร์ก (Konrad von Marburg) ซึ่งเป็นพระนักเทศน์ในท้องที่ว่ามีลัทธิลูซิเฟอร์ ซึ่งท่านเคานท์แห่งไซน์ ไฮน์ริชที่ 3 และขุนนางบางส่วนอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
ขณะนั้นไฮน์ริชที่ 3 จึงได้อุทธรณ์ร้องให้สภาบาทหลวงเลื่อนการตัดสินคดีนี้ออกไป ซึ่งคอนราดปฏิเสธ ทำให้เขาโดนพรรคพวกของไฮน์ริชที่ 3 สังหารชีวิต
ในประกาศิต Vox in Rama มีการอธิบายพิธีกรรมของพวกลัทธิลูซิเฟอร์ มีการกล่าวถึงรูปปั้นแมวดำ ที่สามารถกลับคืนมามีชิวิตได้ ซึ่งจะเดินถอยหลังพร้อมชูหางขึ้นอย่างน่าขนลุก ผู้ที่เข้าร่วมพิธีกรรมต่างก็จะจุมพิตที่ก้นของรูปปั้นแมวดำเพื่อเป็นการบูชา
พระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ยังอธิบายในประกาศิตอีกว่า บางครั้งก็จะมีการเสพสังวาสหมู่ และการร่วมเพศของพวกรักร่วมเพศด้วย เมื่อเสร็จพิธีกรรมพวกเขาก็จะเดินออกมา โดยมีขนส่วนล่างดกดำเหมือนกับขนของแมว
พระองค์จึงสั่งให้กำจัดกลุ่มลัทธิลูซิเฟอร์นี้ให้หมด เพราะถือว่าเป็นผู้นอกรีต โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงการสั่งสังหารแมวดำแต่อย่างใด
เป็นไปได้ว่า ผู้คนทั่วไปในสมัยนั้นไม่ได้รับรู้เรื่องประกาศิตโดยตรง แต่ได้ฟังผ่านพระ นักบวชในแต่ละท้องถิ่น ในวันอาทิตย์ที่ไปโบสถ์ ซึ่งก็อาจจะมีการตีความจากประกาศิตที่ผิดเพี้ยนไป และเรื่องนี้ก็แพร่ไปหลายหมู่บ้าน หลายชุมชน หลายประเทศในยุโรปในที่สุด
- ชะตากรรมของแมวในยุคกลาง
*เนื้อหาจะมีการทรมานสัตว์ โปรดระมัดระวังในการอ่าน*
ฝรั่งเศสในยุคกลางเชื่อว่าแมวเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย เกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด ผู้คนนิยมขังแมวไว้ในกรงและจุดไฟเผา โดยเชื่อว่าเสียงร้องโหยหวนของแมวที่ทรมานคือเสียงของปีศาจซาตานที่กำลังทรมาน
มีการจับแมวใส่กระสอบ โยนเข้ากองไฟและเผาทั้งเป็น ซึ่งส่วนมากเป็นแมวดำ โดยเชื่อว่าแม่มดที่แปลงร่างเป็นแมวอยู่ เมื่อโดนเผาแล้วจะกลายร่างที่แท้จริงออกมา
(Credit: https://www.thegreatcat.org/history-of-the-cat-in-the-middle-ages-part-8/)
ที่เดนมาร์กในช่วงเดียวกัน มีการจับแมวใส่ถังไม้ แล้วก็ตีๆที่ถังไม้ เพื่อไล่ลางร้าย
ในเมืองอิเปอร์ (Ypres) ประเทศเบลเยี่ยม ช่วงยุคกลางมีการจัดเป็นกิจกรรมตามวันสำคัญทางศาสนา ปีละครั้ง โดยผู้คนจะจับแมวเป็นโยนลงมาจากหอคอย ถ้าปีไหนเมืองนั้นมีผลผลิตทางการเกษตรงอกเงยดี แมวที่โดนจับมาทรมานเช่นนี้ก็จะน้อย แต่ถ้าปีไหนแห้งแล้ง ผู้คนอดอยาก แมวที่ถูกจับมาทรมานก็จะเยอะ เพราะเชื่อว่าปีศาจอยู่ในเมืองเยอะ คอยขัดขวางทำให้พืชผลการเษตรไม่งอกเงย
กว่าที่กิจกรรมนี้จะเปลี่ยนรูปแบบไป ก็ปาเข้าไปคริสตศตวรรษที่ 20 แล้ว โดยเปลี่ยนมาเป็นการเดินพาเหรดและงานคานิวัล เปลี่ยนจากการโยนแมวจริง เป็นโยนตุ๊กตาแมว หรือ ของเล่นแทน ให้เด็กๆที่คอยรอรับอยู่ข้างล่างหอคอย ไม่มีการทำความรุนแรงหรือทรมานแมวอีกต่อไป
ในปัจจุบันเป็นงานพาเหรด ชื่อว่า Kattenstoet ซึ่งหมายถึง Cats- Festival โดยจะจัด 3 ปีครั้ง ที่เมืองนี้
Credit: https://rove.me/to/belgium/kattenstoet
- พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 8 (Pope Innocent VIII)
ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ออกประกาศจากวาติกัน ที่อาจแสดงถึงความเกลียดชังแมว ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 15 โดยประกาศว่าแม่มดที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการเผา ถ้าแม่มดผู้นั้นเลี้ยงแมว แมวของพวกเขาต้องถูกโยนเข้ากองไฟ เผาตามไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ใครก็ตามที่เลี้ยงแมว จะถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดทุกกรณี
Pope Innocent VIII (Credit: https://www.researchgate.net/figure/Pope-Innocent-VIII-died-in-a-rejuvenation-attempt-in-1492-Alamy_fig5_269710719)
หญิงชราที่ชอบเลี้ยงแมว อาศัยอยู่กับแมว ให้อาหารแมว ในช่วงนั้นจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เคสตัวอย่างเช่น เลดี้เอเลนอร์แห่งอังกฤษ หรือ เลดี้เอเลนอร์แห่งมงฟอร์ต (ค.ศ. 1215-1275) เป็นผู้ที่เลี้ยงแมวไว้ในคฤหาสน์ และตัวเธอเองก็เอ็นดูแมวเธอมาก จนมีชาวบ้านไปแจ้งทางการว่าเธอมีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์ของแม่มดและเลี้ยงแมวไว้เพื่อติดต่อกับซาตาน เธอจึงถูกจับในข้อหาเป็นแม่มด
โชคดีที่เธอมีตำแหน่งมีหน้ามีตาในสังคม จึงรอดพ้นจากการถูกกล่าวหาและการพิจารณาคดีในเรื่องนี้ แต่ว่าชาวบ้านทั่วไปไม่ได้โชคดีเช่นนี้ หลายคนถูกจับไปลงโทษด้วยข้อหาเป็นแม่มด เพียงเพราะเลี้ยงแมว ให้อาหารแมว เอ็นดูแมว
โดยพบว่ากว่า 80% ของผู้หญิงในยุโรปช่วงยุคกลางจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด และส่วนใหญ่มักพบจุดจบคือการประหารชีวิต
นักวิชาการบางกลุ่มได้โต้เถียงว่า การล่าแมวที่เกิดขึ้นในยุโรปเป็นแค่ในบางพื้นที่ ไม่ได้เป็นผลพวงโดยตรงจากศาสนจักร หรือเชื่อมโยงใดๆกับความเชื่อเรื่องแม่มด ซาตาน
โดยพบว่าในคริสตศตวรรษที่ 13 โบสถ์และอารามในบางพื้นที่ แม่ชีก็เลี้ยงแมวเป็นปกติ
ภาพแม่ชีและแมวในช่วง c.14 ปรากฏในหนังสือ Book of Hours จากเนเธอร์แลนด์
พอจำนวนประชากรแมวลดลงในอีกกว่าร้อยปีต่อมา ก็ถูกโยงกับกาฬโรคครั้งใหญ่ (Black Death) ที่คร่าชีวิตผู้คนไปหลายร้อยล้านคนในทวีปยูเรเชีย และระบาดรุนแรงที่สุดในยุโรป ช่วงปีค.ศ. 1347 ถึง 1351 ว่านี่คือ ผลพวงของการกำจัดแมวในยุโรปอย่างบ้าคลั่งในช่วงก่อนหน้า
Black Death (Credit: https://www.nytimes.com/2020/06/12/books/review/letters-to-the-editor.html)
แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่คนส่วนใหญ่ในตอนนั้นก็เชื่อว่า การที่หนูมีจำนวนมากขึ้น และทำให้เกิดกาฬโรคระบาดหนัก เป็นเพราะการสังหารแมวในยุโรปตามความเชื่อของศาสนจักร ซึ่งกว่าที่ผู้คนจะตระหนักรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันก็ปาเข้าไปในปี ค.ศ 1894 แล้ว
คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่เชื่อเรื่องนี้ และโต้เถียงว่าแมวไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเดียวที่ล่าหนู แต่ในยุโรปยังมีสุนัข งู นก วีเซิล ที่ก็ล่าหนูด้วย การที่จำนวนประชากรแมวลดลง ไม่น่าจะเกี่ยวที่ทำให้หนูมีจำนวนมากขึ้น
ในช่วงการเกิดนิกายโปรแตสแตนท์และยุค Enlightenment ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับศาสนจักรคาทอลิกมากขึ้น มีการหาเหตุผล และวิเคราะห์ความเชื่อที่ผ่านมากันมากขึ้น ซึ่งการเลี้ยงแมว ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ให้ผู้คนเริ่มตระหนักว่านี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบูชาซาตาน หรือ เป็นแม่มดเหมือนที่เคยเชื่อกันในสมัยก่อนหน้า ทำให้ความเชื่อเรื่องแมวดำกับแม่มด ลดน้อยลงไปตามกาลเวลา
* เขียนและเรียบเรียงโดยทีมงานคิดก่อน ไม่อนุญาตให้ดัดแปลง แก้ไข และคัดลอกโดยไม่ได้รับอนุญาต
References:
https://talesoftimesforgotten.com/2019/11/05/were-cats-really-killed-en-masse-during-the-middle-ages/
https://www.thevintagenews.com/2019/04/02/the-vatican-and-cats/
https://historythings.com/one-time-pope-banned-cats-caused-black-plague/
https://allthatsinteresting.com/pope-massacred-cats
https://www.worldhistory.org/article/1387/cats-in-the-middle-ages/
https://nautil.us/blog/why-medieval-cats-approved-of-the-plague
2 บันทึก
1
1
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
A Brief History of Witches
2
1
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย